From this page you can:
Home |
Collection details
Collection SIU THE-T
Documents available under this collective title
Add the result to your basketSIU THE-T. ความเข้าใจเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลต่อการใช้ Social Network - Facebook ของประชากรวัยทำงานในกรุงเทพมหานคร / อังคณา สุระอารีย์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2017
Collection Title: SIU THE-T Title : ความเข้าใจเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลต่อการใช้ Social Network - Facebook ของประชากรวัยทำงานในกรุงเทพมหานคร Original title : Understanding the Violation of Privacy Right of Working People in Bangkok Metropolis using Social Networks: The Case of Facebook Material Type: printed text Authors: อังคณา สุระอารีย์, Author ; วิษณุ สุวรรณเพิ่ม, Associated Name ; วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2017 Pagination: viii, 57 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: SOLA-MAMIC-2017-03
Thesis. [MAMIC.[Arts in Media Information and Communication]]. Shinawatra University, 2017.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ละเมิด
[LCSH]สิทธิส่วนบุคคล
[LCSH]เฟซบุ๊คKeywords: การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล, พฤติกรรมการใช้ Facebook, วัยทำงาน Abstract: Facebook เป็นเครือข่ายสังคม online ที่นิยมสูงสุดทั่วโลกโดยมีลักษณะการใช้เป็นการ post ข้อความ upload รูปภาพหรือ VDO ต่าง ๆ ที่เป็นของตนเองและบุคคลอื่น การถ่ายทอดสด (Live) รวมถึงการ share ข้อมูล รูปภาพหรือ VDO ของผู้ใช้ Facebook รายอื่น ๆ ด้วยลักษณะการใช้งานดังกล่าว ที่อาจจะทำให้เกิดการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และส่งผลกระทบต่อผู้ละเมิดและถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้ วัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาลักษณะประชากรวัยทำงานของ
ผู้ใช้ Facebook ด้านความเข้าใจสิทธิส่วนบุคคลในกรุงเทพมหานคร 2) ศึกษาพฤติกรรมของบุคคลวัยทำงานผู้ใช้ Facebook ที่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลด้วยการสื่อสารผ่านทาง Facebook ในกรุงเทพมหานคร 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการใช้ Facebook ของบุคคลวัยทำงานกับการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลในกรุงเทพมหานคร 4) ศึกษาความเข้าใจเรื่องการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของบุคคลวัยทำงานต่อการใช้ Facebook ในกรุงเทพมหานคร
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ ประชาชนวัยทำงานในกรุงเทพมหานครผู้ใช้ Facebook จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถาม ค่าความน่าเชื่อถือได้ (Reliability Coefficients) เท่ากับ .86 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ t-test และ ANOVA เมื่อพบค่าความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจะเปรียบเทียบรายคู่โดยวิธี LSD ผลการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า ด้านลักษณะประชากรระดับการศึกษาที่แตกต่างกันมีผลต่อความเข้าใจเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลต่อการใช้ Facebook และด้านเนื้อหาที่ใช้ เรื่องที่ post แตกต่างกัน มีผลต่อความเข้าใจเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลต่อการใช้ Facebook โดยผู้วิจัยได้ศึกษากลุ่มตัวอย่างวัยทำงานเฉพาะในกรุงเทพมหานครเท่านั้น จึงควรเพิ่มการวิจัยในกลุ่มประชากรกลุ่มอื่น ๆ ด้วย เนื่องจากการใช้งาน Facebook มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในทุก ๆ วัยCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27604 SIU THE-T. ความเข้าใจเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลต่อการใช้ Social Network - Facebook ของประชากรวัยทำงานในกรุงเทพมหานคร = Understanding the Violation of Privacy Right of Working People in Bangkok Metropolis using Social Networks: The Case of Facebook [printed text] / อังคณา สุระอารีย์, Author ; วิษณุ สุวรรณเพิ่ม, Associated Name ; วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017 . - viii, 57 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: SOLA-MAMIC-2017-03
Thesis. [MAMIC.[Arts in Media Information and Communication]]. Shinawatra University, 2017.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ละเมิด
[LCSH]สิทธิส่วนบุคคล
[LCSH]เฟซบุ๊คKeywords: การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล, พฤติกรรมการใช้ Facebook, วัยทำงาน Abstract: Facebook เป็นเครือข่ายสังคม online ที่นิยมสูงสุดทั่วโลกโดยมีลักษณะการใช้เป็นการ post ข้อความ upload รูปภาพหรือ VDO ต่าง ๆ ที่เป็นของตนเองและบุคคลอื่น การถ่ายทอดสด (Live) รวมถึงการ share ข้อมูล รูปภาพหรือ VDO ของผู้ใช้ Facebook รายอื่น ๆ ด้วยลักษณะการใช้งานดังกล่าว ที่อาจจะทำให้เกิดการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และส่งผลกระทบต่อผู้ละเมิดและถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้ วัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาลักษณะประชากรวัยทำงานของ
ผู้ใช้ Facebook ด้านความเข้าใจสิทธิส่วนบุคคลในกรุงเทพมหานคร 2) ศึกษาพฤติกรรมของบุคคลวัยทำงานผู้ใช้ Facebook ที่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลด้วยการสื่อสารผ่านทาง Facebook ในกรุงเทพมหานคร 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการใช้ Facebook ของบุคคลวัยทำงานกับการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลในกรุงเทพมหานคร 4) ศึกษาความเข้าใจเรื่องการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของบุคคลวัยทำงานต่อการใช้ Facebook ในกรุงเทพมหานคร
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ได้แก่ ประชาชนวัยทำงานในกรุงเทพมหานครผู้ใช้ Facebook จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถาม ค่าความน่าเชื่อถือได้ (Reliability Coefficients) เท่ากับ .86 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ t-test และ ANOVA เมื่อพบค่าความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติจะเปรียบเทียบรายคู่โดยวิธี LSD ผลการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า ด้านลักษณะประชากรระดับการศึกษาที่แตกต่างกันมีผลต่อความเข้าใจเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลต่อการใช้ Facebook และด้านเนื้อหาที่ใช้ เรื่องที่ post แตกต่างกัน มีผลต่อความเข้าใจเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลต่อการใช้ Facebook โดยผู้วิจัยได้ศึกษากลุ่มตัวอย่างวัยทำงานเฉพาะในกรุงเทพมหานครเท่านั้น จึงควรเพิ่มการวิจัยในกลุ่มประชากรกลุ่มอื่น ๆ ด้วย เนื่องจากการใช้งาน Facebook มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในทุก ๆ วัยCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27604 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000596880 SIU THE-T: SOLA-MAMIC-2017-03 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000596872 SIU THE-T: SOLA-MAMIC-2017-03 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การพัฒนาสู่ความสำเร็จของนักกีฬากอล์ฟสตรีอาชีพไทย / อานนท์ เหมือนทัพ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : การพัฒนาสู่ความสำเร็จของนักกีฬากอล์ฟสตรีอาชีพไทย Original title : The Development of Thai Female Professional Golfers Material Type: printed text Authors: อานนท์ เหมือนทัพ, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: vii, 195 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-01
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2561Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ความสำเร็จ
[LCSH]นักกอล์ฟKeywords: นักกอล์ฟอาชีพสตรี, การพัฒนา, ความสำเร็จ, ประชารัฐ Abstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาลักษณะของการพัฒนาสู่ความสำเร็จของนักกีฬากอล์ฟสตรีอาชีพไทย 2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้เกิดความสำเร็จของนักกีฬากอล์ฟสตรีอาชีพไทย และ 3) ศึกษาเปรียบเทียบความสำเร็จของนักกีฬากอล์ฟสตรีอาชีพไทย ซึ่งผู้วิจัยได้นำผลการวิจัยจากวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก และการสังเกตแบบมีส่วนร่วม และไม่มีส่วนร่วม จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ที่เป็นผู้ให้ข้อมูลหลักนักกอล์ฟสตรีอาชีพ จำนวน 5 คน และผู้ให้ข้อมูลรอง จำนวน 30 คน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือของข้อมูล โดยมีเครื่องมือวิจัย ได้แก่ ผู้วิจัย และแบบสัมภาษณ์เจาะลึกแบบมีโครงสร้าง เครื่องบันทึกเสียง สมุดจดบันทึก กล้องถ่ายรูป ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการพัฒนาสู่ความสำเร็จของนักกีฬากอล์ฟสตรีอาชีพไทยได้แก่ การฝึกซ้อม พรสวรรค์ การสื่อสาร สุขภาพร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ ที่ปรึกษาทางจิตวิทยา โค้ช/พี่เลี้ยง วิทยาศาสตร์การกีฬา การสนับสนุนจากภาคเอกชน การสนับสนุนจากครอบครัว งานวิจัยนี้ได้ค้นพบอีกว่า ความสำเร็จของนักกอล์ฟอาชีพไม่ขึ้นอยู่กับการสนับสนุนจากภาครัฐ และหน่วยงานภาครัฐไม่มีนโยบายที่สนับสนุนการพัฒนาสู่ความสำเร็จของนักกีฬากอล์ฟสตรีอาชีพไทยอย่างเป็นรูปธรรม แต่ความสำเร็จมาจากการสนับสนุนของครอบครัว ซึ่งเป็นความสำเร็จที่ทำประโยชน์ในการสร้างรายได้และการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ กล่าวคือ รัฐ/ประเทศชาติได้ประโยชน์จาก ประชารัฐ ข้อเสนอแนะหน่วยงานภาครัฐควรให้ความสำคัญในการสร้างและพัฒนาสู่ความสำเร็จของนักกีฬากอล์ฟอาชีพไทย Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27651 SIU THE-T. การพัฒนาสู่ความสำเร็จของนักกีฬากอล์ฟสตรีอาชีพไทย = The Development of Thai Female Professional Golfers [printed text] / อานนท์ เหมือนทัพ, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - vii, 195 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-01
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2561
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ความสำเร็จ
[LCSH]นักกอล์ฟKeywords: นักกอล์ฟอาชีพสตรี, การพัฒนา, ความสำเร็จ, ประชารัฐ Abstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาลักษณะของการพัฒนาสู่ความสำเร็จของนักกีฬากอล์ฟสตรีอาชีพไทย 2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้เกิดความสำเร็จของนักกีฬากอล์ฟสตรีอาชีพไทย และ 3) ศึกษาเปรียบเทียบความสำเร็จของนักกีฬากอล์ฟสตรีอาชีพไทย ซึ่งผู้วิจัยได้นำผลการวิจัยจากวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก และการสังเกตแบบมีส่วนร่วม และไม่มีส่วนร่วม จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ที่เป็นผู้ให้ข้อมูลหลักนักกอล์ฟสตรีอาชีพ จำนวน 5 คน และผู้ให้ข้อมูลรอง จำนวน 30 คน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือของข้อมูล โดยมีเครื่องมือวิจัย ได้แก่ ผู้วิจัย และแบบสัมภาษณ์เจาะลึกแบบมีโครงสร้าง เครื่องบันทึกเสียง สมุดจดบันทึก กล้องถ่ายรูป ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการพัฒนาสู่ความสำเร็จของนักกีฬากอล์ฟสตรีอาชีพไทยได้แก่ การฝึกซ้อม พรสวรรค์ การสื่อสาร สุขภาพร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ ที่ปรึกษาทางจิตวิทยา โค้ช/พี่เลี้ยง วิทยาศาสตร์การกีฬา การสนับสนุนจากภาคเอกชน การสนับสนุนจากครอบครัว งานวิจัยนี้ได้ค้นพบอีกว่า ความสำเร็จของนักกอล์ฟอาชีพไม่ขึ้นอยู่กับการสนับสนุนจากภาครัฐ และหน่วยงานภาครัฐไม่มีนโยบายที่สนับสนุนการพัฒนาสู่ความสำเร็จของนักกีฬากอล์ฟสตรีอาชีพไทยอย่างเป็นรูปธรรม แต่ความสำเร็จมาจากการสนับสนุนของครอบครัว ซึ่งเป็นความสำเร็จที่ทำประโยชน์ในการสร้างรายได้และการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ กล่าวคือ รัฐ/ประเทศชาติได้ประโยชน์จาก ประชารัฐ ข้อเสนอแนะหน่วยงานภาครัฐควรให้ความสำคัญในการสร้างและพัฒนาสู่ความสำเร็จของนักกีฬากอล์ฟอาชีพไทย Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27651 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000597128 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-01 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000597789 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-01 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. แนวทางการพัฒนา Smartphone ของผู้ให้บริการระบบการสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่มีผลต่อความต้องการของประชาชนใน กรุงเทพมหานครและปริมณฑล / กรรณิการ ฉัตรศรีแก้ว / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2017
Collection Title: SIU THE-T Title : แนวทางการพัฒนา Smartphone ของผู้ให้บริการระบบการสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่มีผลต่อความต้องการของประชาชนใน กรุงเทพมหานครและปริมณฑล Original title : A Guideline for Development of Smartphone by Mobile Network Providers Affecting the Needs of People in Bangkok Metropolis and the Outskirts of Bangkok Material Type: printed text Authors: กรรณิการ ฉัตรศรีแก้ว, Author ; วิษณุ สุวรรณเพิ่ม, Associated Name ; วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2017 Pagination: xii, 79 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: SOLA-MAMIC-2017-02
Thesis. [MAMIC.[Arts in Media Information and Communication]]. Shinawatra University, 2017.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การพัฒนา
[LCSH]สมาร์ทโฟน
[LCSH]โทรศัพท์เคลื่อนที่Keywords: แนวทางพัฒนา Smartphone, ผู้ให้บริการระบบการสื่อสารโทรศัพท์เคลื่อนที่ Abstract: วัตถุประสงค์ในการวิจัยครั้งนี้เพื่อ 1) ศึกษาลักษณะประชากรของผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone แต่ละผู้ให้บริการระบบการสื่อสารโทรศัพท์เคลื่อนที่ AIS, TRUE MOVE และ DTAC ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งมีแนวทางพัฒนามีผลต่อความต้องการ และการใช้ประโยชน์โทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone ในระดับที่ต่างกัน 2) ศึกษาพฤติกรรมการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone ของผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่ละระบบของผู้ให้บริการ 3) ศึกษาระบบเครือข่ายการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone ของผู้ให้บริการระบบการสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ AIS, TRUE MOVE และ DTAC ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งมีแนวทางพัฒนามีผลต่อความต้องการ และการใช้ประโยชน์โทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone ในระดับที่ต่างกัน 4) ศึกษาเทคนิคการนำเสนอการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphoneของผู้ใช้ แต่ละผู้ให้บริการระบบการสื่อสารผ่านโทรศัพท์
เคลื่อนที่ AIS, TRUE MOVE และ DTAC ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 5) ศึกษาความต้องการของผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone ที่บ่งชี้ถึงแนวทางพัฒนาการสื่อสารโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่มีผลต่อความต้องการของประชาชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ประชาชนผู้ใช้ Smartphone ของผู้ให้บริการระบบการสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่โทรศัพท์ เคลื่อนที่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 386 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถามผ่าน Online สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ t test การวิเคราะห์ค่าความแปรปรวนจำแนวทางเดียว (One-way Analysis of Variance--ANOVA) การเปรียบเทียบเชิงซ้อนรายคู่ (multiple-comparison) ของ LSD และการหาความสัมพันธ์โดยใช้การหาค่าสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน
ผลการวิจัยพบว่า
ลักษณะประชากรของผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย มีอายุ 30-34 ปี มากที่สุด มีการศึกษาในระดับปริญญาตรี มีอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน/รับจ้าง มีรายได้ต่อเดือน มากกว่า 30,000 บาท และนับถือศาสนาพุทธ
พฤติกรรมการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone คือ มีการใช้ทุกวัน ใช้แต่ละครั้งนาน 1-2 ชม. ช่วงเวลาที่ใช้มากที่สุด เวลา 20.00-22.00 น. ใช้ในที่พักอาศัย มีโทรศัพท์ 1 เครื่อง ใช้ในกิจกรรมความบันเทิง/
ดูหนัง ฟังเพลง และ เหตุผลที่ใช้ คือ ความบันเทิง
ระบบเครือข่ายการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ใช้ระบบเครือข่ายการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ใช้มากที่สุด คือ ได้แก่ AIS ระบบสัญญาณ 4G ยี่ห้อ Apple ราคามากกว่า 25,000 บาท และอิทธิผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้โทรศัพท์ ได้แก่ ตนเอง
ความต้องการของผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone ที่บ่งชี้ถึงแนวทางพัฒนาการสื่อสารโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่มีผลต่อความต้องการของประชาชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พบว่า สามารถเชื่อมต่อระบบเครือข่ายได้รวดเร็ว รองรับระบบสัญญาณที่ทันสมัยในอนาคต และความสามารถขยาย RAM ได้มาก
การเปรียบเทียบลักษณะของประชากรต่อแนวทางการพัฒนาโทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone ของผู้ให้บริการระบบการสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ พบว่า แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติระดับ 0.05
การเปรียบเทียบเทคนิคการนำเสนอการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone ต่อแนวทางการพัฒนา Smartphone ของผู้ให้บริการระบบการสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ พบว่า แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติระดับ 0.05
ความต้องการของผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone ต่อการพัฒนาการสื่อสารโทรศัพท์
เคลื่อนที่ ที่มีผลต่อความต้องการของประชาชน ไม่มีความสัมพันธ์กัน โดยมีความสัมพันธ์กันในเชิงบวกในบางข้อ ในระดับน้อย ในหัวข้อรูปแบบ/ขนาด/พกพาได้สะดวก กับสามารถเชื่อมต่อระบบนอกเครือข่ายได้ รูปแบบ/ขนาด/พกพาได้สะดวกกับออกแบบ Program สั่งงานระบบ Remote Control ได้ และรูปแบบ/ขนาด/พกพาได้สะดวกกับมีระบบชาร์ตแบบเตอรี่อัตโนมัติ
แนวทางพัฒนาโทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone มีระบบรองรับสัญญาณในอนาคตได้ ( = 4.59) อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมา ได้แก่ มีระบบชาร์ตแบตเตอรี่อัตโนมัติ อยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.56) และพัฒนาน้อยที่สุด ได้แก่ ตัวเครื่องกันน้ำระดับลึกได้ดี กับออกแบบ Program สั่งงานระบบ Remote มีระดับมาก ( = 4.33) เท่ากันCurricular : BALA/MTEIL Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27652 SIU THE-T. แนวทางการพัฒนา Smartphone ของผู้ให้บริการระบบการสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่มีผลต่อความต้องการของประชาชนใน กรุงเทพมหานครและปริมณฑล = A Guideline for Development of Smartphone by Mobile Network Providers Affecting the Needs of People in Bangkok Metropolis and the Outskirts of Bangkok [printed text] / กรรณิการ ฉัตรศรีแก้ว, Author ; วิษณุ สุวรรณเพิ่ม, Associated Name ; วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017 . - xii, 79 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: SOLA-MAMIC-2017-02
Thesis. [MAMIC.[Arts in Media Information and Communication]]. Shinawatra University, 2017.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การพัฒนา
[LCSH]สมาร์ทโฟน
[LCSH]โทรศัพท์เคลื่อนที่Keywords: แนวทางพัฒนา Smartphone, ผู้ให้บริการระบบการสื่อสารโทรศัพท์เคลื่อนที่ Abstract: วัตถุประสงค์ในการวิจัยครั้งนี้เพื่อ 1) ศึกษาลักษณะประชากรของผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone แต่ละผู้ให้บริการระบบการสื่อสารโทรศัพท์เคลื่อนที่ AIS, TRUE MOVE และ DTAC ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งมีแนวทางพัฒนามีผลต่อความต้องการ และการใช้ประโยชน์โทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone ในระดับที่ต่างกัน 2) ศึกษาพฤติกรรมการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone ของผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่ละระบบของผู้ให้บริการ 3) ศึกษาระบบเครือข่ายการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone ของผู้ให้บริการระบบการสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ AIS, TRUE MOVE และ DTAC ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งมีแนวทางพัฒนามีผลต่อความต้องการ และการใช้ประโยชน์โทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone ในระดับที่ต่างกัน 4) ศึกษาเทคนิคการนำเสนอการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphoneของผู้ใช้ แต่ละผู้ให้บริการระบบการสื่อสารผ่านโทรศัพท์
เคลื่อนที่ AIS, TRUE MOVE และ DTAC ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 5) ศึกษาความต้องการของผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone ที่บ่งชี้ถึงแนวทางพัฒนาการสื่อสารโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่มีผลต่อความต้องการของประชาชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ประชาชนผู้ใช้ Smartphone ของผู้ให้บริการระบบการสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่โทรศัพท์ เคลื่อนที่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 386 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถามผ่าน Online สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ t test การวิเคราะห์ค่าความแปรปรวนจำแนวทางเดียว (One-way Analysis of Variance--ANOVA) การเปรียบเทียบเชิงซ้อนรายคู่ (multiple-comparison) ของ LSD และการหาความสัมพันธ์โดยใช้การหาค่าสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน
ผลการวิจัยพบว่า
ลักษณะประชากรของผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย มีอายุ 30-34 ปี มากที่สุด มีการศึกษาในระดับปริญญาตรี มีอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน/รับจ้าง มีรายได้ต่อเดือน มากกว่า 30,000 บาท และนับถือศาสนาพุทธ
พฤติกรรมการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone คือ มีการใช้ทุกวัน ใช้แต่ละครั้งนาน 1-2 ชม. ช่วงเวลาที่ใช้มากที่สุด เวลา 20.00-22.00 น. ใช้ในที่พักอาศัย มีโทรศัพท์ 1 เครื่อง ใช้ในกิจกรรมความบันเทิง/
ดูหนัง ฟังเพลง และ เหตุผลที่ใช้ คือ ความบันเทิง
ระบบเครือข่ายการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ใช้ระบบเครือข่ายการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ใช้มากที่สุด คือ ได้แก่ AIS ระบบสัญญาณ 4G ยี่ห้อ Apple ราคามากกว่า 25,000 บาท และอิทธิผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้โทรศัพท์ ได้แก่ ตนเอง
ความต้องการของผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone ที่บ่งชี้ถึงแนวทางพัฒนาการสื่อสารโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่มีผลต่อความต้องการของประชาชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พบว่า สามารถเชื่อมต่อระบบเครือข่ายได้รวดเร็ว รองรับระบบสัญญาณที่ทันสมัยในอนาคต และความสามารถขยาย RAM ได้มาก
การเปรียบเทียบลักษณะของประชากรต่อแนวทางการพัฒนาโทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone ของผู้ให้บริการระบบการสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ พบว่า แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติระดับ 0.05
การเปรียบเทียบเทคนิคการนำเสนอการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone ต่อแนวทางการพัฒนา Smartphone ของผู้ให้บริการระบบการสื่อสารผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ พบว่า แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติระดับ 0.05
ความต้องการของผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone ต่อการพัฒนาการสื่อสารโทรศัพท์
เคลื่อนที่ ที่มีผลต่อความต้องการของประชาชน ไม่มีความสัมพันธ์กัน โดยมีความสัมพันธ์กันในเชิงบวกในบางข้อ ในระดับน้อย ในหัวข้อรูปแบบ/ขนาด/พกพาได้สะดวก กับสามารถเชื่อมต่อระบบนอกเครือข่ายได้ รูปแบบ/ขนาด/พกพาได้สะดวกกับออกแบบ Program สั่งงานระบบ Remote Control ได้ และรูปแบบ/ขนาด/พกพาได้สะดวกกับมีระบบชาร์ตแบบเตอรี่อัตโนมัติ
แนวทางพัฒนาโทรศัพท์เคลื่อนที่ Smartphone มีระบบรองรับสัญญาณในอนาคตได้ ( = 4.59) อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมา ได้แก่ มีระบบชาร์ตแบตเตอรี่อัตโนมัติ อยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.56) และพัฒนาน้อยที่สุด ได้แก่ ตัวเครื่องกันน้ำระดับลึกได้ดี กับออกแบบ Program สั่งงานระบบ Remote มีระดับมาก ( = 4.33) เท่ากันCurricular : BALA/MTEIL Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27652 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000597110 SIU THE-T: SOLA-MAMIC-2017-02 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000597144 SIU THE-T: SOLA-MAMIC-2017-02 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ลักษณะของธุรกิจครอบครัวที่ยั่งยืน / ปานรพร บุญเมฆ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : ลักษณะของธุรกิจครอบครัวที่ยั่งยืน Original title : Characteristics of Sustainable Family Business Material Type: printed text Authors: ปานรพร บุญเมฆ, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: viii, 160 p. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาคุณลักษณะของธุรกิจครอบครัวไทยโดยศึกษาปัจจัยและองค์ประกอบที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจได้ประสบผลความสำเร็จและมีความยั่งยืน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเจ้าของหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าของของบริษัทที่เป็นธุรกิจครอบครัวที่จดทะเบียนในจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ผลการวิจัยพบว่า ความเป็นหนึ่งเดียวของสมาชิกในครอบครัว การมีคณะกรรมการครอบครัว
(สภาครอบครัว) กฎระเบียบ (ธรรมนูญครอบครัว) การใช้มืออาชีพที่เป็นบุคคลภายนอกเข้าร่วมงาน ความเป็นสากลของธุรกิจ (มีธุรกรรมทางธุรกิจกับต่างประเทศ) มีหลักธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการธุรกิจ และการมีสัมพันธภาพที่ดีกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เป็นองค์ประกอบสำคัญที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จในการประกอบธุรกิจตลอดทั้งมีผลต่อความยั่งยืนของธุรกิจครอบครัวของไทย
นอกจากนี้ผลการวิจัยด้านคุณลักษณะพบว่าธุรกิจครอบครัวที่ประสบความสำเร็จและมีความยั่งยืนที่ทำการศึกษาในครั้งนี้มีการประยุกต์ใช้หลักการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลมีการประกาศให้พนักงานรับทราบ บริษัทปฏิบัติตามกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์และกฎระเบียบของครอบครัว ไม่เน้นการใช้เงินทุนจากสถาบันการเงินในการดำเนินธุรกิจปกติยกเว้นการใช้เงินทุนในระยะสั้น บริษัทมีกระบวนการในการคัดเลือกทายาทผู้สืบทอดธุรกิจที่ชัดเจน มีการฝึกอบรมทายาทให้เกิดการซึมซับวัฒนธรรมและค่านิยมขององค์การที่เป็นธุรกิจของครอบครัว สนับสนุนให้ทายาทเริ่มทำงานภายในหรือภายนอกธุรกิจของครอบครัว มีการมอบหมายให้ทายาทผู้ที่จะรับสืบทอดธุรกิจเริ่มทำงานในองค์การเริ่มตั้งแต่ตำแหน่งขั้นต้นก่อนเข้ารับตำแหน่งในระดับสูงเพื่อให้เกิดการยอมรับในหมู่พนักงานLanguages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การบริหารจัดการ
[LCSH]ธุรกิจครอบครัวKeywords: คุณลักษณะ
ความยั่งยืน
ธุรกิจครอบครัวCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27706 SIU THE-T. ลักษณะของธุรกิจครอบครัวที่ยั่งยืน = Characteristics of Sustainable Family Business [printed text] / ปานรพร บุญเมฆ, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - viii, 160 p. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาคุณลักษณะของธุรกิจครอบครัวไทยโดยศึกษาปัจจัยและองค์ประกอบที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจได้ประสบผลความสำเร็จและมีความยั่งยืน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเจ้าของหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าของของบริษัทที่เป็นธุรกิจครอบครัวที่จดทะเบียนในจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ผลการวิจัยพบว่า ความเป็นหนึ่งเดียวของสมาชิกในครอบครัว การมีคณะกรรมการครอบครัว
(สภาครอบครัว) กฎระเบียบ (ธรรมนูญครอบครัว) การใช้มืออาชีพที่เป็นบุคคลภายนอกเข้าร่วมงาน ความเป็นสากลของธุรกิจ (มีธุรกรรมทางธุรกิจกับต่างประเทศ) มีหลักธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการธุรกิจ และการมีสัมพันธภาพที่ดีกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เป็นองค์ประกอบสำคัญที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จในการประกอบธุรกิจตลอดทั้งมีผลต่อความยั่งยืนของธุรกิจครอบครัวของไทย
นอกจากนี้ผลการวิจัยด้านคุณลักษณะพบว่าธุรกิจครอบครัวที่ประสบความสำเร็จและมีความยั่งยืนที่ทำการศึกษาในครั้งนี้มีการประยุกต์ใช้หลักการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลมีการประกาศให้พนักงานรับทราบ บริษัทปฏิบัติตามกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์และกฎระเบียบของครอบครัว ไม่เน้นการใช้เงินทุนจากสถาบันการเงินในการดำเนินธุรกิจปกติยกเว้นการใช้เงินทุนในระยะสั้น บริษัทมีกระบวนการในการคัดเลือกทายาทผู้สืบทอดธุรกิจที่ชัดเจน มีการฝึกอบรมทายาทให้เกิดการซึมซับวัฒนธรรมและค่านิยมขององค์การที่เป็นธุรกิจของครอบครัว สนับสนุนให้ทายาทเริ่มทำงานภายในหรือภายนอกธุรกิจของครอบครัว มีการมอบหมายให้ทายาทผู้ที่จะรับสืบทอดธุรกิจเริ่มทำงานในองค์การเริ่มตั้งแต่ตำแหน่งขั้นต้นก่อนเข้ารับตำแหน่งในระดับสูงเพื่อให้เกิดการยอมรับในหมู่พนักงาน
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การบริหารจัดการ
[LCSH]ธุรกิจครอบครัวKeywords: คุณลักษณะ
ความยั่งยืน
ธุรกิจครอบครัวCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27706 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000597367 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-01 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000597359 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-01 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ความเจริญของวัดไทยในต่างแดน / ปวรุตม์ ฐิติพงศิริกุล / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : ความเจริญของวัดไทยในต่างแดน Original title : The Prosperity of Thai Buddhist Temples in Overseas Material Type: printed text Authors: ปวรุตม์ ฐิติพงศิริกุล, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: ix, 261 p. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-02
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]พระพุทธศาสนา
[LCSH]วัดไทย
[LCSH]วัดไทย -- จีน
[LCSH]วัดไทย -- สิงคโปร์Keywords: พระพุทธศาสนา,
ต่างแดน,
ความเจริญ,
วัดไทยAbstract: การศึกษาวิจัยนี้เป็นการศึกษาวัดไทยในต่างแดนว่ามีความเจริญรุ่งเรืองดำรงอยู่ได้เพราะอะไร และศึกษาแนวทางในการพัฒนาวัดไทยในต่างแดน เป็นการวิจัยแบบผสม มีกลุ่มเป้าหมายเป็นวัดจำนวน 2 พื้นที่คือวัดไทยในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และวัดไทยประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ เนื่องจากเป็นวัดที่มีผู้ไปเยี่ยมเยียนเป็นจำนวนมาก ประกอบกับเป็นขอบเขตที่ผู้วิจัยจะทำการศึกษาได้ไม่ไกลจนเกินไป ในการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยสอบถามพุทธศาสนิกชน ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาในเขตชุมชน รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่มาทำบุญ หรือเข้าร่วมจัดกิจกรรมที่วัด จำนวน 214 คน และการวิจัยเชิงคุณภาพ ทำการสัมภาษณ์เชิงลึก (Indepth-Interview) เจ้าอาวาสวัด/รองเจ้าอาวาส หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญ
ผลการศึกษา พบว่า วัดไทยในต่างแดนมีความเจริญขึ้น ด้วยเหตุผล 3 ประการคือประการที่หนึ่งด้านความเลื่อมใสศรัทธา ตามทฤษฎีปทัสถาน ประการที่สองด้านวัตถุ ตามทฤษฎีบริหารธุรกิจ เช่น คนเข้าวัดเพราะว่าอยากบูชาวัตถุมงคล เครื่องราง นำโชค มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด และประการสุดท้ายคือด้านการปรับตัว ตามทฤษฎีการปรับตัวขององค์การ และคนไปวัดเพราะว่าวัดรู้จักปรับตัวตามทฤษฎีการปรับตัวซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีการปรับตัวของ ทัลคอร์ต พาร์สัน ผลการวิจัยครั้งนี้พบว่า การที่จะสามารถปรับตัวที่ทำให้วัดไทยในต่างแดนมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นเพราะว่าจะต้องอิงกับธุรกิจบ้างเพื่อให้สามารถสนองตอบกับความต้องการของผู้มาทำบุญในต่างแดน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แต่เพื่อให้พระพุทธศาสนาดำรงตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าจะต้องสนับสนุนและส่งเสริมในเรื่องของปทัสถานลงไปและจะต้องปรับตัวให้ทันตามความเจริญก้าวหน้าของสังคมและตามความต้องการของสังคม และโลกในยุคดิจิทัลCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27708 SIU THE-T. ความเจริญของวัดไทยในต่างแดน = The Prosperity of Thai Buddhist Temples in Overseas [printed text] / ปวรุตม์ ฐิติพงศิริกุล, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - ix, 261 p. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-02
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]พระพุทธศาสนา
[LCSH]วัดไทย
[LCSH]วัดไทย -- จีน
[LCSH]วัดไทย -- สิงคโปร์Keywords: พระพุทธศาสนา,
ต่างแดน,
ความเจริญ,
วัดไทยAbstract: การศึกษาวิจัยนี้เป็นการศึกษาวัดไทยในต่างแดนว่ามีความเจริญรุ่งเรืองดำรงอยู่ได้เพราะอะไร และศึกษาแนวทางในการพัฒนาวัดไทยในต่างแดน เป็นการวิจัยแบบผสม มีกลุ่มเป้าหมายเป็นวัดจำนวน 2 พื้นที่คือวัดไทยในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน และวัดไทยประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ เนื่องจากเป็นวัดที่มีผู้ไปเยี่ยมเยียนเป็นจำนวนมาก ประกอบกับเป็นขอบเขตที่ผู้วิจัยจะทำการศึกษาได้ไม่ไกลจนเกินไป ในการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยสอบถามพุทธศาสนิกชน ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาในเขตชุมชน รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่มาทำบุญ หรือเข้าร่วมจัดกิจกรรมที่วัด จำนวน 214 คน และการวิจัยเชิงคุณภาพ ทำการสัมภาษณ์เชิงลึก (Indepth-Interview) เจ้าอาวาสวัด/รองเจ้าอาวาส หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญ
ผลการศึกษา พบว่า วัดไทยในต่างแดนมีความเจริญขึ้น ด้วยเหตุผล 3 ประการคือประการที่หนึ่งด้านความเลื่อมใสศรัทธา ตามทฤษฎีปทัสถาน ประการที่สองด้านวัตถุ ตามทฤษฎีบริหารธุรกิจ เช่น คนเข้าวัดเพราะว่าอยากบูชาวัตถุมงคล เครื่องราง นำโชค มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัด และประการสุดท้ายคือด้านการปรับตัว ตามทฤษฎีการปรับตัวขององค์การ และคนไปวัดเพราะว่าวัดรู้จักปรับตัวตามทฤษฎีการปรับตัวซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีการปรับตัวของ ทัลคอร์ต พาร์สัน ผลการวิจัยครั้งนี้พบว่า การที่จะสามารถปรับตัวที่ทำให้วัดไทยในต่างแดนมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นเพราะว่าจะต้องอิงกับธุรกิจบ้างเพื่อให้สามารถสนองตอบกับความต้องการของผู้มาทำบุญในต่างแดน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แต่เพื่อให้พระพุทธศาสนาดำรงตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าจะต้องสนับสนุนและส่งเสริมในเรื่องของปทัสถานลงไปและจะต้องปรับตัวให้ทันตามความเจริญก้าวหน้าของสังคมและตามความต้องการของสังคม และโลกในยุคดิจิทัลCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27708 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000597375 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-02 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000597409 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-02 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การประเมินนโยบายตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ว่าด้วยการละเมิดลิขสิทธิ์งานภาพยนตร์ / นันทพงศ์ อินทอง / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : การประเมินนโยบายตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ว่าด้วยการละเมิดลิขสิทธิ์งานภาพยนตร์ : Policy Evaluation of Copyright ACT 2573 (1994) For The Copyright Infringement in Cinematographic Works Material Type: printed text Authors: นันทพงศ์ อินทอง, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; บุญทัน ดอกไธสง, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: viii, 194 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-03
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การละเมิดลิขสิทธิ์
[LCSH]ลิขสิทธิ์Keywords: การประเมินนโยบาย, การละเมิดลขสิทธิ์งานภาพยนตร์, พระราชบัญญัติ ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 Abstract: การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษากระบวนการในการนำนโยบายตามพระราชบัญญัติ ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ว่าด้วยการละเมิดงานภาพยนตร์ไปปฏิบัติ 2) เพื่อประเมินนโยบายตามพระราชบัญญัติ ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ว่าด้วยการละเมิดงานภาพยนตร์ 3) เพื่อหาแนวทางในการปรับปรุงนโยบายตามพระราชบัญญัติ ลิขสิทธิ์ พ.ศ 2537 ว่าด้วยการละเมิดงานภาพยนตร์ไปปฏิบัติให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ โดยมีเครื่องมือที่สำคัญ ได้แก่ ผู้วิจัย และการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกแบบมีโครงสร้าง รวมทั้งการสังเกตแบบมีส่วนร่วม และไม่มีส่วนร่วม จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 38 คน ประกอบด้วย ส่วนแรก เป็น 3 หน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์เป็นหน่วยปฏิบัติงานหลัก ได้แก่ 1) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ 2) กรมทรัพย์สินทางปัญญา 3) สำนักงานอัยการฝ่ายคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ส่วนที่สอง เป็นการคัดเลือกผู้ให้ข้อมูลสำคัญแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรก คือ เจ้าของลิขสิทธิ์ กลุ่มที่สอง ผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ กลุ่มที่สาม ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการละเมิดลิขสิทธิ์ กลุ่มที่สี่ ผู้จัดการโรงภาพยนตร์ ผลการศึกษา พบว่า กระบวนการในการนำนโยบายตามพระราชบัญญัติ ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ว่าด้วยการละเมิดงานภาพยนตร์ไปปฏิบัติ ในระดับมหภาพ และการดำเนินการในระดับจุลภาพเป็นเพียงดำเนินการตามผลของการกระทำผิดเท่านั้น ไม่มีการรณรงค์หรือประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเกิดความร่วมมือที่จะไม่ละเมิดลิขสิทธิ์งานภาพยนตร์ และเทคโนโลยีที่ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้การป้องกันปราบปรามมีความยากลำบาก และจากการประเมินผลนโยบายการนำนโยบายนี้ไปปฏิบัติไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หลังจากมีการประกาศใช้ พรบ. ลิขสิทธิ์นี้ การละเมิดลิขสิทธิ์งานภาพยนตร์ เป็นปรากฎการณ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่มีวิธีการศึกษาในการหาวิธีการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน ถึงแม้ว่ามีการจับกุม ดำเนินคดี หรือการยอมความ แต่ผู้ละเมิดยังมีจำนวนเพิ่มขึ้น เนื่องจาก ผู้นำของรัฐไม่ให้ความสำคัญต่อการละเมิดลิขสิทธิ์เท่าที่ควรจะเป็นในเรื่องการสื่อสาร การสั่งการ ก็ตาม ข้อค้นพบสำคัญในการสร้างองค์ความรู้ คือ ทฤษฎีทางหลักนิติศาสตร์ กับ ทฤษฎีทางรัฐประศาสนศาสตร์ มีความไม่สอดคล้องกันภายใต้การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ข้อเสนอแนะ ด้านมหภาพ ผู้นำรัฐควรสื่อสารประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนให้เกิดวัฒนธรรมและค่านิยมให้เกิดความร่วมมือที่จะไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ รัฐควรกำหนดอัตราโทษทางอาญาให้เหมาะสมกับลักษณะของการกระทำความผิด เพื่อการแก้ไขปัญหาการใช้โทษทางอาญาเป็นเครื่องมือในการใช้สิทธิโดยมิชอบของเจ้าของลิขสิทธิ์ ควรมีการทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงกฎหมายลิขสิทธิ์อย่างสม่ำเสมอ ควรจัดให้มีการฝึกอบรม เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายลิขสิทธิ์แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายลิขสิทธิ์ ด้านจุลภาพ ในหน่วยปฏิบัติงานควรมีการรณรงค์ให้ประชาชนทราบถึงความผิดจากการละเมิดลิขสิทธิ์ และในกระบวนการการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27771 SIU THE-T. การประเมินนโยบายตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ว่าด้วยการละเมิดลิขสิทธิ์งานภาพยนตร์ : Policy Evaluation of Copyright ACT 2573 (1994) For The Copyright Infringement in Cinematographic Works [printed text] / นันทพงศ์ อินทอง, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; บุญทัน ดอกไธสง, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - viii, 194 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-03
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การละเมิดลิขสิทธิ์
[LCSH]ลิขสิทธิ์Keywords: การประเมินนโยบาย, การละเมิดลขสิทธิ์งานภาพยนตร์, พระราชบัญญัติ ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 Abstract: การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษากระบวนการในการนำนโยบายตามพระราชบัญญัติ ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ว่าด้วยการละเมิดงานภาพยนตร์ไปปฏิบัติ 2) เพื่อประเมินนโยบายตามพระราชบัญญัติ ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ว่าด้วยการละเมิดงานภาพยนตร์ 3) เพื่อหาแนวทางในการปรับปรุงนโยบายตามพระราชบัญญัติ ลิขสิทธิ์ พ.ศ 2537 ว่าด้วยการละเมิดงานภาพยนตร์ไปปฏิบัติให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ โดยมีเครื่องมือที่สำคัญ ได้แก่ ผู้วิจัย และการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกแบบมีโครงสร้าง รวมทั้งการสังเกตแบบมีส่วนร่วม และไม่มีส่วนร่วม จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 38 คน ประกอบด้วย ส่วนแรก เป็น 3 หน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์เป็นหน่วยปฏิบัติงานหลัก ได้แก่ 1) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ 2) กรมทรัพย์สินทางปัญญา 3) สำนักงานอัยการฝ่ายคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ส่วนที่สอง เป็นการคัดเลือกผู้ให้ข้อมูลสำคัญแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรก คือ เจ้าของลิขสิทธิ์ กลุ่มที่สอง ผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ กลุ่มที่สาม ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการละเมิดลิขสิทธิ์ กลุ่มที่สี่ ผู้จัดการโรงภาพยนตร์ ผลการศึกษา พบว่า กระบวนการในการนำนโยบายตามพระราชบัญญัติ ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ว่าด้วยการละเมิดงานภาพยนตร์ไปปฏิบัติ ในระดับมหภาพ และการดำเนินการในระดับจุลภาพเป็นเพียงดำเนินการตามผลของการกระทำผิดเท่านั้น ไม่มีการรณรงค์หรือประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเกิดความร่วมมือที่จะไม่ละเมิดลิขสิทธิ์งานภาพยนตร์ และเทคโนโลยีที่ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้การป้องกันปราบปรามมีความยากลำบาก และจากการประเมินผลนโยบายการนำนโยบายนี้ไปปฏิบัติไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หลังจากมีการประกาศใช้ พรบ. ลิขสิทธิ์นี้ การละเมิดลิขสิทธิ์งานภาพยนตร์ เป็นปรากฎการณ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยังไม่มีวิธีการศึกษาในการหาวิธีการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน ถึงแม้ว่ามีการจับกุม ดำเนินคดี หรือการยอมความ แต่ผู้ละเมิดยังมีจำนวนเพิ่มขึ้น เนื่องจาก ผู้นำของรัฐไม่ให้ความสำคัญต่อการละเมิดลิขสิทธิ์เท่าที่ควรจะเป็นในเรื่องการสื่อสาร การสั่งการ ก็ตาม ข้อค้นพบสำคัญในการสร้างองค์ความรู้ คือ ทฤษฎีทางหลักนิติศาสตร์ กับ ทฤษฎีทางรัฐประศาสนศาสตร์ มีความไม่สอดคล้องกันภายใต้การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ข้อเสนอแนะ ด้านมหภาพ ผู้นำรัฐควรสื่อสารประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนให้เกิดวัฒนธรรมและค่านิยมให้เกิดความร่วมมือที่จะไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ รัฐควรกำหนดอัตราโทษทางอาญาให้เหมาะสมกับลักษณะของการกระทำความผิด เพื่อการแก้ไขปัญหาการใช้โทษทางอาญาเป็นเครื่องมือในการใช้สิทธิโดยมิชอบของเจ้าของลิขสิทธิ์ ควรมีการทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงกฎหมายลิขสิทธิ์อย่างสม่ำเสมอ ควรจัดให้มีการฝึกอบรม เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายลิขสิทธิ์แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายลิขสิทธิ์ ด้านจุลภาพ ในหน่วยปฏิบัติงานควรมีการรณรงค์ให้ประชาชนทราบถึงความผิดจากการละเมิดลิขสิทธิ์ และในกระบวนการการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27771 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000597771 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-03 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000597805 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-03 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. กลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดเคมีภัณฑ์การเกษตรกรณีศึกษาประเทศเวียดนาม / สุนัดดา บัวดิษฐ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : กลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดเคมีภัณฑ์การเกษตรกรณีศึกษาประเทศเวียดนาม Material Type: printed text Authors: สุนัดดา บัวดิษฐ, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: ix, 150 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2018-02
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2561Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]กลยุทธ์การตลาด
[LCSH]เคมีภัณฑ์ -- การเกษตร -- เวียดนามKeywords: กลยุทธ์การเข้าสู่ตลาด,
เคมีภัณฑ์การเกษตร,
ประเทศเวียดนามAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษากลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดเคมีภัณฑ์การเกษตรกรณีศึกษาประเทศเวียดนามใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็น ผู้ประกอบการ ผู้ค้า ผู้บริหาร ธุรกิจที่ทำการค้าเคมีภัณฑ์เกษตรจำนวน 400 คน ด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์ค่าความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการวิเคราะห์ถดถอยพหุสัมพันธ์ (multiple regression analysis) ในการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรและยอมรับสมมุติฐานที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05
ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย มีอายุระหว่าง 36–40 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี มีสถานะเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว และปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งปัจจุบัน จำนวน 1–5 ปี นอกจากนี้ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้จำหน่าย มีแบรนด์เป็นของตนเอง 1- 5 แบรนด์ มีการจำหน่ายสินค้าเคมีภัณฑ์เกษตรไปประเทศอื่นนอกเหนือจากเวียดนาม และมีมูลค่าการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในเวียดนามรวม 10–20 ล้านบาท ต่อปี นอกจากนี้ ผลการวิจัยยังพบว่า ปัจจัยด้านราคามีความสำคัญสูงสุดในปัจจัยด้านส่วนประสมการตลาดต่อการดำเนินกลยุทธ์ในการเข้าสู่ตลาด ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อการทำธุรกิจเคมีภัณฑ์เกษตรในประเทศเวียดนาม พบว่าประสบการณ์ต่างประเทศของผู้ตอบแบบสอบถามมีอิทธิพลสูงที่สุดและ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามใช้กลยุทธ์การร่วมทุนมากที่สุด ผลการวิจัยยังพบความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์ต่างประเทศ ความเสี่ยงของประเทศ ความได้เปรียบด้านการดำเนินการกับการใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจและพบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านราคากับการใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจ นอกจากนี้ผลการวิจัย ยังพบความสัมพันธ์ระหว่างการลงทุนตรง หรือการเข้าไปผลิตและการร่วมทุน กับการเลือกใช้กลยุทธ์ในการเข้าสู่ตลาดเคมีภัณฑ์เกษตรเวียดนามที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05Curricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27827 SIU THE-T. กลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดเคมีภัณฑ์การเกษตรกรณีศึกษาประเทศเวียดนาม [printed text] / สุนัดดา บัวดิษฐ, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - ix, 150 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: SOM-DBA-2018-02
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2561
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]กลยุทธ์การตลาด
[LCSH]เคมีภัณฑ์ -- การเกษตร -- เวียดนามKeywords: กลยุทธ์การเข้าสู่ตลาด,
เคมีภัณฑ์การเกษตร,
ประเทศเวียดนามAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษากลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดเคมีภัณฑ์การเกษตรกรณีศึกษาประเทศเวียดนามใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็น ผู้ประกอบการ ผู้ค้า ผู้บริหาร ธุรกิจที่ทำการค้าเคมีภัณฑ์เกษตรจำนวน 400 คน ด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์ค่าความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการวิเคราะห์ถดถอยพหุสัมพันธ์ (multiple regression analysis) ในการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรและยอมรับสมมุติฐานที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05
ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย มีอายุระหว่าง 36–40 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี มีสถานะเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว และปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งปัจจุบัน จำนวน 1–5 ปี นอกจากนี้ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้จำหน่าย มีแบรนด์เป็นของตนเอง 1- 5 แบรนด์ มีการจำหน่ายสินค้าเคมีภัณฑ์เกษตรไปประเทศอื่นนอกเหนือจากเวียดนาม และมีมูลค่าการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในเวียดนามรวม 10–20 ล้านบาท ต่อปี นอกจากนี้ ผลการวิจัยยังพบว่า ปัจจัยด้านราคามีความสำคัญสูงสุดในปัจจัยด้านส่วนประสมการตลาดต่อการดำเนินกลยุทธ์ในการเข้าสู่ตลาด ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อการทำธุรกิจเคมีภัณฑ์เกษตรในประเทศเวียดนาม พบว่าประสบการณ์ต่างประเทศของผู้ตอบแบบสอบถามมีอิทธิพลสูงที่สุดและ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามใช้กลยุทธ์การร่วมทุนมากที่สุด ผลการวิจัยยังพบความสัมพันธ์ระหว่างประสบการณ์ต่างประเทศ ความเสี่ยงของประเทศ ความได้เปรียบด้านการดำเนินการกับการใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจและพบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านราคากับการใช้กลยุทธ์ทางธุรกิจ นอกจากนี้ผลการวิจัย ยังพบความสัมพันธ์ระหว่างการลงทุนตรง หรือการเข้าไปผลิตและการร่วมทุน กับการเลือกใช้กลยุทธ์ในการเข้าสู่ตลาดเคมีภัณฑ์เกษตรเวียดนามที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05Curricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27827 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000597862 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-02 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000597854 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-02 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเข้ามาของเทคโนโลยีของธนาคารพาณิชย์ไทย / สุธีรา ทิพย์วิวัฒน์พจนา / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเข้ามาของเทคโนโลยีของธนาคารพาณิชย์ไทย Original title : Human Resource Development to Support Arrival of Technology of Thai Commercial Banks Material Type: printed text Authors: สุธีรา ทิพย์วิวัฒน์พจนา, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีย์ เสวกวัชรี, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: xiii, 161 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2018-06
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2561Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
[LCSH]ธนาคารพาณิชย์ -- ไทย
[LCSH]นวัตกรรมทางเทคโนโลยีKeywords: การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์,
ธนาคารพาณิชย์ไทย,
การขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเข้ามาของเทคโนโลยีของธนาคารพาณิชย์ไทย (2) ศึกษาการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมของธนาคารพาณิชย์ไทย (3) เปรียบเทียบความแตกต่างของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเข้ามาของเทคโนโลยีของธนาคารพาณิชย์ไทย ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก (4) เปรียบเทียบความแตกต่างของการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมของธนาคารพาณิชย์ไทย ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก และ (5) ศึกษาปัจจัยด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเข้ามาของเทคโนโลยีที่สัมพันธ์และมีผลต่อการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมของธนาคารพาณิชย์ไทย
ประชากรในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ พนักงานของธนาคารพาณิชย์ไทย กลุ่มที่ 1 จำนวน 14 แห่ง เลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางประมาณขนาดกลุ่มตัวอย่างของเครจซีและมอร์แกนที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 445 คน เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ
ผลการวิจัยพบว่า (1) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเข้ามาของเทคโนโลยีของธนาคารพาณิชย์ไทย โดยรวมและรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมาก (2) การขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมของธนาคารพาณิชย์ไทย โดยรวมและรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมาก (3) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเข้ามาของเทคโนโลยีของธนาคารพาณิชย์ไทย ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ไม่แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 (4) การขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมของธนาคารพาณิชย์ไทย ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ไม่แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 (5) ปัจจัยด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเข้ามาของเทคโนโลยีมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมของธนาคารพาณิชย์ไทย และร่วมกันพยากรณ์การขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมของธนาคารพาณิชย์ไทย ได้ร้อยละ 95.7 ในเชิงบวกที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01Curricular : BBA/BSCS/GE/MBA/MSIT Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27835 SIU THE-T. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเข้ามาของเทคโนโลยีของธนาคารพาณิชย์ไทย = Human Resource Development to Support Arrival of Technology of Thai Commercial Banks [printed text] / สุธีรา ทิพย์วิวัฒน์พจนา, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีย์ เสวกวัชรี, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - xiii, 161 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2018-06
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2561
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
[LCSH]ธนาคารพาณิชย์ -- ไทย
[LCSH]นวัตกรรมทางเทคโนโลยีKeywords: การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์,
ธนาคารพาณิชย์ไทย,
การขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเข้ามาของเทคโนโลยีของธนาคารพาณิชย์ไทย (2) ศึกษาการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมของธนาคารพาณิชย์ไทย (3) เปรียบเทียบความแตกต่างของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเข้ามาของเทคโนโลยีของธนาคารพาณิชย์ไทย ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก (4) เปรียบเทียบความแตกต่างของการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมของธนาคารพาณิชย์ไทย ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก และ (5) ศึกษาปัจจัยด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเข้ามาของเทคโนโลยีที่สัมพันธ์และมีผลต่อการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมของธนาคารพาณิชย์ไทย
ประชากรในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ พนักงานของธนาคารพาณิชย์ไทย กลุ่มที่ 1 จำนวน 14 แห่ง เลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางประมาณขนาดกลุ่มตัวอย่างของเครจซีและมอร์แกนที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 445 คน เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ
ผลการวิจัยพบว่า (1) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเข้ามาของเทคโนโลยีของธนาคารพาณิชย์ไทย โดยรวมและรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมาก (2) การขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมของธนาคารพาณิชย์ไทย โดยรวมและรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมาก (3) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเข้ามาของเทคโนโลยีของธนาคารพาณิชย์ไทย ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ไม่แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 (4) การขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมของธนาคารพาณิชย์ไทย ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก ไม่แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 (5) ปัจจัยด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับการเข้ามาของเทคโนโลยีมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมของธนาคารพาณิชย์ไทย และร่วมกันพยากรณ์การขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมของธนาคารพาณิชย์ไทย ได้ร้อยละ 95.7 ในเชิงบวกที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01Curricular : BBA/BSCS/GE/MBA/MSIT Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27835 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000598167 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-06 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598134 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-06 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ปัจจัยด้านความรู้ของผู้ประกอบการที่มีต่อผลประกอบการของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมทางภาคเหนือของประเทศไทย / ภาคภูมิ ภัควิภาส / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : ปัจจัยด้านความรู้ของผู้ประกอบการที่มีต่อผลประกอบการของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมทางภาคเหนือของประเทศไทย Original title : Factors of Entrepreneur's Knowledge that affect SMEs Performances, Case of Northern Thailand Material Type: printed text Authors: ภาคภูมิ ภัควิภาส, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; วิไลพร เลาหโกศล, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: xvii, 379 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2018-05
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2561Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ผู้ประกอบการ
[LCSH]วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมKeywords: ปัจจัยด้านความรู้,
ผลประกอบการ,
วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมAbstract: งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาค้นหาปัจจัยด้านความรู้ของผู้ประกอบการ ที่ที่มีต่อผลประกอบการของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมทางภาคเหนือของประเทศไทย จากประชากรและกลุ่มตัวอย่างของผู้ประกอบการธุรกิจในเขตพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยทั้งหมด 17 จังหวัด จำนวน 400 ราย และ ทำการสัมภาษณ์ ผู้ประกอบการ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก อีก จำนวน 4 ราย โดยใช้ซึ่งกลุ่มตัวที่ทำการคัดเลือกโดยใช้วิธีการเลือกตัวอย่างแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็น (Nonprobability Sampling) การสุ่มเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling Technique) โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิตเชิงพรรณา ได้แก่ การหาค่าเฉลี่ยร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐาน ทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปร สำหรับกำหนดการวัดการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว One-Way ANOVA และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์ (Correlation Coefficient)
ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านความรู้ของผู้ประกอบการที่มีต่อผลประกอบการของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมทางภาคเหนือของประเทศไทย ในภาพรวมระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ซึ่งพิจารณารายด้านทั้ง 10 ด้าน ดังนี้ องค์การแห่งการเรียนรู้: (การส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยี) (x ̅ = 4.050, S.D. = 0.575) (แรงจูงใจในการเรียนรู้) (x ̅ = 3.998, S.D. = 0.689) และ (พลวัตการเรียนรู้) (x ̅ = 3.992, S.D. = 0.467) บรรยากาศการเรียนรู้: (การสื่อสาร) (x ̅ =4.040, S.D. = 0.469) และ (การเรียนรู้และแลกเปลี่ยนความรู้) (x ̅ = 3.761, S.D. = 0.504) การจัดการความรู้: (การแสวงหาความรู้) (x ̅ =4.154, S.D. = 0.564) (การประยุกต์ใช้ความรู้) (x ̅ = 4.144, S.D. = 0.589) (การจัดเก็บความรู้) (x ̅ =4.008, S.D. = 0.505) (การแบ่งปันความรู้) (x ̅ = 3.993, S.D. = 0.525) และ (การสร้างความรู้) (x ̅ = 3.591, S.D. = 0.765) ผลประกอบการของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมทางภาคเหนือของประเทศไทยในภาพรวมอยู่ในระดับผลการดำเนินงานของธุรกิจดีกว่าคู่แข่ง ซึ่งพิจารณารายด้านทั้ง 4 ด้าน ดังนี้ ผลการดำเนินงานด้านกระบวนการภายใน (x ̅ =4.097, S.D. = 0.665) ผลการดำเนินงานด้านการเรียนรู้และการเจริญเติบโต (x ̅ = 4.058, S.D. = 0.522) ผลการดำเนินงานด้านลูกค้า (x ̅ =3.995, S.D. = 0.503) และผลการดำเนินงานด้านการเงิน (x ̅ = 3.669, S.D. = 0.713)
การทดสอบสมมติฐานของการวิจัยพบว่า 1) ลักษะทางประชากรศาสตร์ที่แตกต่างกันทางด้าน อายุ มีค่าเฉลี่ยระดับความคิดเห็นต่อปัจจัยด้านความรู้ของผู้ประกอบการที่ไม่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ลักษะทางประชากรศาสตร์ที่แตกต่างกันทางด้าน ตำแหน่ง ระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน และกลุ่มประเภทของธุรกิจ มีค่าเฉลี่ยระดับความคิดเห็นต่อปัจจัยด้านความรู้ของผู้ประกอบการที่แตกต่างกัน ในส่วนของการทดสอบความสัมพันธ์ พบว่า 1) ปัจจัยความรู้ ด้านองค์การแห่งการเรียนรู้ มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมทางภาคเหนือของประเทศไทย ด้านลูกค้า ด้านการเรียนรู้และการเจริญเติบโต กระบวนการภายใน แต่ไม่มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อผลการดำเนินงาน ด้านการเงิน 2) ปัจจัยความรู้ ด้านบรรยากาศการเรียนรู้ มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมทางภาคเหนือของประเทศไทย ด้านการเรียนรู้และการเจริญเติบโต แต่ไม่มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อผลการดำเนินงาน ด้านการเงิน ด้านลูกค้า และด้านกระบวนการภายใน 3) ปัจจัยความรู้ ด้านการจัดการความรู้ มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมทางภาคเหนือของประเทศไทย ด้านผลการดำเนินงานด้านการเงิน แต่ไม่มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อผลการดำเนินงาน ด้านลูกค้า ด้านกระบวนการภายใน และด้านการเรียนรู้และการเจริญเติบโต
การนำงานวิจัยไปพัฒนาปัจจัยด้านความรู้ของผู้ประกอบการที่มีต่อผลประกอบการของกลุ่มวิสาหกิจขนาด กลางและขนาดย่อมทางภาคเหนือของประเทศไทย นอกจาก ผู้ประกอบการจะให้ความสำคัญ การนำองค์กร ในการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และกลยุทธ์ที่ชัดเจนแล้ว กลยุทธ์ระดับปฏิบัติการนั้นจะต้องมุ่งเน้นการพัฒนาองค์การให้เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ การพัฒนาและนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมไปถึงการจัดบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ให้กับบุคลากรในองค์ อีกด้วยCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27836 SIU THE-T. ปัจจัยด้านความรู้ของผู้ประกอบการที่มีต่อผลประกอบการของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมทางภาคเหนือของประเทศไทย = Factors of Entrepreneur's Knowledge that affect SMEs Performances, Case of Northern Thailand [printed text] / ภาคภูมิ ภัควิภาส, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; วิไลพร เลาหโกศล, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - xvii, 379 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2018-05
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2561
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ผู้ประกอบการ
[LCSH]วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมKeywords: ปัจจัยด้านความรู้,
ผลประกอบการ,
วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมAbstract: งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาค้นหาปัจจัยด้านความรู้ของผู้ประกอบการ ที่ที่มีต่อผลประกอบการของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมทางภาคเหนือของประเทศไทย จากประชากรและกลุ่มตัวอย่างของผู้ประกอบการธุรกิจในเขตพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยทั้งหมด 17 จังหวัด จำนวน 400 ราย และ ทำการสัมภาษณ์ ผู้ประกอบการ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก อีก จำนวน 4 ราย โดยใช้ซึ่งกลุ่มตัวที่ทำการคัดเลือกโดยใช้วิธีการเลือกตัวอย่างแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็น (Nonprobability Sampling) การสุ่มเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling Technique) โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิตเชิงพรรณา ได้แก่ การหาค่าเฉลี่ยร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐาน ทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปร สำหรับกำหนดการวัดการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว One-Way ANOVA และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์ (Correlation Coefficient)
ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านความรู้ของผู้ประกอบการที่มีต่อผลประกอบการของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมทางภาคเหนือของประเทศไทย ในภาพรวมระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ซึ่งพิจารณารายด้านทั้ง 10 ด้าน ดังนี้ องค์การแห่งการเรียนรู้: (การส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยี) (x ̅ = 4.050, S.D. = 0.575) (แรงจูงใจในการเรียนรู้) (x ̅ = 3.998, S.D. = 0.689) และ (พลวัตการเรียนรู้) (x ̅ = 3.992, S.D. = 0.467) บรรยากาศการเรียนรู้: (การสื่อสาร) (x ̅ =4.040, S.D. = 0.469) และ (การเรียนรู้และแลกเปลี่ยนความรู้) (x ̅ = 3.761, S.D. = 0.504) การจัดการความรู้: (การแสวงหาความรู้) (x ̅ =4.154, S.D. = 0.564) (การประยุกต์ใช้ความรู้) (x ̅ = 4.144, S.D. = 0.589) (การจัดเก็บความรู้) (x ̅ =4.008, S.D. = 0.505) (การแบ่งปันความรู้) (x ̅ = 3.993, S.D. = 0.525) และ (การสร้างความรู้) (x ̅ = 3.591, S.D. = 0.765) ผลประกอบการของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมทางภาคเหนือของประเทศไทยในภาพรวมอยู่ในระดับผลการดำเนินงานของธุรกิจดีกว่าคู่แข่ง ซึ่งพิจารณารายด้านทั้ง 4 ด้าน ดังนี้ ผลการดำเนินงานด้านกระบวนการภายใน (x ̅ =4.097, S.D. = 0.665) ผลการดำเนินงานด้านการเรียนรู้และการเจริญเติบโต (x ̅ = 4.058, S.D. = 0.522) ผลการดำเนินงานด้านลูกค้า (x ̅ =3.995, S.D. = 0.503) และผลการดำเนินงานด้านการเงิน (x ̅ = 3.669, S.D. = 0.713)
การทดสอบสมมติฐานของการวิจัยพบว่า 1) ลักษะทางประชากรศาสตร์ที่แตกต่างกันทางด้าน อายุ มีค่าเฉลี่ยระดับความคิดเห็นต่อปัจจัยด้านความรู้ของผู้ประกอบการที่ไม่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ลักษะทางประชากรศาสตร์ที่แตกต่างกันทางด้าน ตำแหน่ง ระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน และกลุ่มประเภทของธุรกิจ มีค่าเฉลี่ยระดับความคิดเห็นต่อปัจจัยด้านความรู้ของผู้ประกอบการที่แตกต่างกัน ในส่วนของการทดสอบความสัมพันธ์ พบว่า 1) ปัจจัยความรู้ ด้านองค์การแห่งการเรียนรู้ มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมทางภาคเหนือของประเทศไทย ด้านลูกค้า ด้านการเรียนรู้และการเจริญเติบโต กระบวนการภายใน แต่ไม่มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อผลการดำเนินงาน ด้านการเงิน 2) ปัจจัยความรู้ ด้านบรรยากาศการเรียนรู้ มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมทางภาคเหนือของประเทศไทย ด้านการเรียนรู้และการเจริญเติบโต แต่ไม่มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อผลการดำเนินงาน ด้านการเงิน ด้านลูกค้า และด้านกระบวนการภายใน 3) ปัจจัยความรู้ ด้านการจัดการความรู้ มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมทางภาคเหนือของประเทศไทย ด้านผลการดำเนินงานด้านการเงิน แต่ไม่มีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อผลการดำเนินงาน ด้านลูกค้า ด้านกระบวนการภายใน และด้านการเรียนรู้และการเจริญเติบโต
การนำงานวิจัยไปพัฒนาปัจจัยด้านความรู้ของผู้ประกอบการที่มีต่อผลประกอบการของกลุ่มวิสาหกิจขนาด กลางและขนาดย่อมทางภาคเหนือของประเทศไทย นอกจาก ผู้ประกอบการจะให้ความสำคัญ การนำองค์กร ในการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และกลยุทธ์ที่ชัดเจนแล้ว กลยุทธ์ระดับปฏิบัติการนั้นจะต้องมุ่งเน้นการพัฒนาองค์การให้เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ การพัฒนาและนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมไปถึงการจัดบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ให้กับบุคลากรในองค์ อีกด้วยCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27836 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000598183 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-05 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598159 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-05 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในจังหวัดตาก / ณรงค์ พึ่งพานิช / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในจังหวัดตาก Original title : People Participation in Democratic System at Tak Province Material Type: printed text Authors: ณรงค์ พึ่งพานิช, Author ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: ix, 166 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-06
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การมีส่วนร่วมทางการเมือง -- ตาก
[LCSH]ประชาธิปไตยKeywords: การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย Abstract: การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในจังหวัดตาก เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในจังหวัดตาก จำแนกตามลักษณะส่วนบุคคล และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมทางการเมืองกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในจังหวัดตาก เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ หน่วยวิเคราะห์คือ ประชาชนในจังหวัดตากที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ประชากรและกลุ่มตัวอย่างเป็นประชาชนในจังหวัดตากจำนวน 400 ราย สถิติที่ใช้คือ ค่าร้อยละ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนแบบมาตรฐาน ค่าสถิต ที – เทส เอฟ – เทส ค่าสถิติเพียร์สัน
การวิจัยพบว่า
1) ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในจังหวัดตาก ในภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง รองลงมา ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยสูง
2) การวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในจังหวัดตาก พบว่า ปัจจัยความเสมอภาคทางสังคมและทางการเมือง มีค่าเฉลี่ยสูดสุด รองลงมา คือ ปัจจัยสิ่งจูงใจ
3) เพศที่แตกต่างกัน มีผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาชนในจังหวัดตาก ไม่แตกต่างกัน ส่วน อายุ ระดับการศึกษา รายได้ และอาชีพ ที่แตกต่างกัน มีผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาชนในจังหวัดตาก แตกต่างกัน
4) ทุกพฤติกรรมทางการเมือง มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในจังหวัดตาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ณ ระดับความเชื่อมั่น 0.01Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27837 SIU THE-T. การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในจังหวัดตาก = People Participation in Democratic System at Tak Province [printed text] / ณรงค์ พึ่งพานิช, Author ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - ix, 166 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-06
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การมีส่วนร่วมทางการเมือง -- ตาก
[LCSH]ประชาธิปไตยKeywords: การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย Abstract: การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในจังหวัดตาก เพื่อศึกษาเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในจังหวัดตาก จำแนกตามลักษณะส่วนบุคคล และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมทางการเมืองกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในจังหวัดตาก เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ หน่วยวิเคราะห์คือ ประชาชนในจังหวัดตากที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ประชากรและกลุ่มตัวอย่างเป็นประชาชนในจังหวัดตากจำนวน 400 ราย สถิติที่ใช้คือ ค่าร้อยละ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนแบบมาตรฐาน ค่าสถิต ที – เทส เอฟ – เทส ค่าสถิติเพียร์สัน
การวิจัยพบว่า
1) ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในจังหวัดตาก ในภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง รองลงมา ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยสูง
2) การวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในจังหวัดตาก พบว่า ปัจจัยความเสมอภาคทางสังคมและทางการเมือง มีค่าเฉลี่ยสูดสุด รองลงมา คือ ปัจจัยสิ่งจูงใจ
3) เพศที่แตกต่างกัน มีผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาชนในจังหวัดตาก ไม่แตกต่างกัน ส่วน อายุ ระดับการศึกษา รายได้ และอาชีพ ที่แตกต่างกัน มีผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาชนในจังหวัดตาก แตกต่างกัน
4) ทุกพฤติกรรมทางการเมือง มีความสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในจังหวัดตาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ณ ระดับความเชื่อมั่น 0.01Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27837 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000598175 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-06 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598209 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-06 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ลักษณะองค์การที่เป็นเลิศที่มีต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย / รัฐนันท์ พงศ์วิริทธิ์ธร / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : ลักษณะองค์การที่เป็นเลิศที่มีต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย Original title : Characteristics of Excellence Performance Organization that Influencing the Performance of Small and Medium Enterprise in Northern Region of Thailand Material Type: printed text Authors: รัฐนันท์ พงศ์วิริทธิ์ธร, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; วิไลพร เลาหโกศล, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: xii, 266 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2018-03
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2561Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ธุรกิจขนาดกลาง
[LCSH]ธุรกิจขนาดย่อมKeywords: ลักษณะองค์กรที่เป็นเลิศ,
ผลการดำเนินงาน,
ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม,
ภาคเหนือของประเทศไทยAbstract: งานวิจัยครั้งนี้เพื่อทราบถึงลักษณะองค์การที่เป็นเลิศที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย จากประชากรและกลุ่มตัวอย่างของผู้ประกอบการธุรกิจในเขตพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยทั้งหมด 17 จังหวัด ซึ่งกลุ่มตัวที่ทำการคัดเลือกโดยใช้วิธีการเลือกตัวอย่างแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็น (Nonprobability Sampling) การสุ่มเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เนื่องจากข้อมูลในการประกอบธุรกิจมีความสำคัญและต้องให้ผู้ประกอบการสมัครใจ จำนวน 400 ราย โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิตเชิงพรรณา ได้แก่ การหาค่าเฉลี่ยร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Arithmetic Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการทดสอบสมมติฐาน (Hypothesis Testing) ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปซึ่งทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปร สำหรับกำหนดการวัดการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว One-Way ANOVA และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์ (Correlation Coefficient)
ผลการวิจัยพบว่า ลักษณะองค์การที่เป็นเลิศของธุรกิจธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ในภาพรวมสอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริงในระดับมาก (x̄ = 3.910) เมื่อพิจารณารายด้านทั้ง 6 ด้าน มีความสอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริงในระดับมากทุกด้านได้แก่ 1.) การนำองค์การ (การกำกับดูแลองค์การ) (x̄ = 3.865) 2.) การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ) (x̄ = 4.062) 3.) การมุ่งเน้นลูกค้า (x̄ = 3.723) 4.) การวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้ (x̄ = 3.967) 5.) การมุ่งเน้นบุคลากร (x̄ = 4.130) และ 6.) การมุ่งเน้นการปฏิบัติการ (x̄ = 3.715) ผลการดำเนินงานด้านผลลัพธ์ด้านการเงินของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ในภาพรวมอยู่ในระดับที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเป้าหมาย (x̄ = 3.752) เมื่อพิจารณารายข้ออยู่ในระดับที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเป้าหมายทุกข้อ ได้แก่ อัตราการขยายตัวปีล่าสุดของความสามารถในการชำระหนี้ (Leverage Ratio) (x̄ = 4.305) อัตราการขยายตัวปีล่าสุดของผลตอบแทนต่อนักลงทุน (ROI) (x̄ = 4.245) และอัตราการขยายตัวปีล่าสุดของผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) (x̄ = 3.925)
การทดสอบสมมติฐานของการวิจัยพบว่า ลักษะทางประชากรศาสตร์ที่แตกต่างกันทางด้าน อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน และกลุ่มประเภทของธุรกิจ มีค่าเฉลี่ยระดับความสอดคล้องต่อลักษณะขององค์การที่เป็นเลิศที่ไม่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามจะมีความแตกกันของลักษณะขององค์การที่เป็นเลิศจำแนกตามตำแหน่งงาน ส่วนลักษณะองค์การที่เป็นเลิศของธุรกิจธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทยนั้น พบว่า การนำองค์การ (r= 0.610, Sig.= 0.000) การวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้ (r= -0.160, Sig. = 0.001) การมุ่งเน้นบุคลากร (r= -0.156, Sig. = 0.002) มีความสัมพันธ์ต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งการวางแผนเชิงกลยุทธ์ (r= -0.001, Sig. = 0.997) การมุ่งเน้นลูกค้า (r= -0.090, Sig. = 0.071) และการมุ่งเน้นการปฏิบัติการ (r= 0.077, Sig. = 0.124) ไม่มีความสัมพันธ์ต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย
นอกจากนี้การนำงานวิจัยไปพัฒนาลักษณะองค์การที่เป็นเลิศที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ควรมุ่งเน้น การนำองค์กร ซึ่งผู้นำขององค์การได้ชี้นำ ในการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับเป้าหมายและสามารถสื่อสารภายในองค์การได้ทั้งองค์การ โดยมีระบบการกำกับดูแลองค์การ ด้านกฎหมาย จริยธรรม และความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งการตั้งเป้าหมายของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการควบคุม ติดตาม ประเมินผล เพื่อให้เป็นองค์กรแห่งความเป็นเลิศนั้น ควรต้องลดความสัมพันธ์เชิงลบหรือเป็นผลทางลบที่จะทำให้องค์การไม่เป็นองค์การแห่งความเป็นเลิศ โดยต้องมีการทบทวนเป้าหมาย การปรับเปลี่ยนแผนงานให้มีความหยืดหยุ่นหรือทันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจหรือเน้นการวางแผนงาน แผนคน แผนปฏิบัติ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์การ ซึ่งต้องมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ในตำแหน่งหน้าที่ของบุคลากร เพื่อให้การสร้างความหยืดหยุ่นในตำแหน่งงานCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27838 SIU THE-T. ลักษณะองค์การที่เป็นเลิศที่มีต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย = Characteristics of Excellence Performance Organization that Influencing the Performance of Small and Medium Enterprise in Northern Region of Thailand [printed text] / รัฐนันท์ พงศ์วิริทธิ์ธร, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; วิไลพร เลาหโกศล, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - xii, 266 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2018-03
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2561
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ธุรกิจขนาดกลาง
[LCSH]ธุรกิจขนาดย่อมKeywords: ลักษณะองค์กรที่เป็นเลิศ,
ผลการดำเนินงาน,
ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม,
ภาคเหนือของประเทศไทยAbstract: งานวิจัยครั้งนี้เพื่อทราบถึงลักษณะองค์การที่เป็นเลิศที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย จากประชากรและกลุ่มตัวอย่างของผู้ประกอบการธุรกิจในเขตพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยทั้งหมด 17 จังหวัด ซึ่งกลุ่มตัวที่ทำการคัดเลือกโดยใช้วิธีการเลือกตัวอย่างแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็น (Nonprobability Sampling) การสุ่มเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เนื่องจากข้อมูลในการประกอบธุรกิจมีความสำคัญและต้องให้ผู้ประกอบการสมัครใจ จำนวน 400 ราย โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิตเชิงพรรณา ได้แก่ การหาค่าเฉลี่ยร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Arithmetic Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการทดสอบสมมติฐาน (Hypothesis Testing) ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปซึ่งทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปร สำหรับกำหนดการวัดการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว One-Way ANOVA และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์ (Correlation Coefficient)
ผลการวิจัยพบว่า ลักษณะองค์การที่เป็นเลิศของธุรกิจธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ในภาพรวมสอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริงในระดับมาก (x̄ = 3.910) เมื่อพิจารณารายด้านทั้ง 6 ด้าน มีความสอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริงในระดับมากทุกด้านได้แก่ 1.) การนำองค์การ (การกำกับดูแลองค์การ) (x̄ = 3.865) 2.) การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ) (x̄ = 4.062) 3.) การมุ่งเน้นลูกค้า (x̄ = 3.723) 4.) การวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้ (x̄ = 3.967) 5.) การมุ่งเน้นบุคลากร (x̄ = 4.130) และ 6.) การมุ่งเน้นการปฏิบัติการ (x̄ = 3.715) ผลการดำเนินงานด้านผลลัพธ์ด้านการเงินของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ในภาพรวมอยู่ในระดับที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเป้าหมาย (x̄ = 3.752) เมื่อพิจารณารายข้ออยู่ในระดับที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเป้าหมายทุกข้อ ได้แก่ อัตราการขยายตัวปีล่าสุดของความสามารถในการชำระหนี้ (Leverage Ratio) (x̄ = 4.305) อัตราการขยายตัวปีล่าสุดของผลตอบแทนต่อนักลงทุน (ROI) (x̄ = 4.245) และอัตราการขยายตัวปีล่าสุดของผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) (x̄ = 3.925)
การทดสอบสมมติฐานของการวิจัยพบว่า ลักษะทางประชากรศาสตร์ที่แตกต่างกันทางด้าน อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน และกลุ่มประเภทของธุรกิจ มีค่าเฉลี่ยระดับความสอดคล้องต่อลักษณะขององค์การที่เป็นเลิศที่ไม่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามจะมีความแตกกันของลักษณะขององค์การที่เป็นเลิศจำแนกตามตำแหน่งงาน ส่วนลักษณะองค์การที่เป็นเลิศของธุรกิจธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทยนั้น พบว่า การนำองค์การ (r= 0.610, Sig.= 0.000) การวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้ (r= -0.160, Sig. = 0.001) การมุ่งเน้นบุคลากร (r= -0.156, Sig. = 0.002) มีความสัมพันธ์ต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งการวางแผนเชิงกลยุทธ์ (r= -0.001, Sig. = 0.997) การมุ่งเน้นลูกค้า (r= -0.090, Sig. = 0.071) และการมุ่งเน้นการปฏิบัติการ (r= 0.077, Sig. = 0.124) ไม่มีความสัมพันธ์ต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย
นอกจากนี้การนำงานวิจัยไปพัฒนาลักษณะองค์การที่เป็นเลิศที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ควรมุ่งเน้น การนำองค์กร ซึ่งผู้นำขององค์การได้ชี้นำ ในการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับเป้าหมายและสามารถสื่อสารภายในองค์การได้ทั้งองค์การ โดยมีระบบการกำกับดูแลองค์การ ด้านกฎหมาย จริยธรรม และความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งการตั้งเป้าหมายของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการควบคุม ติดตาม ประเมินผล เพื่อให้เป็นองค์กรแห่งความเป็นเลิศนั้น ควรต้องลดความสัมพันธ์เชิงลบหรือเป็นผลทางลบที่จะทำให้องค์การไม่เป็นองค์การแห่งความเป็นเลิศ โดยต้องมีการทบทวนเป้าหมาย การปรับเปลี่ยนแผนงานให้มีความหยืดหยุ่นหรือทันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจหรือเน้นการวางแผนงาน แผนคน แผนปฏิบัติ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์การ ซึ่งต้องมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ในตำแหน่งหน้าที่ของบุคลากร เพื่อให้การสร้างความหยืดหยุ่นในตำแหน่งงานCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27838 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000598191 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-03 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598225 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-03 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย / ปริตภา รุ่งเรืองกุล / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย Original title : Factors Affecting Human Resource Development of Real Estate Companies Listed in the Stock Exchange of Thailand Material Type: printed text Authors: ปริตภา รุ่งเรืองกุล, Author ; วิไลพร เลาหโกศล, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: xvi, 162 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2018-04
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2561Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
[LCSH]ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์Keywords: การบริหารทรัพยากรมนุษย์,
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์,
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3) เพื่อศึกษาข้อมูลเบื้องต้นในการปรับปรุงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และเป็นฐานความรู้ใหม่ๆ ทางวิชาการแก่ผู้สนใจศึกษานำไปอ้างอิงต่อยอดความรู้ให้เกิดประโยชน์ หรือเป็นพื้นฐานการศึกษาเปรียบเทียบกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งสถาบันการศึกษา หน่วยงานราชการและบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายด้านทรัพยากรมนุษย์ ผู้วิจัยได้ออกแบบการวิจัยเป็นแบบผสม (Mix Method) ประกอบด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) และการวิจัยเชิงปริมาณ (quantitative research) โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นหัวหน้างาน และพนักงานในระดับปฏิบัติการ จำนวน 450 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง และใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว One – Way Analysis of Variance (One – Way ANOVA) และการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ในการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร และยอมรับสมมติฐานที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ร่วมกับการวิจัยเชิงคุณภาพ จากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ผลการวิจัยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 31-35 ปี มีสถานภาพโสด การศึกษาระดับปริญญาตรี ตำแหน่งพนักงานระดับปฏิบัติการ มีอายุการทำงาน 7-9 ปี มีประสบการณ์การทำงานมากกว่า 9 ปีขึ้นไป เงินเดือนหรือค่าตอบแทนต่อเดือน 15,000 – 20,000 บาท ผลการวิจัยยังพบความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการองค์กร ประกอบด้วย อัตราการคงอยู่มีความสัมพันธ์กับภาวะผู้นำของผู้บริหารและระบบ/มาตรการขององค์กร นอกจากนี้ขวัญและกำลังใจมีความสัมพันธ์กับวิสัยทัศน์/พันธกิจและระบบ/มาตรการขององค์กร และการตอบสนองนโยบายมีความสัมพันธ์กับกลยุทธ์/นโยบาย, แนวความคิด, วิสัยทัศน์/พันธกิจ, ภาวะผู้นำของผู้บริหาร และระบบ/มาตรการขององค์กร ในส่วนความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยภายใน ประกอบด้วย อัตราการคงอยู่มีความสัมพันธ์กับเป้าหมายในชีวิตของพนักงานและสัญญาจ้าง(ลักษณะการจ้างงาน) ส่วนขวัญและกำลังใจมีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมองค์กร และการตอบสนองนโยบายมีความสัมพันธ์กับเป้าหมายในชีวิต, วัฒนธรรมองค์กร และสัญญาจ้าง(ลักษณะการจ้างงาน) นอกจากนี้ยังพบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยภายนอก ประกอบด้วย อัตราการคงอยู่มีความสัมพันธ์กับการเติบโตด้านเศรษฐกิจ, แนวโน้มทางการตลาด, การแข่งขัน และจำนวนประชากร ขวัญและกำลังใจมีความสัมพันธ์กับการเติบโตด้านเศรษฐกิจ, การแข่งขัน และจำนวนประชากร และการตอบสนองนโยบายมีความสัมพันธ์กับแนวโน้มทางการตลาดและการแข่งขัน กับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 รวมทั้งจากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกับผู้ตอบแบบสอบถาม โดยฝ่ายบริหารได้รับทราบ และให้ความสำคัญในการวางนโยบายและกลยุทธ์เพื่อสนองตอบความคาดหวังของพนักงานในเรื่องหลักอยู่แล้ว เนื่องจากแนวโน้มและทิศทางการตลาดอุตสาหกรรมนี้ รวมทั้งนโยบายของรัฐบาลทำให้ฝ่ายบริหารต้องปรับนโยบายให้ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27839 SIU THE-T. ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย = Factors Affecting Human Resource Development of Real Estate Companies Listed in the Stock Exchange of Thailand [printed text] / ปริตภา รุ่งเรืองกุล, Author ; วิไลพร เลาหโกศล, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - xvi, 162 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2018-04
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2561
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
[LCSH]ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์Keywords: การบริหารทรัพยากรมนุษย์,
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์,
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 2) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3) เพื่อศึกษาข้อมูลเบื้องต้นในการปรับปรุงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และเป็นฐานความรู้ใหม่ๆ ทางวิชาการแก่ผู้สนใจศึกษานำไปอ้างอิงต่อยอดความรู้ให้เกิดประโยชน์ หรือเป็นพื้นฐานการศึกษาเปรียบเทียบกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งสถาบันการศึกษา หน่วยงานราชการและบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดนโยบายด้านทรัพยากรมนุษย์ ผู้วิจัยได้ออกแบบการวิจัยเป็นแบบผสม (Mix Method) ประกอบด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) และการวิจัยเชิงปริมาณ (quantitative research) โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นหัวหน้างาน และพนักงานในระดับปฏิบัติการ จำนวน 450 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง และใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว One – Way Analysis of Variance (One – Way ANOVA) และการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ในการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร และยอมรับสมมติฐานที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ร่วมกับการวิจัยเชิงคุณภาพ จากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ผลการวิจัยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 31-35 ปี มีสถานภาพโสด การศึกษาระดับปริญญาตรี ตำแหน่งพนักงานระดับปฏิบัติการ มีอายุการทำงาน 7-9 ปี มีประสบการณ์การทำงานมากกว่า 9 ปีขึ้นไป เงินเดือนหรือค่าตอบแทนต่อเดือน 15,000 – 20,000 บาท ผลการวิจัยยังพบความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการองค์กร ประกอบด้วย อัตราการคงอยู่มีความสัมพันธ์กับภาวะผู้นำของผู้บริหารและระบบ/มาตรการขององค์กร นอกจากนี้ขวัญและกำลังใจมีความสัมพันธ์กับวิสัยทัศน์/พันธกิจและระบบ/มาตรการขององค์กร และการตอบสนองนโยบายมีความสัมพันธ์กับกลยุทธ์/นโยบาย, แนวความคิด, วิสัยทัศน์/พันธกิจ, ภาวะผู้นำของผู้บริหาร และระบบ/มาตรการขององค์กร ในส่วนความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยภายใน ประกอบด้วย อัตราการคงอยู่มีความสัมพันธ์กับเป้าหมายในชีวิตของพนักงานและสัญญาจ้าง(ลักษณะการจ้างงาน) ส่วนขวัญและกำลังใจมีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมองค์กร และการตอบสนองนโยบายมีความสัมพันธ์กับเป้าหมายในชีวิต, วัฒนธรรมองค์กร และสัญญาจ้าง(ลักษณะการจ้างงาน) นอกจากนี้ยังพบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยภายนอก ประกอบด้วย อัตราการคงอยู่มีความสัมพันธ์กับการเติบโตด้านเศรษฐกิจ, แนวโน้มทางการตลาด, การแข่งขัน และจำนวนประชากร ขวัญและกำลังใจมีความสัมพันธ์กับการเติบโตด้านเศรษฐกิจ, การแข่งขัน และจำนวนประชากร และการตอบสนองนโยบายมีความสัมพันธ์กับแนวโน้มทางการตลาดและการแข่งขัน กับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 รวมทั้งจากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกับผู้ตอบแบบสอบถาม โดยฝ่ายบริหารได้รับทราบ และให้ความสำคัญในการวางนโยบายและกลยุทธ์เพื่อสนองตอบความคาดหวังของพนักงานในเรื่องหลักอยู่แล้ว เนื่องจากแนวโน้มและทิศทางการตลาดอุตสาหกรรมนี้ รวมทั้งนโยบายของรัฐบาลทำให้ฝ่ายบริหารต้องปรับนโยบายให้ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27839 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000598241 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-04 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598217 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-04 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. วิธีการแข่งขันของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองระดับเทศบาลตำบล อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง / ฉัตรชัย เล็กบุญแถม / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : วิธีการแข่งขันของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองระดับเทศบาลตำบล อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง Original title : Competitive Strategies of Political Interest Groups at Subdistrict Municipality Level, Nikhompattana, District, Rayong Material Type: printed text Authors: ฉัตรชัย เล็กบุญแถม, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: ix, 133 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-07
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การปกครองท้องถิ่น Keywords: การเมืองระดับท้องถิ่น,
กลุ่มผลประโยชน์,
รูปแบบ,
วิธีการการแข่งขันAbstract: วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการแข่งขันของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองในระดับเทศบาลตำบล และศึกษาการใช้เครื่องมือที่กลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองนำมาใช้ในการแข่งขันทางการเมืองในระดับเทศบาลตำบลโดยใช้อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง เป็นกรณีศึกษา วิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้สัมภาษณ์เชิงลึกเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มผู้นำชุมชน กลุ่มสตรีแม่บ้าน กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มพ่อค้า/แม่ค้า และกลุ่มข้าราชการในพื้นที่เทศบาลตำบลมะขามคู่ เทศบาลตำบลมาบข่า และเทศบาลตำบลมาบข่าพัฒนา อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง จำนวน 110 คน
ผลการวิจัย พบว่า องค์ประกอบที่ทำให้กลุ่มนักการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการมีนโยบายที่ชัดเจน และสามารถตอบสนองความต้องการของชาวบ้านในพื้นที่ รู้และเข้าใจปัญหาเป็นอย่างดี โดยการเข้ามีส่วนร่วมกิจกรรมในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง มีความเป็นเครือญาติกับคนในพื้นที่มีความสัมพันธ์อันดีตลอดมา และยังมีพรรคการเมืองระดับชาติคอยให้การสนับสนุนให้ความช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ นอกจากนี้พบว่ามีการสร้างความนิยมจากประชาชนโดยการเข้าไปช่วยเหลือโครงการต่างๆ ส่งเสริมและเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชนอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนและร่วมผลักดันกิจกรรมใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์กับชุมชนอย่างต่อเนื่อง การเป็นกันเองกับชาวบ้านเหมือนญาติพี่น้อง ไม่แบ่งกลุ่มหรือประเภท โดยเฉพาะในเรื่องผลประโยชน์แอบแฝง และการปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนทุกภาคส่วน สำหรับปัจจัยที่มีอิทธิพลส่งผลต่อลักษณะการต่อสู้ทางการเมืองของกลุ่มผลประโยชน์ผลการวิจัยพบว่ามีลักษณะการต่อสู้ในรูปแบบของการเข้าพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นในเรื่องตัวบุคคล บทบาททางการเมือง นโยบาย การปกป้องผลประโยชน์ ตลอดจนความสัมพันธ์ โดยมีกลุ่มชาวบ้านคอยช่วยเหลือและอำนวยความสะดวก เร่งกระทำในเรื่องของประชานิยมของการแข่งขัน และเป็นไปในลักษณะของการลงพื้นที่หาเสียงโดยใช้ความสัมพันธ์เชิงเครือญาติ ซึ่งต่างฝ่ายต่างให้เครือญาติและเพื่อนๆ ช่วยเหลือเพื่อขอคะแนนเสียงจากประชาชนในพื้นที่ และที่สำคัญกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นได้ใช้ความสัมพันธ์ที่ดี เพื่อขอความช่วยเหลือจากนักการเมืองระดับประเทศเพื่อให้การสนับสนุน
ผลการวิจัยเกี่ยวกับรูปแบบและลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองในเขตพื้นที่ พบว่า มีการสร้างสัมพันธภาพของกลุ่มนักการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งและกลุ่มนักการเมืองที่แพ้การเลือกตั้ง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อบทบาทของกลุ่มองค์กรต่างๆ ของประชาชนในการรับสนับสนุนของกลุ่มนักการเมืองที่ชนะในการเลือกตั้งและกลุ่มนักการเมืองที่แพ้การเลือกตั้ง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อบทบาทความสำคัญของคุณสมบัติ และนโยบายของผู้สมัครรับเลือกตั้ง และผลจากบทบาทของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง ในเขตพื้นที่เทศบาลที่ พบว่า การสร้างบทบาทของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองในเขตพื้นที่ส่งผลบวกมากกว่าผลลบCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27842 SIU THE-T. วิธีการแข่งขันของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองระดับเทศบาลตำบล อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง = Competitive Strategies of Political Interest Groups at Subdistrict Municipality Level, Nikhompattana, District, Rayong [printed text] / ฉัตรชัย เล็กบุญแถม, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - ix, 133 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-07
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การปกครองท้องถิ่น Keywords: การเมืองระดับท้องถิ่น,
กลุ่มผลประโยชน์,
รูปแบบ,
วิธีการการแข่งขันAbstract: วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการแข่งขันของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองในระดับเทศบาลตำบล และศึกษาการใช้เครื่องมือที่กลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองนำมาใช้ในการแข่งขันทางการเมืองในระดับเทศบาลตำบลโดยใช้อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง เป็นกรณีศึกษา วิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้สัมภาษณ์เชิงลึกเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มผู้นำชุมชน กลุ่มสตรีแม่บ้าน กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มพ่อค้า/แม่ค้า และกลุ่มข้าราชการในพื้นที่เทศบาลตำบลมะขามคู่ เทศบาลตำบลมาบข่า และเทศบาลตำบลมาบข่าพัฒนา อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง จำนวน 110 คน
ผลการวิจัย พบว่า องค์ประกอบที่ทำให้กลุ่มนักการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการมีนโยบายที่ชัดเจน และสามารถตอบสนองความต้องการของชาวบ้านในพื้นที่ รู้และเข้าใจปัญหาเป็นอย่างดี โดยการเข้ามีส่วนร่วมกิจกรรมในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง มีความเป็นเครือญาติกับคนในพื้นที่มีความสัมพันธ์อันดีตลอดมา และยังมีพรรคการเมืองระดับชาติคอยให้การสนับสนุนให้ความช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ นอกจากนี้พบว่ามีการสร้างความนิยมจากประชาชนโดยการเข้าไปช่วยเหลือโครงการต่างๆ ส่งเสริมและเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชนอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนและร่วมผลักดันกิจกรรมใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์กับชุมชนอย่างต่อเนื่อง การเป็นกันเองกับชาวบ้านเหมือนญาติพี่น้อง ไม่แบ่งกลุ่มหรือประเภท โดยเฉพาะในเรื่องผลประโยชน์แอบแฝง และการปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนทุกภาคส่วน สำหรับปัจจัยที่มีอิทธิพลส่งผลต่อลักษณะการต่อสู้ทางการเมืองของกลุ่มผลประโยชน์ผลการวิจัยพบว่ามีลักษณะการต่อสู้ในรูปแบบของการเข้าพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นในเรื่องตัวบุคคล บทบาททางการเมือง นโยบาย การปกป้องผลประโยชน์ ตลอดจนความสัมพันธ์ โดยมีกลุ่มชาวบ้านคอยช่วยเหลือและอำนวยความสะดวก เร่งกระทำในเรื่องของประชานิยมของการแข่งขัน และเป็นไปในลักษณะของการลงพื้นที่หาเสียงโดยใช้ความสัมพันธ์เชิงเครือญาติ ซึ่งต่างฝ่ายต่างให้เครือญาติและเพื่อนๆ ช่วยเหลือเพื่อขอคะแนนเสียงจากประชาชนในพื้นที่ และที่สำคัญกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นได้ใช้ความสัมพันธ์ที่ดี เพื่อขอความช่วยเหลือจากนักการเมืองระดับประเทศเพื่อให้การสนับสนุน
ผลการวิจัยเกี่ยวกับรูปแบบและลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองในเขตพื้นที่ พบว่า มีการสร้างสัมพันธภาพของกลุ่มนักการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งและกลุ่มนักการเมืองที่แพ้การเลือกตั้ง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อบทบาทของกลุ่มองค์กรต่างๆ ของประชาชนในการรับสนับสนุนของกลุ่มนักการเมืองที่ชนะในการเลือกตั้งและกลุ่มนักการเมืองที่แพ้การเลือกตั้ง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อบทบาทความสำคัญของคุณสมบัติ และนโยบายของผู้สมัครรับเลือกตั้ง และผลจากบทบาทของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง ในเขตพื้นที่เทศบาลที่ พบว่า การสร้างบทบาทของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองในเขตพื้นที่ส่งผลบวกมากกว่าผลลบCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27842 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000598266 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-07 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598233 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-07 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การจัดการเชิงกลยุทธ์การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ในการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียน / กิจเสริม เวศย์ไกรศรี / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : การจัดการเชิงกลยุทธ์การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ในการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียน Original title : Strategies Management for Building a Competitive Advantage in Thai Rice Export to International Asean Economic Communication (AEC) Material Type: printed text Authors: กิจเสริม เวศย์ไกรศรี, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: ix, 185 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-04
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การจัดการเชิงกลยุทธ์
[LCSH]ข้าว -- ไทย -- การส่งออกKeywords: การจัดการเชิงกลยุทธ์, การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน, การส่งออกข้าวไทย, ประชาคมอาเซียน Abstract: การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบถึงการจัดการเชิงกลยุทธ์ที่สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียน เพื่อทราบถึงปัจจัยที่สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในการส่งออกข้าวไทย เพื่อทราบถึงคุณลักษณะของผู้ประกอบการที่สร้างความได้เปรียบในการดำเนินการส่งออกข้าวไทย และเพื่อทราบแนวทางหรือข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติที่เป็นประโยชน์ต่อการจัดการเชิงกลยุทธ์การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในการส่งออกข้าวไทย โดยการศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ สัมภาษณ์เชิงลึกเก็บข้อมูลจากผู้ประกอบการส่งออกข้าวไทย เป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 12 คน ผลการวิจัยได้ข้อค้นพบองค์ความรู้ คือ การที่ผู้ส่งออกจะได้เปรียบทางการแข่งขันต้องนำทฤษฎีความร่วมมือมาใช้เป็นกลยุทธ์ในการส่งออก เนื่องจากต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างผู้ส่งออกและภาครัฐ โดยที่รัฐบาลให้การสนับสนุนการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียน และพัฒนาปรับปรุงนโยบายสาธารณะในการส่งออกข้าวไทย ตลอดจนนำแนวคิดเกี่ยวกับ SWOT (จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค) มาใช้ในการส่งออกข้าว และนำทฤษฎีระบบเปิดมาใช้ในการตลาดเพื่อนำทฤษฎีนี้มาใช้ในการจัดการองค์การให้มีความทันสมัย และต้องมีการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการพัฒนาระบบการส่งออกข้าวไทยให้มีประสิทธิภาพและความได้เปรียบทางการแข่งขันใน การส่งออกมากยิ่งๆ ขึ้น และจากการศึกษาพบประเด็นปัญหาที่ทำให้ความได้เปรียบทางการแข่งขันในการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียนลดลง ประกอบด้วยปัญหาต้นทุนการผลิตต่อไร่สูงแต่ผลผลิตต่อไร่ต่ำ ระบบชลประทานในพื้นที่เพาะปลูกมีจำกัด งบประมาณการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับการผลิตข้าวน้อยเกินไป ราคาส่งออกข้าวไทยสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ขาดการประชาสัมพันธ์ในการสร้าง ตราสินค้าข้าวไทยในตลาดอาเซียนและตลาดโลก ระบบและต้นทุนขนส่งข้าวของไทยอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะประเทศเวียดนาม และไม่มีนโยบายและ ยุทธศาสตร์ข้าวที่ชัดเจนภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ดังนั้นหากต้องการจะเพิ่มความได้เปรียบทางการแข่งขันในการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียน สามารถดำเนินการได้โดยผู้ประกอบการส่งออกข้าวไทยต้องร่วมมือกับรัฐบาลไทยให้มากขึ้น และรัฐบาลไทยจะต้องให้การสนับสนุนการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียน จะต้องมีการพัฒนาและปรับปรุงนโยบายสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียนให้มีความชัดเจน Curricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27863 SIU THE-T. การจัดการเชิงกลยุทธ์การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ในการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียน = Strategies Management for Building a Competitive Advantage in Thai Rice Export to International Asean Economic Communication (AEC) [printed text] / กิจเสริม เวศย์ไกรศรี, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - ix, 185 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-04
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การจัดการเชิงกลยุทธ์
[LCSH]ข้าว -- ไทย -- การส่งออกKeywords: การจัดการเชิงกลยุทธ์, การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน, การส่งออกข้าวไทย, ประชาคมอาเซียน Abstract: การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบถึงการจัดการเชิงกลยุทธ์ที่สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียน เพื่อทราบถึงปัจจัยที่สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในการส่งออกข้าวไทย เพื่อทราบถึงคุณลักษณะของผู้ประกอบการที่สร้างความได้เปรียบในการดำเนินการส่งออกข้าวไทย และเพื่อทราบแนวทางหรือข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติที่เป็นประโยชน์ต่อการจัดการเชิงกลยุทธ์การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในการส่งออกข้าวไทย โดยการศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ สัมภาษณ์เชิงลึกเก็บข้อมูลจากผู้ประกอบการส่งออกข้าวไทย เป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 12 คน ผลการวิจัยได้ข้อค้นพบองค์ความรู้ คือ การที่ผู้ส่งออกจะได้เปรียบทางการแข่งขันต้องนำทฤษฎีความร่วมมือมาใช้เป็นกลยุทธ์ในการส่งออก เนื่องจากต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างผู้ส่งออกและภาครัฐ โดยที่รัฐบาลให้การสนับสนุนการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียน และพัฒนาปรับปรุงนโยบายสาธารณะในการส่งออกข้าวไทย ตลอดจนนำแนวคิดเกี่ยวกับ SWOT (จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค) มาใช้ในการส่งออกข้าว และนำทฤษฎีระบบเปิดมาใช้ในการตลาดเพื่อนำทฤษฎีนี้มาใช้ในการจัดการองค์การให้มีความทันสมัย และต้องมีการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการพัฒนาระบบการส่งออกข้าวไทยให้มีประสิทธิภาพและความได้เปรียบทางการแข่งขันใน การส่งออกมากยิ่งๆ ขึ้น และจากการศึกษาพบประเด็นปัญหาที่ทำให้ความได้เปรียบทางการแข่งขันในการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียนลดลง ประกอบด้วยปัญหาต้นทุนการผลิตต่อไร่สูงแต่ผลผลิตต่อไร่ต่ำ ระบบชลประทานในพื้นที่เพาะปลูกมีจำกัด งบประมาณการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับการผลิตข้าวน้อยเกินไป ราคาส่งออกข้าวไทยสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ขาดการประชาสัมพันธ์ในการสร้าง ตราสินค้าข้าวไทยในตลาดอาเซียนและตลาดโลก ระบบและต้นทุนขนส่งข้าวของไทยอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะประเทศเวียดนาม และไม่มีนโยบายและ ยุทธศาสตร์ข้าวที่ชัดเจนภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ดังนั้นหากต้องการจะเพิ่มความได้เปรียบทางการแข่งขันในการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียน สามารถดำเนินการได้โดยผู้ประกอบการส่งออกข้าวไทยต้องร่วมมือกับรัฐบาลไทยให้มากขึ้น และรัฐบาลไทยจะต้องให้การสนับสนุนการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียน จะต้องมีการพัฒนาและปรับปรุงนโยบายสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียนให้มีความชัดเจน Curricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27863 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000597920 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-04 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Due for return by 04/05/2019 32002000597912 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-04 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทย / อลงกรณ์ สถาปัตยานนท์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทย Original title : Factors Influencing the Achievement of Administration Information and Communication Technology System for the Rajabhat University in Thailand Material Type: printed text Authors: อลงกรณ์ สถาปัตยานนท์, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: x, 197 p. Layout: Tables, ill. Size: 30 cm. Price: 500.00 Baht. General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-05
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การบริหารงานโดยมุ่งผลสัมฤทธิ์
[LCSH]ระบบสารสนเทศ
[LCSH]เทคโนโลยีสารสนเทศKeywords: ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ,
มหาวิทยาลัยราชภัฏ,
ผลสัมฤทธิ์การบริหารAbstract: การวิจัยเรื่องปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์การวิจัย1) เพื่อศึกษาระดับผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทย 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทยในประเทศไทย 3) เพื่อเป็นข้อเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทย เป็นการวิจัยเชิงผสม โดยการวิจัยเชิงปริมาณ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ อาจารย์ผู้สอนในการตอบแบบสอบถามจำนวน 400 คน จากมหาวิทยาลัยราชภัฏในกลุ่มรัตนโกสินทร์ และกำหนดกลุ่มตัวอย่างจากสูตรของยามาเน ได้จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่แบบสอบถาม และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหาร อาจารย์ผู้สอน และเจ้าหน้าที่จากมหาวิทยาลัยราชภัฏในกลุ่มรัตนโกสินทร์ จำนวน 4 คน ผลการวิจัย พบว่า ผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจะมีประสิทธิภาพมีคุณภาพในการให้บริการและการบริหารได้ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัย ดังนี้ 1) ความชัดเจนของวัตถุประสงค์และเป้าหมายของนโยบายการบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 2) ระดับการให้ความสำคัญของการใช้งบประมาณในหน่วยงาน 3) ความสนับสนุนของผู้นำในหน่วยงาน/องค์การ 4) ความสนับสนุนจากภาครัฐ 5) การให้สิ่งจูงใจให้บุคลากรในองค์การใช้เทคโนโลยีเรื่องวัสดุอุปกรณ์และตัวเงินในการจัดหา 6) ประสิทธิภาพของการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในองค์การ 7) ปัจจัยประสิทธิผลของการสื่อสาร 8) ความสนับสนุนจากภาคเอกชน และ 9) การให้สิ่งจูงใจให้บุคลากรในองค์การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยทำให้มีโอกาสก้าวหน้าตามลำดับ และผลจากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศมีความสัมพันธ์กับความชัดเจนของวัตถุประสงค์และเป้าหมาย มากที่สุด รองลงมาคือการให้ความสำคัญของการใช้งบประมาณในหน่วยงาน ความสนับสนุนของผู้นำในหน่วยงาน ความสนับสนุนจากภาครัฐ การให้สิ่งจูงใจให้บุคลากรในองค์การใช้เทคโนโลยี การจัดหาประสิทธิภาพของการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในองค์การ ความสนับสนุนจากภาคเอกชนและประสิทธิผลของการสื่อสาร ตามลำดับ ข้อเสนอแนะในการวิจัย คือ 1) ผู้นำ/ผู้บริหารมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 2) มหาวิทยาลัยจะต้องมีแผนปฏิบัติการประจำปีที่ชัดเจนในการทำแผนแม่บททั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยแต่ละปีต้องมีแผนงบประมาณรายปีที่ชัดเจน 3) จากผลการวิจัยเชิงปริมาณพบว่า งบประมาณมีผลต่อผลสัมฤทธิ์จึงต้องมีการจัดทำแผนงบประมาณให้พ้องกับนโยบายและต้องมีสัดส่วน 1:0.45 และ 4)จากผลการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้บริหารควรมีการสนับสนุนการให้นโยบายการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยกรบวนการสรรหาอธิการบดีมหาวิทยาลัยควรให้มีการแสดงวิสัยทัศน์ในการกำหนดนโยบายการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศด้วย Curricular : GE/MSIT/PhDT Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27864 SIU THE-T. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทย = Factors Influencing the Achievement of Administration Information and Communication Technology System for the Rajabhat University in Thailand [printed text] / อลงกรณ์ สถาปัตยานนท์, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - x, 197 p. : Tables, ill. ; 30 cm.
500.00 Baht.
SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-05
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การบริหารงานโดยมุ่งผลสัมฤทธิ์
[LCSH]ระบบสารสนเทศ
[LCSH]เทคโนโลยีสารสนเทศKeywords: ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ,
มหาวิทยาลัยราชภัฏ,
ผลสัมฤทธิ์การบริหารAbstract: การวิจัยเรื่องปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์การวิจัย1) เพื่อศึกษาระดับผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทย 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทยในประเทศไทย 3) เพื่อเป็นข้อเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทย เป็นการวิจัยเชิงผสม โดยการวิจัยเชิงปริมาณ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ อาจารย์ผู้สอนในการตอบแบบสอบถามจำนวน 400 คน จากมหาวิทยาลัยราชภัฏในกลุ่มรัตนโกสินทร์ และกำหนดกลุ่มตัวอย่างจากสูตรของยามาเน ได้จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่แบบสอบถาม และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหาร อาจารย์ผู้สอน และเจ้าหน้าที่จากมหาวิทยาลัยราชภัฏในกลุ่มรัตนโกสินทร์ จำนวน 4 คน ผลการวิจัย พบว่า ผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจะมีประสิทธิภาพมีคุณภาพในการให้บริการและการบริหารได้ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัย ดังนี้ 1) ความชัดเจนของวัตถุประสงค์และเป้าหมายของนโยบายการบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 2) ระดับการให้ความสำคัญของการใช้งบประมาณในหน่วยงาน 3) ความสนับสนุนของผู้นำในหน่วยงาน/องค์การ 4) ความสนับสนุนจากภาครัฐ 5) การให้สิ่งจูงใจให้บุคลากรในองค์การใช้เทคโนโลยีเรื่องวัสดุอุปกรณ์และตัวเงินในการจัดหา 6) ประสิทธิภาพของการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในองค์การ 7) ปัจจัยประสิทธิผลของการสื่อสาร 8) ความสนับสนุนจากภาคเอกชน และ 9) การให้สิ่งจูงใจให้บุคลากรในองค์การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยทำให้มีโอกาสก้าวหน้าตามลำดับ และผลจากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศมีความสัมพันธ์กับความชัดเจนของวัตถุประสงค์และเป้าหมาย มากที่สุด รองลงมาคือการให้ความสำคัญของการใช้งบประมาณในหน่วยงาน ความสนับสนุนของผู้นำในหน่วยงาน ความสนับสนุนจากภาครัฐ การให้สิ่งจูงใจให้บุคลากรในองค์การใช้เทคโนโลยี การจัดหาประสิทธิภาพของการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในองค์การ ความสนับสนุนจากภาคเอกชนและประสิทธิผลของการสื่อสาร ตามลำดับ ข้อเสนอแนะในการวิจัย คือ 1) ผู้นำ/ผู้บริหารมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 2) มหาวิทยาลัยจะต้องมีแผนปฏิบัติการประจำปีที่ชัดเจนในการทำแผนแม่บททั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยแต่ละปีต้องมีแผนงบประมาณรายปีที่ชัดเจน 3) จากผลการวิจัยเชิงปริมาณพบว่า งบประมาณมีผลต่อผลสัมฤทธิ์จึงต้องมีการจัดทำแผนงบประมาณให้พ้องกับนโยบายและต้องมีสัดส่วน 1:0.45 และ 4)จากผลการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้บริหารควรมีการสนับสนุนการให้นโยบายการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยกรบวนการสรรหาอธิการบดีมหาวิทยาลัยควรให้มีการแสดงวิสัยทัศน์ในการกำหนดนโยบายการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศด้วย Curricular : GE/MSIT/PhDT Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27864 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000597888 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-05 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000597870 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-05 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available