From this page you can:
Home |
Collection details
Collection SIU THE-T
Documents available under this collective title
Add the result to your basketSIU THE-T. ปัจจัยที่มีผลต่อความเข้มแข็งขององค์การบริหารส่วนบุคคล: การวิเคราะห์ปัญหาและสาเหตุ / ประสูตร เหลืองสมานกุล / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2016
Collection Title: SIU THE-T Title : ปัจจัยที่มีผลต่อความเข้มแข็งขององค์การบริหารส่วนบุคคล: การวิเคราะห์ปัญหาและสาเหตุ Original title : Factors Affecting the Strengths of Tambon Administrative Organizations: An Analysis of Problems and Causes Material Type: printed text Authors: ประสูตร เหลืองสมานกุล, Author ; พิเชษฐ์ วงศ์เกียรติ์ขจร, Associated Name ; วรเดช จันทรศร, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2016 Pagination: viii, 230 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2016-07
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]องค์การบริหารส่วนตำบล
[LCSH]องค์การบริหารส่วนตำบล -- การบริหารKeywords: ปัจจัยความเข้มแข็ง
องค์การบริหารส่วนตำบลCurricular : MBA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26594 SIU THE-T. ปัจจัยที่มีผลต่อความเข้มแข็งขององค์การบริหารส่วนบุคคล: การวิเคราะห์ปัญหาและสาเหตุ = Factors Affecting the Strengths of Tambon Administrative Organizations: An Analysis of Problems and Causes [printed text] / ประสูตร เหลืองสมานกุล, Author ; พิเชษฐ์ วงศ์เกียรติ์ขจร, Associated Name ; วรเดช จันทรศร, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016 . - viii, 230 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: IPAG-DPA-2016-07
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]องค์การบริหารส่วนตำบล
[LCSH]องค์การบริหารส่วนตำบล -- การบริหารKeywords: ปัจจัยความเข้มแข็ง
องค์การบริหารส่วนตำบลCurricular : MBA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26594 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000592368 SIU THE-T: IPAG-DPA-2016-07 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000592335 SIU THE-T: IPAG-DPA-2016-07 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ปัจจัยที่อธิบายธรรมาภิบาลของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในภาคตะวันออกของประเทศไทย / ธนบดี ฐานะชาลา / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2016
Collection Title: SIU THE-T Title : ปัจจัยที่อธิบายธรรมาภิบาลของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในภาคตะวันออกของประเทศไทย Original title : Factors Explaining Good Governance among Administrators of the Local Administration Organization in the Eastern Region of Thailand Material Type: printed text Authors: ธนบดี ฐานะชาลา, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2016 Pagination: xi, 263 p. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2016-11
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ธรรมรัฐ -- ไทย (ภาคตะวันออก)
[LCSH]องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น -- การบริหารKeywords: ธรรมาภิบาล
ปัจจัยที่อธิบายธรรมาภิบาล
รัฐประศาสนศาสตร์Abstract: การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับธรรมาภิบาลของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในภาคตะวันออกของประเทศไทย 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่อธิบายธรรมาภิบาลของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในภาคตะวันออกของประเทศไทย
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัย เชิงปริมาณและเสริมด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ข้าราชการ/พนักงาน จำนวน 345 คน และผู้นำชุมชน จำนวน 14 คน ใน 7 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดจันทบุรี จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี จังหวัดตราด จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดระยอง และจังหวัดสระแก้ว เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยผ่านการตรวจสอบความแม่นตรงจากผู้ทรงคุณวุฒิ มีค่าเท่ากับ 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .988 (α coefficient = .988) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการหาค่าการถดถอยเชิงพหุคูณ
ผลการวิจัย พบว่า
1. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลระดับธรรมาภิบาลของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในภาคตะวันออกของประเทศไทย พบว่า โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อันดับหนึ่ง คือ ด้านหลักความรับผิดชอบ รองลงมา คือ ด้านหลักความมีส่วนร่วม หลักนิติธรรม หลักความคุ้มค่า หลักคุณธรรม และหลักความโปร่งใส ตามลำดับ
2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลระดับปัจจัยที่อธิบายธรรมาภิบาลของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในภาคตะวันออกของประเทศไทย พบว่า โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก อันดับหนึ่ง คือ ด้านภาวะผู้นำ รองลงมา คือ ด้านการสื่อสารระหว่างรัฐกับประชาชน ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน และกลไกในการตรวจสอบถ่วงดุล ตามลำดับ
3. ผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่อธิบายธรรมาภิบาลของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยใช้สถิติการถดถอยเชิงพหุคูณ (multiple regression) ผลการ
วิเคราะห์ พบว่า ปัจจัยที่อธิบายธรรมาภิบาลของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 4 ตัวแปร เรียงลำดับความสำคัญจากมากไปน้อย คือ ภาวะผู้นำ (X1),การมีส่วนร่วมของประชาชน (X2), กลไกในการตรวจสอบถ่วงดุล (X3) และ การสื่อสารระหว่างรัฐกับประชาชน (X4) มีผลต่อภาพรวมธรรมาภิบาลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ 41.00% ที่ระดับนัยสำคัญ .05
ข้อค้นพบนี้ นำไปสู่แนวทางในการพัฒนาธรรมาภิบาลของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบของการพัฒนาเชิงบูรณาการ ซึ่งหมายถึง การยกระดับธรรมาภิบาลของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะต้องดำเนินการทั้งในด้านการพัฒนาผู้นำ การจัดระบบและกระบวนการให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ รวมตลอดถึงการพัฒนากลไกลในการตรวจสอบและถ่วงดุล ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากยิ่งขึ้น และมีการสื่อสารที่หลากหลายระหว่างรัฐกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ในทางทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ จึงสรุปได้จากข้อค้นพบนี้ว่า ไม่มีทฤษฎีเดียวในการพัฒนา ธรรมาภิบาล การพัฒนาธรรมาภิบาลจึงต้องอาศัยทฤษฎีที่เป็นสหวิทยาการและมี การบูรณาการCurricular : GE/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26609 SIU THE-T. ปัจจัยที่อธิบายธรรมาภิบาลของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในภาคตะวันออกของประเทศไทย = Factors Explaining Good Governance among Administrators of the Local Administration Organization in the Eastern Region of Thailand [printed text] / ธนบดี ฐานะชาลา, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016 . - xi, 263 p. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: IPAG-DPA-2016-11
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ธรรมรัฐ -- ไทย (ภาคตะวันออก)
[LCSH]องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น -- การบริหารKeywords: ธรรมาภิบาล
ปัจจัยที่อธิบายธรรมาภิบาล
รัฐประศาสนศาสตร์Abstract: การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับธรรมาภิบาลของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในภาคตะวันออกของประเทศไทย 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่อธิบายธรรมาภิบาลของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในภาคตะวันออกของประเทศไทย
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัย เชิงปริมาณและเสริมด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ข้าราชการ/พนักงาน จำนวน 345 คน และผู้นำชุมชน จำนวน 14 คน ใน 7 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดจันทบุรี จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี จังหวัดตราด จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดระยอง และจังหวัดสระแก้ว เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยผ่านการตรวจสอบความแม่นตรงจากผู้ทรงคุณวุฒิ มีค่าเท่ากับ 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .988 (α coefficient = .988) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการหาค่าการถดถอยเชิงพหุคูณ
ผลการวิจัย พบว่า
1. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลระดับธรรมาภิบาลของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในภาคตะวันออกของประเทศไทย พบว่า โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อันดับหนึ่ง คือ ด้านหลักความรับผิดชอบ รองลงมา คือ ด้านหลักความมีส่วนร่วม หลักนิติธรรม หลักความคุ้มค่า หลักคุณธรรม และหลักความโปร่งใส ตามลำดับ
2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลระดับปัจจัยที่อธิบายธรรมาภิบาลของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในภาคตะวันออกของประเทศไทย พบว่า โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก อันดับหนึ่ง คือ ด้านภาวะผู้นำ รองลงมา คือ ด้านการสื่อสารระหว่างรัฐกับประชาชน ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน และกลไกในการตรวจสอบถ่วงดุล ตามลำดับ
3. ผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่อธิบายธรรมาภิบาลของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยใช้สถิติการถดถอยเชิงพหุคูณ (multiple regression) ผลการ
วิเคราะห์ พบว่า ปัจจัยที่อธิบายธรรมาภิบาลของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 4 ตัวแปร เรียงลำดับความสำคัญจากมากไปน้อย คือ ภาวะผู้นำ (X1),การมีส่วนร่วมของประชาชน (X2), กลไกในการตรวจสอบถ่วงดุล (X3) และ การสื่อสารระหว่างรัฐกับประชาชน (X4) มีผลต่อภาพรวมธรรมาภิบาลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ 41.00% ที่ระดับนัยสำคัญ .05
ข้อค้นพบนี้ นำไปสู่แนวทางในการพัฒนาธรรมาภิบาลของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบของการพัฒนาเชิงบูรณาการ ซึ่งหมายถึง การยกระดับธรรมาภิบาลของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะต้องดำเนินการทั้งในด้านการพัฒนาผู้นำ การจัดระบบและกระบวนการให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ รวมตลอดถึงการพัฒนากลไกลในการตรวจสอบและถ่วงดุล ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากยิ่งขึ้น และมีการสื่อสารที่หลากหลายระหว่างรัฐกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ในทางทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ จึงสรุปได้จากข้อค้นพบนี้ว่า ไม่มีทฤษฎีเดียวในการพัฒนา ธรรมาภิบาล การพัฒนาธรรมาภิบาลจึงต้องอาศัยทฤษฎีที่เป็นสหวิทยาการและมี การบูรณาการCurricular : GE/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26609 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000592566 SIU THE-T: IPAG-DPA-2016-11 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ความศรัทธาของนักธุรกิจต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่สรรพากร / นัชพณ ฤทธิ์คำรพ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2017
Collection Title: SIU THE-T Title : ความศรัทธาของนักธุรกิจต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่สรรพากร Original title : The Faith of Businessmen in the Work Operation of Police Officers and Tax Revenue Officers Material Type: printed text Authors: นัชพณ ฤทธิ์คำรพ, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; อุมาหฤทัย วรรณศรี, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2017 Pagination: xi, 172 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2017-01
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ความเชื่อถือได้
[LCSH]นักธุรกิจ
[LCSH]เจ้าหน้าที่ตำรวจ -- การปฏิบัติงาน
[LCSH]เจ้าหน้าที่สรรพากร -- การปฏิบัติงานKeywords: ความศรัทธา,
เจ้าหน้าที่ตำรวจ,
เจ้าหน้าที่สรรพากรAbstract: การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความศรัทธาของนักธุรกิจต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่สรรพากร และ 2) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความศรัทธาของนักธุรกิจต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่สรรพากร
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้การสำรวจเก็บข้อมูลจากนักธุรกิจเอกชน ในอำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง และจังหวัดจันทบุรี จำนวน 392 คน จากประชากรนักธุรกิจเอกชน จำนวน 20,055 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย ใช้แบบสอบถามที่ผ่านตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาและความเชื่อมั่น สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียวและการวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุ
ผลการวิจัยพบว่า ระดับความศรัทธาของนักธุรกิจต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ อยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 2.96) และ เจ้าหน้าสรรพากร อยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 3.11)
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความศรัทธาของนักธุรกิจต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เห็นจากค่าสัมประสิทธิ์มากไปหาน้อย ได้แก่ 1) ภาวะผู้นำ (X1) 2) พฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติ (X2) และ 3) ประสิทธิภาพของกลไกในการตรวจสอบและถ่วงดุล (X4) โดยมีสมการพยากรณ์ Ý1 = 0.596 + 0.474X1 + 0.268X2 + 0.156X4 และ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ R2 = 0.515
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความศรัทธาของนักธุรกิจต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่สรรพากรเจ้าหน้าที่สรรพากรและมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เห็นจากค่าสัมประสิทธิ์มากไปหาน้อย ได้แก่ 1) ประสิทธิภาพของกลไกในการตรวจสอบและถ่วงดุล (X4) 2) พฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ (X2) 3) ภาวะผู้นำ (X1) และ 4) ประสิทธิภาพของการสื่อสาร (X3) โดยมีสมการพยากรณ์ Ý2 = 0.327 + 0.107X1 + 0.353X2 + 0.212X3 + 0.380X4 และ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ R2 = 0.659
ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้รับความศรัทธาจากนักธุรกิจมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับภาวะผู้นำ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าระบบของตำรวจยังไม่ดีพอ ส่วนเจ้าหน้าที่สรรพากร จะได้รับความศรัทธาจากนักธุรกิจมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับระบบการตรวจสอบและถ่วงดุล
จึงเห็นว่าสองหน่วยงานแตกต่างกัน ทั้งนี้ เนื่องจากระบบงานของตำรวจตามทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ เป็นระบบราชการแบบดั้งเดิม การบริหารขึ้นอยู่กับภาวะผู้นำ เป็นการบริหารจัดการภาครัฐที่เน้นสายบังคับบัญชา มีขั้นตอนการควบคุมที่มีความชัดเจน และส่วนระบบงานของสรรพากรเป็นการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ มีการใช้ระบบการตรวจสอบและถ่วงดุล เพื่อป้องกันมิให้อำนาจอยู่ในมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพียงฝ่ายเดียวCurricular : BBA/GE/MBA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26627 SIU THE-T. ความศรัทธาของนักธุรกิจต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่สรรพากร = The Faith of Businessmen in the Work Operation of Police Officers and Tax Revenue Officers [printed text] / นัชพณ ฤทธิ์คำรพ, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; อุมาหฤทัย วรรณศรี, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017 . - xi, 172 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: IPAG-DPA-2017-01
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ความเชื่อถือได้
[LCSH]นักธุรกิจ
[LCSH]เจ้าหน้าที่ตำรวจ -- การปฏิบัติงาน
[LCSH]เจ้าหน้าที่สรรพากร -- การปฏิบัติงานKeywords: ความศรัทธา,
เจ้าหน้าที่ตำรวจ,
เจ้าหน้าที่สรรพากรAbstract: การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความศรัทธาของนักธุรกิจต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่สรรพากร และ 2) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความศรัทธาของนักธุรกิจต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่สรรพากร
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้การสำรวจเก็บข้อมูลจากนักธุรกิจเอกชน ในอำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี จังหวัดระยอง และจังหวัดจันทบุรี จำนวน 392 คน จากประชากรนักธุรกิจเอกชน จำนวน 20,055 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย ใช้แบบสอบถามที่ผ่านตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาและความเชื่อมั่น สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียวและการวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุ
ผลการวิจัยพบว่า ระดับความศรัทธาของนักธุรกิจต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ อยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 2.96) และ เจ้าหน้าสรรพากร อยู่ในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 3.11)
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความศรัทธาของนักธุรกิจต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เห็นจากค่าสัมประสิทธิ์มากไปหาน้อย ได้แก่ 1) ภาวะผู้นำ (X1) 2) พฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติ (X2) และ 3) ประสิทธิภาพของกลไกในการตรวจสอบและถ่วงดุล (X4) โดยมีสมการพยากรณ์ Ý1 = 0.596 + 0.474X1 + 0.268X2 + 0.156X4 และ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ R2 = 0.515
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความศรัทธาของนักธุรกิจต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่สรรพากรเจ้าหน้าที่สรรพากรและมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เห็นจากค่าสัมประสิทธิ์มากไปหาน้อย ได้แก่ 1) ประสิทธิภาพของกลไกในการตรวจสอบและถ่วงดุล (X4) 2) พฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ (X2) 3) ภาวะผู้นำ (X1) และ 4) ประสิทธิภาพของการสื่อสาร (X3) โดยมีสมการพยากรณ์ Ý2 = 0.327 + 0.107X1 + 0.353X2 + 0.212X3 + 0.380X4 และ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ R2 = 0.659
ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้รับความศรัทธาจากนักธุรกิจมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับภาวะผู้นำ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าระบบของตำรวจยังไม่ดีพอ ส่วนเจ้าหน้าที่สรรพากร จะได้รับความศรัทธาจากนักธุรกิจมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับระบบการตรวจสอบและถ่วงดุล
จึงเห็นว่าสองหน่วยงานแตกต่างกัน ทั้งนี้ เนื่องจากระบบงานของตำรวจตามทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ เป็นระบบราชการแบบดั้งเดิม การบริหารขึ้นอยู่กับภาวะผู้นำ เป็นการบริหารจัดการภาครัฐที่เน้นสายบังคับบัญชา มีขั้นตอนการควบคุมที่มีความชัดเจน และส่วนระบบงานของสรรพากรเป็นการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ มีการใช้ระบบการตรวจสอบและถ่วงดุล เพื่อป้องกันมิให้อำนาจอยู่ในมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพียงฝ่ายเดียวCurricular : BBA/GE/MBA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26627 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000592798 SIU THE-T: IPAG-DPA-2017-01 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000592822 SIU THE-T: IPAG-DPA-2017-01 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ประสิทธิผลของการบริหารกิจการคณะสงฆ์ / พระสมบัติ (ธมฺมิโก) สุขทวีเลิศพงศ์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2017
Collection Title: SIU THE-T Title : ประสิทธิผลของการบริหารกิจการคณะสงฆ์ Original title : The Effectiveness of the Sangha Administration Material Type: printed text Authors: พระสมบัติ (ธมฺมิโก) สุขทวีเลิศพงศ์, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; สมชาย รัตนโกมุท, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2017 Pagination: x, 193 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2017-02
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]คณะสงฆ์ -- การบริหาร
[LCSH]ประสิทธิผลองค์การ -- การศึกษาเฉพาะกรณี
[LCSH]ภาวะผู้นำKeywords: ประสิทธิผล,
การบริหาร,
กิจการคณะสงฆ์Abstract: งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาประสิทธิผลของการบริหารกิจการคณะสงฆ์ของคณะสงฆ์ เป็นกรณีศึกษาวัดในเขตจังหวัดนครปฐม 6 ด้าน โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างพระสังฆาธิการจำนวน 400 รูป จากประชากรพระสังฆาธิการจำนวน 1,273 รูป ผลการวิจัยพบว่าพระสังฆาธิการส่วนใหญ่มี อายุ 41 – 50 ปี มีพรรษา 21 – 30 พรรษา จบปริญญาตรีหรือเทียบเท่า จบนักธรรมชั้นเอกและไม่มีวุฒิทางเปรียญธรรม ประสิทธิผลของการบริหารกิจการคณะสงฆ์พบว่าอยู่ในระดับมากในทุกด้านซึ่งได้แก่ ด้านงานสาธารณูปการ ด้านงานการปกครอง ด้านงานศึกษาสงเคราะห์ ด้านงานศาสนศึกษา ด้านงานเผยแผ่ศาสนธรรมและด้านงานสาธารณสงเคราะห์
ผลการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ สรุปได้ว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดประสิทธิผลของการบริหารกิจการคณะสงฆ์ มากที่สุดโดยลำดับได้แก่ ภาวะผู้นำของเจ้าอาวาส คุณภาพการบริหาร และการมีส่วนร่วมสนับสนุนตามลำดับ โดยมีสมการพยากรณ์ Ŷ = A 0.759 + 0.429X1 + 0.421X2+ 0.418X3 ค่า R Square = 0.761
การวิจัยนี้ ได้ค้นพบทฤษฎีสำคัญที่ส่งผลให้เกิดประสิทธิผลการบริหารกิจการคณะสงฆ์ คือ ทฤษฎีภาวะผู้นำ ทฤษฎีการบริหารและทฤษฎีการมีส่วนร่วมและได้สะท้อนให้เห็นว่าวัดยังมีการบริหารงานตามทฤษฎีองค์การในระบบปิดเพราะประสิทธิผลของการบริหารกิจการคณะสงฆ์ยังขึ้นอยู่กับภาวะผู้นำของเจ้าอาวาสเป็นหลักจึงควรที่จะเปิดการบริหารกิจการวัดให้มีผู้มีส่วนร่วมสนับสนุนจากสภาพแวดล้อมภายนอกตามทฤษฎีองค์การระบบเปิดให้มากยิ่งขึ้นและมีการปรับโครงสร้างการแบ่งงานของการบริหารวัดให้มีรองเจ้าอาวาสหรือผู้ช่วยเจ้าอาวาสผู้รับผิดชอบในด้านต่างๆและมีคณะสงฆ์ปฏิบัติหน้าที่รองรับในแต่ละด้านอย่างเป็นระบบตามหลักการจัดองค์การที่ยึดหลักกฎหมายและเหตุผลCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26628 SIU THE-T. ประสิทธิผลของการบริหารกิจการคณะสงฆ์ = The Effectiveness of the Sangha Administration [printed text] / พระสมบัติ (ธมฺมิโก) สุขทวีเลิศพงศ์, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; สมชาย รัตนโกมุท, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017 . - x, 193 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: IPAG-DPA-2017-02
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]คณะสงฆ์ -- การบริหาร
[LCSH]ประสิทธิผลองค์การ -- การศึกษาเฉพาะกรณี
[LCSH]ภาวะผู้นำKeywords: ประสิทธิผล,
การบริหาร,
กิจการคณะสงฆ์Abstract: งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาประสิทธิผลของการบริหารกิจการคณะสงฆ์ของคณะสงฆ์ เป็นกรณีศึกษาวัดในเขตจังหวัดนครปฐม 6 ด้าน โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างพระสังฆาธิการจำนวน 400 รูป จากประชากรพระสังฆาธิการจำนวน 1,273 รูป ผลการวิจัยพบว่าพระสังฆาธิการส่วนใหญ่มี อายุ 41 – 50 ปี มีพรรษา 21 – 30 พรรษา จบปริญญาตรีหรือเทียบเท่า จบนักธรรมชั้นเอกและไม่มีวุฒิทางเปรียญธรรม ประสิทธิผลของการบริหารกิจการคณะสงฆ์พบว่าอยู่ในระดับมากในทุกด้านซึ่งได้แก่ ด้านงานสาธารณูปการ ด้านงานการปกครอง ด้านงานศึกษาสงเคราะห์ ด้านงานศาสนศึกษา ด้านงานเผยแผ่ศาสนธรรมและด้านงานสาธารณสงเคราะห์
ผลการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ สรุปได้ว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดประสิทธิผลของการบริหารกิจการคณะสงฆ์ มากที่สุดโดยลำดับได้แก่ ภาวะผู้นำของเจ้าอาวาส คุณภาพการบริหาร และการมีส่วนร่วมสนับสนุนตามลำดับ โดยมีสมการพยากรณ์ Ŷ = A 0.759 + 0.429X1 + 0.421X2+ 0.418X3 ค่า R Square = 0.761
การวิจัยนี้ ได้ค้นพบทฤษฎีสำคัญที่ส่งผลให้เกิดประสิทธิผลการบริหารกิจการคณะสงฆ์ คือ ทฤษฎีภาวะผู้นำ ทฤษฎีการบริหารและทฤษฎีการมีส่วนร่วมและได้สะท้อนให้เห็นว่าวัดยังมีการบริหารงานตามทฤษฎีองค์การในระบบปิดเพราะประสิทธิผลของการบริหารกิจการคณะสงฆ์ยังขึ้นอยู่กับภาวะผู้นำของเจ้าอาวาสเป็นหลักจึงควรที่จะเปิดการบริหารกิจการวัดให้มีผู้มีส่วนร่วมสนับสนุนจากสภาพแวดล้อมภายนอกตามทฤษฎีองค์การระบบเปิดให้มากยิ่งขึ้นและมีการปรับโครงสร้างการแบ่งงานของการบริหารวัดให้มีรองเจ้าอาวาสหรือผู้ช่วยเจ้าอาวาสผู้รับผิดชอบในด้านต่างๆและมีคณะสงฆ์ปฏิบัติหน้าที่รองรับในแต่ละด้านอย่างเป็นระบบตามหลักการจัดองค์การที่ยึดหลักกฎหมายและเหตุผลCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26628 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000592814 SIU THE-T: IPAG-DPA-2017-02 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000592848 SIU THE-T: IPAG-DPA-2017-02 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การรับรู้ของพนักงานที่มีต่อรูปแบบการบริหารงานของผู้จัดการชาวไทย / สาลินี ชัยวัฒนพร / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2017
Collection Title: SIU THE-T Title : การรับรู้ของพนักงานที่มีต่อรูปแบบการบริหารงานของผู้จัดการชาวไทย Original title : Perceptions of Employees towards Thai Manager’s Management Style Material Type: printed text Authors: สาลินี ชัยวัฒนพร, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; เพชรรัตน์ โล้วิชากรติกุล, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2017 Pagination: xvi, 344 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2017-01
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2560Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การบริหารงาน
[LCSH]วัฒนธรรมองค์การ -- การจัดการ
[LCSH]แรงจูงใจในการทำงานKeywords: การรับรู้ของพนักงาน,
การยอมรับของพนักงาน,
การบริหารงาน,
ผู้จัดการชาวไทยAbstract: งานวิจัยนี้ เพื่อศึกษาการรับรู้ของพนักงานเกี่ยวกับรูปแบบของของผู้จัดการชาวไทย โดยมี
กลุ่มตัวอย่าง 800 คน และศึกษาผู้ที่สาเร็จปริญญาตรีและประกอบอาชีพในหน่วยงานภาครัฐและ
ภาคส่วนเอกชน อย่างละ 400 คน ซึ่งแบบสอบถามได้ถูกพัฒนามาจากแนวคิด 5 มิติทางวัฒนธรรมของ ฮอฟสตีท (Hofstede) และได้ไปพัฒนาต่อเนื่องและถูกใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง งานวิจัยนี้ใช้สถิติเชิงพรรณนาในการวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม และทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปร โดยใช้สถิติเชิงอนุมาณในการหาค่า t-test และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว One-way ANOVA ในการทดสอบสมมติฐาน
ผลการวิจัยพบว่า ในส่วนงานราชการมีการรับรู้การบริหารของผู้จัดการชาวไทยรับรู้ว่า
หัวหน้างานมักหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเป็นอันดับแรก (มิติการหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอน) รองลงมาคือการตั้งเป้าหมายในระยะยาว (มิติเป้าหมายระยะยาว) การรักษาระยะห่างจากลูกน้อง (มิติความเหลื่อมล้าในอานาจ) แบ่งแยกความสาคัญระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง (มิติการแบ่งแยกชายหญิง) และมีความนิยมเป็นหมู่เหล่าค่อนข้างมาก (ปัจเจกบุคคลและกลุ่มนิยม) ตามลาดับ ส่วนการยอมรับการบริหารงานของผู้จัดการชาวไทยของพนักงานในส่วนงานราชการพบว่าให้ความสาคัญเกี่ยวกับลักษณะผู้นาของผู้บริหารเป็นอันดับแรก ถัดมาคือความพึงพอใจในการทางาน ความพึงพอใจในตัวผู้บังคับบัญชา ระบบการให้คุณให้โทษ การปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในการทางาน ระบบการประเมินผล ตามลาดับ
นอกจากนี้ ผลการวิจัยในส่วนงานเอกชนมีการรับรู้ของพนักงานที่แตกต่างกัน โดยรับรู้ว่า
ผู้จัดการชาวไทยให้ความสาคัญกับการมีเป้าหมายในระยะยาวมากที่สุด รองลงมาคือการหลีกเลี่ยง
ความเสี่ยง (มิติหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอน) รักษาระยะห่างระหว่างตนเองกับลูกน้อง (มิติความเหลื่อมล้าในอานาจ) มีความรักพวกพ้อง (มิติปัจเจกบุคคลและกลุ่มนิยม) และเห็นว่าผู้หญิงมีความสาคัญเท่าเทียมกับผู้ชาย (มิติการแบ่งแยกชายหญิง) ตามลาดับ นอกจากนั้นผลการวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าพนักงานชาวไทยทั้งภาครัฐและเอกชนส่วนใหญ่ การยอมรับการทางานภายใต้การบริหารงานของผู้จัดการชาวไทยว่ามีความพึงพอใจในการทางานเป็นอันดับแรก รองลงมาเป็นการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในการทางาน ลักษณะของผู้นาของผู้บริหาร ความพึงพอใจในตัวผู้บังคับบัญชา ระบบการประเมินผลงาน และระบบการให้คุณให้โทษ ตามลาดับCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26777 SIU THE-T. การรับรู้ของพนักงานที่มีต่อรูปแบบการบริหารงานของผู้จัดการชาวไทย = Perceptions of Employees towards Thai Manager’s Management Style [printed text] / สาลินี ชัยวัฒนพร, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; เพชรรัตน์ โล้วิชากรติกุล, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017 . - xvi, 344 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: SOM-DBA-2017-01
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2560
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การบริหารงาน
[LCSH]วัฒนธรรมองค์การ -- การจัดการ
[LCSH]แรงจูงใจในการทำงานKeywords: การรับรู้ของพนักงาน,
การยอมรับของพนักงาน,
การบริหารงาน,
ผู้จัดการชาวไทยAbstract: งานวิจัยนี้ เพื่อศึกษาการรับรู้ของพนักงานเกี่ยวกับรูปแบบของของผู้จัดการชาวไทย โดยมี
กลุ่มตัวอย่าง 800 คน และศึกษาผู้ที่สาเร็จปริญญาตรีและประกอบอาชีพในหน่วยงานภาครัฐและ
ภาคส่วนเอกชน อย่างละ 400 คน ซึ่งแบบสอบถามได้ถูกพัฒนามาจากแนวคิด 5 มิติทางวัฒนธรรมของ ฮอฟสตีท (Hofstede) และได้ไปพัฒนาต่อเนื่องและถูกใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง งานวิจัยนี้ใช้สถิติเชิงพรรณนาในการวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม และทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปร โดยใช้สถิติเชิงอนุมาณในการหาค่า t-test และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว One-way ANOVA ในการทดสอบสมมติฐาน
ผลการวิจัยพบว่า ในส่วนงานราชการมีการรับรู้การบริหารของผู้จัดการชาวไทยรับรู้ว่า
หัวหน้างานมักหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเป็นอันดับแรก (มิติการหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอน) รองลงมาคือการตั้งเป้าหมายในระยะยาว (มิติเป้าหมายระยะยาว) การรักษาระยะห่างจากลูกน้อง (มิติความเหลื่อมล้าในอานาจ) แบ่งแยกความสาคัญระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง (มิติการแบ่งแยกชายหญิง) และมีความนิยมเป็นหมู่เหล่าค่อนข้างมาก (ปัจเจกบุคคลและกลุ่มนิยม) ตามลาดับ ส่วนการยอมรับการบริหารงานของผู้จัดการชาวไทยของพนักงานในส่วนงานราชการพบว่าให้ความสาคัญเกี่ยวกับลักษณะผู้นาของผู้บริหารเป็นอันดับแรก ถัดมาคือความพึงพอใจในการทางาน ความพึงพอใจในตัวผู้บังคับบัญชา ระบบการให้คุณให้โทษ การปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในการทางาน ระบบการประเมินผล ตามลาดับ
นอกจากนี้ ผลการวิจัยในส่วนงานเอกชนมีการรับรู้ของพนักงานที่แตกต่างกัน โดยรับรู้ว่า
ผู้จัดการชาวไทยให้ความสาคัญกับการมีเป้าหมายในระยะยาวมากที่สุด รองลงมาคือการหลีกเลี่ยง
ความเสี่ยง (มิติหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอน) รักษาระยะห่างระหว่างตนเองกับลูกน้อง (มิติความเหลื่อมล้าในอานาจ) มีความรักพวกพ้อง (มิติปัจเจกบุคคลและกลุ่มนิยม) และเห็นว่าผู้หญิงมีความสาคัญเท่าเทียมกับผู้ชาย (มิติการแบ่งแยกชายหญิง) ตามลาดับ นอกจากนั้นผลการวิจัยยังแสดงให้เห็นว่าพนักงานชาวไทยทั้งภาครัฐและเอกชนส่วนใหญ่ การยอมรับการทางานภายใต้การบริหารงานของผู้จัดการชาวไทยว่ามีความพึงพอใจในการทางานเป็นอันดับแรก รองลงมาเป็นการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในการทางาน ลักษณะของผู้นาของผู้บริหาร ความพึงพอใจในตัวผู้บังคับบัญชา ระบบการประเมินผลงาน และระบบการให้คุณให้โทษ ตามลาดับCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26777 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000593390 SIU THE-T: SOM-DBA-2017-01 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000593424 SIU THE-T: SOM-DBA-2017-01 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ความสำเร็จของกลยุทธ์การตลาดบริการของสถานบริการที่พักผู้สูงอายุ / ปกรณ์เกียรติ จันทรกุล / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2017
Collection Title: SIU THE-T Title : ความสำเร็จของกลยุทธ์การตลาดบริการของสถานบริการที่พักผู้สูงอายุ Original title : Successful Marketing Strategy for Senior Home Services Material Type: printed text Authors: ปกรณ์เกียรติ จันทรกุล, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2017 Pagination: ix, 136 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2017-03
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2560Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การตลาดบริการ
[LCSH]ผู้สูงอายุ -- ที่อยู่อาศัยKeywords: กลยุทธ์,
การตลาด,
ความสำเร็จ,
บริการ,
ที่พัก,
ผู้สูงอายุAbstract: การวิจัยนี้มีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การดำเนินธุรกิจของการให้บริการบ้านพักผู้สูงวัยในประเทศไทย และศึกษาความต้องการที่แท้จริงของผู้สูงวัยที่มีต่อกลยุทธ์การตลาดของผู้ประกอบการบ้านพักสำหรับผู้สูงวัย เป็นวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้สูงวัยที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป ที่เป็นผู้ที่ใช้บริการบ้านพักผู้สูงวัยอยู่ในปัจจุบันจำนวน 400 คน ใช้สถิติเชิงพรรณา ในการวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลและความเห็นต่าง ๆ และใช้การวิเคราะห์หาค่าความแปรปรวนทางเดียว ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05
ผลจากการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุอยู่ระหว่าง 55 - 60 ปี มีรายได้ต่อเดือนระหว่าง 30,001 - 40,000 บาท ราคาค่าบริการเดือนละ 15,001 - 20,000 บาทต่อเดือนและเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้วยตนเอง ส่วนปัจจัยที่ทำให้เลือกบ้านพักคือความสะดวกในการเดินทาง ค่าบริการเมื่อเปรียบเทียบกับคุณภาพห้องพักที่ได้รับ บ้านพักมีช่องทางการจัดจำหน่ายหลายช่องทาง มีโครงการให้รางวัลหากท่านสามารถแนะนำลูกค้าใหม่ มีบริการร้านขายของ ศูนย์อาหาร ร้านซักรีด และอินเตอร์เน็ต นอกจากนี้ผู้สูงวัยยังให้ความสำคัญกับบุคลากรที่ทำงานในบ้านพัก การจัดให้มีอุปกรณ์สำหรับช่วยในการเดิน ในการนี้ผู้สูงวัยมีความประทับใจในบริการที่ได้รับด้านสถานที่ตั้งและห้องพัก และยืนยันที่จะใช้บริการที่พักอาศัยในปัจจุบันอีกต่อไป สำหรับผลการทดสอบสมมุติฐานพบว่ากลยุทธ์การตลาดบริการของสถานบริการที่พักผู้สูงวัยมีความสัมพันธ์กับความสำเร็จของการตลาดบริการของการประกอบกิจการ และพบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์หรือบริการกับความภักดี โดยหากมีโอกาสจะแนะนำบุคคลที่รู้จักมาใช้บริการพักอาศัยผู้สูงวัยที่ใช้บริการอยู่ในปัจจุบันCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27235 SIU THE-T. ความสำเร็จของกลยุทธ์การตลาดบริการของสถานบริการที่พักผู้สูงอายุ = Successful Marketing Strategy for Senior Home Services [printed text] / ปกรณ์เกียรติ จันทรกุล, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017 . - ix, 136 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: SOM-DBA-2017-03
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2560
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การตลาดบริการ
[LCSH]ผู้สูงอายุ -- ที่อยู่อาศัยKeywords: กลยุทธ์,
การตลาด,
ความสำเร็จ,
บริการ,
ที่พัก,
ผู้สูงอายุAbstract: การวิจัยนี้มีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การดำเนินธุรกิจของการให้บริการบ้านพักผู้สูงวัยในประเทศไทย และศึกษาความต้องการที่แท้จริงของผู้สูงวัยที่มีต่อกลยุทธ์การตลาดของผู้ประกอบการบ้านพักสำหรับผู้สูงวัย เป็นวิจัยเชิงปริมาณเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้สูงวัยที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป ที่เป็นผู้ที่ใช้บริการบ้านพักผู้สูงวัยอยู่ในปัจจุบันจำนวน 400 คน ใช้สถิติเชิงพรรณา ในการวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลและความเห็นต่าง ๆ และใช้การวิเคราะห์หาค่าความแปรปรวนทางเดียว ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05
ผลจากการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุอยู่ระหว่าง 55 - 60 ปี มีรายได้ต่อเดือนระหว่าง 30,001 - 40,000 บาท ราคาค่าบริการเดือนละ 15,001 - 20,000 บาทต่อเดือนและเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้วยตนเอง ส่วนปัจจัยที่ทำให้เลือกบ้านพักคือความสะดวกในการเดินทาง ค่าบริการเมื่อเปรียบเทียบกับคุณภาพห้องพักที่ได้รับ บ้านพักมีช่องทางการจัดจำหน่ายหลายช่องทาง มีโครงการให้รางวัลหากท่านสามารถแนะนำลูกค้าใหม่ มีบริการร้านขายของ ศูนย์อาหาร ร้านซักรีด และอินเตอร์เน็ต นอกจากนี้ผู้สูงวัยยังให้ความสำคัญกับบุคลากรที่ทำงานในบ้านพัก การจัดให้มีอุปกรณ์สำหรับช่วยในการเดิน ในการนี้ผู้สูงวัยมีความประทับใจในบริการที่ได้รับด้านสถานที่ตั้งและห้องพัก และยืนยันที่จะใช้บริการที่พักอาศัยในปัจจุบันอีกต่อไป สำหรับผลการทดสอบสมมุติฐานพบว่ากลยุทธ์การตลาดบริการของสถานบริการที่พักผู้สูงวัยมีความสัมพันธ์กับความสำเร็จของการตลาดบริการของการประกอบกิจการ และพบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์หรือบริการกับความภักดี โดยหากมีโอกาสจะแนะนำบุคคลที่รู้จักมาใช้บริการพักอาศัยผู้สูงวัยที่ใช้บริการอยู่ในปัจจุบันCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27235 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000594513 SIU THE-T: SOM-DBA-2017-03 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000594547 SIU THE-T: SOM-DBA-2017-03 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การพัฒนาพฤติกรรมเชิงบวกของสมาชิกสถาบันอาชีวศึกษา: กรณีศึกษาสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน และมหาวิทยาลัยราชมงคลภาคตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย / พฤฒิไกร ไกรพิพัฒน์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2017
Collection Title: SIU THE-T Title : การพัฒนาพฤติกรรมเชิงบวกของสมาชิกสถาบันอาชีวศึกษา: กรณีศึกษาสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน และมหาวิทยาลัยราชมงคลภาคตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย Original title : Positive Behavior Developing of Members in Institute of Technological College: Case Study of Pathumwan Institute of Technology and Rajamangala University of Technology Tawan-Ok, Uthenthawai Campus Material Type: printed text Authors: พฤฒิไกร ไกรพิพัฒน์, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2017 Pagination: vii, 162 น. Layout: ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2017-03
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]นักเรียนอาชีวศึกษา
[LCSH]พฤติกรรมKeywords: พฤติกรรมเชิงบวก,
มหาวิทยาลัยราชมงคลภาคตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย,
สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน,
สถาบันอาชีวศึกษาAbstract: วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมเบี่ยงเบนของสมาชิกนักเรียนอาชีวศึกษาทั้งชาย และหญิง ระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ของสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน และมหาวิทยาลัยราชมงคลภาคตะวันออกวิทยาเขตอุเทนถวาย ที่เป็นตัวแทนที่ดีของสมาชิกสถาบันอาชีวศึกษา เพื่อศึกษาความสำคัญถึงเหตุจำเป็นในการแก้ไขปัญหา เพื่อเป็นแนวทางนำไปสู่การกำหนดนโยบายสาธารณะสำหรับใช้แก้ไขปัญหานักเรียนอาชีวศึกษา งานวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างเป็นศิษย์เก่า อาจารย์ประจำ และผู้ปกครองของนักศึกษาของทั้ง 2 สถาบัน รวมผู้ให้สัมภาษณ์ทั้งหมด 76 คน เครื่องมือ เป็นแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้าง
ผลการวิจัย พบว่าสาเหตุที่ทำให้นักศึกษาทั้ง 2 สถาบัน มีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนจนนำไปสู่สาเหตุของการทะเลาะวิวาทกันของทั้ง 2 สถาบัน ได้แก่ 1) ค่านิยมที่ผิด ๆ เกี่ยวกับการรับน้องของรุ่นพี่ 2) ความคึกคะนองตามประสาวัยรุ่น และค่านิยมที่ผิด ๆ ที่ได้รับจากรุ่นพี่ 3) เกิดจากการยั่วยุจากฝ่ายตรงข้าม 4) เกิดจากการใช้สารเสพติดทำให้ขาดการยั้งคิด 5) เพราะคุณภาพการเรียน การสอนของสถาบันไม่มีคุณภาพพอ 6 ) เพราะความรักสถาบันของตัวเองไม่ยอมให้ใครมาลบลู่ 7) เพราะสีเสื้อ และเครื่องหมายของสถาบันที่ต่างกัน การวิจัยยังค้นพบว่าควรขอเสนอให้รวมทั้งสองสถาบันอาชีวศึกษาให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อหลอมการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องให้เข้ากับระบบการบริหารงานใหม่ที่รวมตัวเป็นหนึ่งCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27236 SIU THE-T. การพัฒนาพฤติกรรมเชิงบวกของสมาชิกสถาบันอาชีวศึกษา: กรณีศึกษาสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน และมหาวิทยาลัยราชมงคลภาคตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย = Positive Behavior Developing of Members in Institute of Technological College: Case Study of Pathumwan Institute of Technology and Rajamangala University of Technology Tawan-Ok, Uthenthawai Campus [printed text] / พฤฒิไกร ไกรพิพัฒน์, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017 . - vii, 162 น. : ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: IPAG-DPA-2017-03
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]นักเรียนอาชีวศึกษา
[LCSH]พฤติกรรมKeywords: พฤติกรรมเชิงบวก,
มหาวิทยาลัยราชมงคลภาคตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย,
สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน,
สถาบันอาชีวศึกษาAbstract: วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมเบี่ยงเบนของสมาชิกนักเรียนอาชีวศึกษาทั้งชาย และหญิง ระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ของสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน และมหาวิทยาลัยราชมงคลภาคตะวันออกวิทยาเขตอุเทนถวาย ที่เป็นตัวแทนที่ดีของสมาชิกสถาบันอาชีวศึกษา เพื่อศึกษาความสำคัญถึงเหตุจำเป็นในการแก้ไขปัญหา เพื่อเป็นแนวทางนำไปสู่การกำหนดนโยบายสาธารณะสำหรับใช้แก้ไขปัญหานักเรียนอาชีวศึกษา งานวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างเป็นศิษย์เก่า อาจารย์ประจำ และผู้ปกครองของนักศึกษาของทั้ง 2 สถาบัน รวมผู้ให้สัมภาษณ์ทั้งหมด 76 คน เครื่องมือ เป็นแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้าง
ผลการวิจัย พบว่าสาเหตุที่ทำให้นักศึกษาทั้ง 2 สถาบัน มีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนจนนำไปสู่สาเหตุของการทะเลาะวิวาทกันของทั้ง 2 สถาบัน ได้แก่ 1) ค่านิยมที่ผิด ๆ เกี่ยวกับการรับน้องของรุ่นพี่ 2) ความคึกคะนองตามประสาวัยรุ่น และค่านิยมที่ผิด ๆ ที่ได้รับจากรุ่นพี่ 3) เกิดจากการยั่วยุจากฝ่ายตรงข้าม 4) เกิดจากการใช้สารเสพติดทำให้ขาดการยั้งคิด 5) เพราะคุณภาพการเรียน การสอนของสถาบันไม่มีคุณภาพพอ 6 ) เพราะความรักสถาบันของตัวเองไม่ยอมให้ใครมาลบลู่ 7) เพราะสีเสื้อ และเครื่องหมายของสถาบันที่ต่างกัน การวิจัยยังค้นพบว่าควรขอเสนอให้รวมทั้งสองสถาบันอาชีวศึกษาให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อหลอมการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องให้เข้ากับระบบการบริหารงานใหม่ที่รวมตัวเป็นหนึ่งCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27236 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000594794 SIU THE-T: IPAG-DPA-2017-03 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000594802 SIU THE-T: IPAG-DPA-2017-03 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการจัดการธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุในประเทศไทย / พรจันทร์ สุพรรณ์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2017
Collection Title: SIU THE-T Title : ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการจัดการธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุในประเทศไทย Original title : Factors Affecting on the Business Achievement of Senior Home in Thailand Material Type: printed text Authors: พรจันทร์ สุพรรณ์, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2017 Pagination: xxxviii, 477 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2017-02
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2560Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การบริหารธุรกิจ
[LCSH]ผู้สูงอายุ -- ที่อยู่อาศัย -- ไทยKeywords: โครงสร้างองค์กร,
ระบบการปฏิบัติงาน,
การจัดการบุคคล,
ส่วนประสมการตลาด,
สภาพแวดล้อมภายนอก,
ผลสัมฤทธิ์ของการดาเนินธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุในประเทศไทยAbstract: ปฏิบัติงาน ปัจจัยการจัดการบุคคล ปัจจัยส่วนประสมการตลาด ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอก และผลสัมฤทธิ์ของการดาเนินธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุในประเทศไทย และเพื่อสร้างแบบจาลองปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ของการดาเนินธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุในประเทศไทย โดยใช้เทคนิคการวิจัยเชิงผสม คือ การวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณร่วมกัน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเชิงปริมาณ คือ ผู้ประกอบการ/ผู้บริหารธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุในประเทศไทย จำนวน 640 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (multi-stage sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมานในการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นแบบพหุ (Multiple Linear Regression Analysis) และการวิเคราะห์ตัวแปร เพื่อทดสอบสมมติฐาน
ผลการวิจัยพบว่า ผู้ประกอบการ /ผู้บริหารธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 31 – 40 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรี ซึ่งมีตาแหน่งงานส่วนใหญ่เป็นหัวหน้าฝ่ายดูแลผู้สูงอายุ และรูปแบบของธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยว ระยะเวลาที่ผู้สูงอายุเข้ารับบริการส่วนใหญ่บริการดูแลระยะยาว และส่วนใหญ่มีความต้องการการดูแลของผู้สูงอายุที่เข้ารับบริการในลักษณะผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองได้
ผลการทดสอบสมมติฐานการวิจัย พบว่า 1) ปัจจัยโครงสร้างองค์กร 2) ปัจจัยระบบการปฏิบัติงาน 3) ปัจจัยการจัดการบุคคล 4) ปัจจัยส่วนประสมการตลาด และ 5) ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกมีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์การดาเนินธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุในประเทศไทย โดยสามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมและการขยายจำนวนลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น, ด้านประสิทธิภาพของการให้บริการ ได้แก่ จำนวนบุคลากรที่ให้บริการมีความเหมาะสมในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า และการไม่มีข้อเรียกร้องจากผู้มาใช้บริการ, ด้านการสร้างการรับรู้ในกลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ ความภักดีของลูกค้าในการกลับมาใช้บริการซ้า และคุณภาพและมาตรฐานในการให้บริการ, ด้านผลิตภาพและประสิทธิภาพของพนักงาน ได้แก่ ความเต็มใจและความกระตือรือร้นในการปฏิบัติงาน และความจงรักภักดีต่อองค์กร และด้านภาพลักษณ์ที่ดีของธุรกิจ ได้แก่ ภาพสะท้อนถึงระบบบริหารจัดการบุคลากร (ผู้บริหารและพนักงาน) และการทาประโยชน์ให้กับสาธารณะ และผลการสร้างแบบจาลองปัจจัยที่ส่งผลต่อความสาเร็จของการจัดการธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุในประเทศไทย พบว่า ปัจจัยโครงสร้างองค์กร ปัจจัยระบบปฏิบัติงาน ปัจจัยการจัดการบุคคล ปัจจัยส่วนประสมการตลาด และปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกมีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ของการ
ดาเนินธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุในประเทศไทยดังนั้นผู้ประกอบการ/ผู้บริหารธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุในประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถที่จะนาผลการศึกษาวิจัยครั้งนี้ไปประยุกต์ใช้ในการพิจารณาขยายการลงทุนและพัฒนาตลาดธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุในประเทศไทยที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้อย่างประสบความสาเร็จCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27263 SIU THE-T. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการจัดการธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุในประเทศไทย = Factors Affecting on the Business Achievement of Senior Home in Thailand [printed text] / พรจันทร์ สุพรรณ์, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017 . - xxxviii, 477 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: SOM-DBA-2017-02
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2560
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การบริหารธุรกิจ
[LCSH]ผู้สูงอายุ -- ที่อยู่อาศัย -- ไทยKeywords: โครงสร้างองค์กร,
ระบบการปฏิบัติงาน,
การจัดการบุคคล,
ส่วนประสมการตลาด,
สภาพแวดล้อมภายนอก,
ผลสัมฤทธิ์ของการดาเนินธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุในประเทศไทยAbstract: ปฏิบัติงาน ปัจจัยการจัดการบุคคล ปัจจัยส่วนประสมการตลาด ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอก และผลสัมฤทธิ์ของการดาเนินธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุในประเทศไทย และเพื่อสร้างแบบจาลองปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ของการดาเนินธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุในประเทศไทย โดยใช้เทคนิคการวิจัยเชิงผสม คือ การวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณร่วมกัน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเชิงปริมาณ คือ ผู้ประกอบการ/ผู้บริหารธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุในประเทศไทย จำนวน 640 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (multi-stage sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมานในการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นแบบพหุ (Multiple Linear Regression Analysis) และการวิเคราะห์ตัวแปร เพื่อทดสอบสมมติฐาน
ผลการวิจัยพบว่า ผู้ประกอบการ /ผู้บริหารธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 31 – 40 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรี ซึ่งมีตาแหน่งงานส่วนใหญ่เป็นหัวหน้าฝ่ายดูแลผู้สูงอายุ และรูปแบบของธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยว ระยะเวลาที่ผู้สูงอายุเข้ารับบริการส่วนใหญ่บริการดูแลระยะยาว และส่วนใหญ่มีความต้องการการดูแลของผู้สูงอายุที่เข้ารับบริการในลักษณะผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตนเองได้
ผลการทดสอบสมมติฐานการวิจัย พบว่า 1) ปัจจัยโครงสร้างองค์กร 2) ปัจจัยระบบการปฏิบัติงาน 3) ปัจจัยการจัดการบุคคล 4) ปัจจัยส่วนประสมการตลาด และ 5) ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกมีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์การดาเนินธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุในประเทศไทย โดยสามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมและการขยายจำนวนลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น, ด้านประสิทธิภาพของการให้บริการ ได้แก่ จำนวนบุคลากรที่ให้บริการมีความเหมาะสมในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า และการไม่มีข้อเรียกร้องจากผู้มาใช้บริการ, ด้านการสร้างการรับรู้ในกลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ ความภักดีของลูกค้าในการกลับมาใช้บริการซ้า และคุณภาพและมาตรฐานในการให้บริการ, ด้านผลิตภาพและประสิทธิภาพของพนักงาน ได้แก่ ความเต็มใจและความกระตือรือร้นในการปฏิบัติงาน และความจงรักภักดีต่อองค์กร และด้านภาพลักษณ์ที่ดีของธุรกิจ ได้แก่ ภาพสะท้อนถึงระบบบริหารจัดการบุคลากร (ผู้บริหารและพนักงาน) และการทาประโยชน์ให้กับสาธารณะ และผลการสร้างแบบจาลองปัจจัยที่ส่งผลต่อความสาเร็จของการจัดการธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุในประเทศไทย พบว่า ปัจจัยโครงสร้างองค์กร ปัจจัยระบบปฏิบัติงาน ปัจจัยการจัดการบุคคล ปัจจัยส่วนประสมการตลาด และปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกมีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ของการ
ดาเนินธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุในประเทศไทยดังนั้นผู้ประกอบการ/ผู้บริหารธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุในประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถที่จะนาผลการศึกษาวิจัยครั้งนี้ไปประยุกต์ใช้ในการพิจารณาขยายการลงทุนและพัฒนาตลาดธุรกิจที่พักอาศัยผู้สูงอายุในประเทศไทยที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้อย่างประสบความสาเร็จCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27263 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000594828 SIU THE-T: SOM-DBA-2017-02 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000594810 SIU THE-T: SOM-DBA-2017-02 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การปฏิรูปตำรวจ: การปรับปรุงองค์การและการบริหารจัดการ / สุวรรณ สุวรรณเวโช / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2017
Collection Title: SIU THE-T Title : การปฏิรูปตำรวจ: การปรับปรุงองค์การและการบริหารจัดการ Original title : Police Reform: Organizational Improvement and Management Material Type: printed text Authors: สุวรรณ สุวรรณเวโช, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; วิไลพร เลาหโกศล, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2017 Pagination: vii, 213 Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: Non - Circulating
SIU THE-T: SOM-DBA-2017-06
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2560Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การบริหารจัดการ
[LCSH]ตำรวจ -- การปรับปรุงโครงสร้างองค์กร
[LCSH]โครงสร้างองค์กรKeywords: โครงสร้างองค์กร,
ส่วนประสมการตลาดบริการ,
สภาพแวดล้อมภายนอก,
สภาพแวดล้อมเกี่ยวกับงาน,
หลักธรรมาภิบาลAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบโครงสร้างองค์กร ส่วนประสมการ
ตลาดบริการ (7P’s) สภาพแวดล้อมภายนอกทั่วไป สภาพแวดล้อมเกี่ยวกับงาน และหลักธรรมาภิบาลที่ก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานการปฏิรูปตำรวจ 2) เพื่อสร้างแนวทางการปฏิรูปตำรวจด้วยการปรับปรุงและการบริหารจัดการองค์การตำรวจสมัยใหม่ ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาคือ ผู้บังคับบัญชาตำรวจและผู้มีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายตำรวจทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น เก็บรวบรวมข้อมูลจากการวิเคราะห์ข้อมูลทุติยภูมิ การวิเคราะห์เชิงประวัติ การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) ผลการวิจัย พบว่า 1) องค์ประกอบโครงสร้างองค์กร ได้แก่ การแบ่งงานกันทำตามความชำนาญ สายการบังคับบัญชา การกระจายอำนาจ และความเป็นทางการ 2) ส่วนประสมการตลาดบริการ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ด้านบริการ ราคา สถานที่ การส่งเสริมทางการตลาด กระบวนการ บุคลากร และสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ 3) สภาพแวดล้อมภายนอกทั่วไป ได้แก่ ด้านการเมือง และด้านเทคโนโลยี 4) สภาพแวดล้อมเกี่ยวกับงาน ได้แก่ กลุ่มประชาชน กลุ่มผู้บังคับบัญชาตำรวจ และกลุ่มรัฐบาล
5) หลักธรรมาภิบาล มีความสำคัญต่อผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานการปฏิรูปตำรวจCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27264 SIU THE-T. การปฏิรูปตำรวจ: การปรับปรุงองค์การและการบริหารจัดการ = Police Reform: Organizational Improvement and Management [printed text] / สุวรรณ สุวรรณเวโช, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; วิไลพร เลาหโกศล, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017 . - vii, 213 : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
Non - Circulating
SIU THE-T: SOM-DBA-2017-06
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2560
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การบริหารจัดการ
[LCSH]ตำรวจ -- การปรับปรุงโครงสร้างองค์กร
[LCSH]โครงสร้างองค์กรKeywords: โครงสร้างองค์กร,
ส่วนประสมการตลาดบริการ,
สภาพแวดล้อมภายนอก,
สภาพแวดล้อมเกี่ยวกับงาน,
หลักธรรมาภิบาลAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบโครงสร้างองค์กร ส่วนประสมการ
ตลาดบริการ (7P’s) สภาพแวดล้อมภายนอกทั่วไป สภาพแวดล้อมเกี่ยวกับงาน และหลักธรรมาภิบาลที่ก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานการปฏิรูปตำรวจ 2) เพื่อสร้างแนวทางการปฏิรูปตำรวจด้วยการปรับปรุงและการบริหารจัดการองค์การตำรวจสมัยใหม่ ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาคือ ผู้บังคับบัญชาตำรวจและผู้มีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายตำรวจทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น เก็บรวบรวมข้อมูลจากการวิเคราะห์ข้อมูลทุติยภูมิ การวิเคราะห์เชิงประวัติ การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) ผลการวิจัย พบว่า 1) องค์ประกอบโครงสร้างองค์กร ได้แก่ การแบ่งงานกันทำตามความชำนาญ สายการบังคับบัญชา การกระจายอำนาจ และความเป็นทางการ 2) ส่วนประสมการตลาดบริการ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ด้านบริการ ราคา สถานที่ การส่งเสริมทางการตลาด กระบวนการ บุคลากร และสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ 3) สภาพแวดล้อมภายนอกทั่วไป ได้แก่ ด้านการเมือง และด้านเทคโนโลยี 4) สภาพแวดล้อมเกี่ยวกับงาน ได้แก่ กลุ่มประชาชน กลุ่มผู้บังคับบัญชาตำรวจ และกลุ่มรัฐบาล
5) หลักธรรมาภิบาล มีความสำคัญต่อผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานการปฏิรูปตำรวจCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27264 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000594844 SIU THE-T: SOM-DBA-2017-06 c.1 Thesis Graduate Library Thesis Corner Available 32002000594836 SIU THE-T: SOM-DBA-2017-06 c.2 Thesis Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การวัดและประเมินผลความพึงพอใจของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เฟซบุ๊ก ด้วยแบบจำลอง เอ ซี เอส ไอ / ปภัสร จันทร์อร่าม / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2017
Collection Title: SIU THE-T Title : การวัดและประเมินผลความพึงพอใจของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เฟซบุ๊ก ด้วยแบบจำลอง เอ ซี เอส ไอ Original title : Measurement and Evaluation of Satisfaction of Facebook Website Visitors with the ACSI Model Material Type: printed text Authors: ปภัสร จันทร์อร่าม, Author ; วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ, Associated Name ; ปาลพล รอดลอยทุกข์, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2017 Pagination: viii, 58 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: SOLA-MAMIC-2017-01
Thesis. [MAMIC.[Arts in Media Information and Communication]]. Shinawatra University, 2017.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ความพอใจ
[LCSH]เฟซบุ๊ค -- การวิเคราะห์
[LCSH]เว็บไซต์ -- การประเมินKeywords: การวัดและประเมินผล,
ความพึงพอใจ,
เว็บไซต์เฟซบุ๊ก,
แบบจำลอง เอ ซี เอส ไอAbstract: การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาลักษณะส่วนบุคคล และศึกษาระดับความพึงพอใจของ ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เฟซบุ๊กด้วยแบบจำลอง เอ ซี เอส ไอ ในปัจจัย 3 ด้าน คือ ด้านความคาดหวังของลูกค้า ด้านคุณภาพของสินค้า ด้านคุณค่าหรือความนิยมของผู้ใช้บริการ เครื่องมือที่ใช้สำหรับงานวิจัย คือ แบบสอบถาม การเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 400 คน ในเขตกรุงเทพมหานคร ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ความถี่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การประมาณค่าทางสถิติ เพื่อทดสอบสมมติฐาน วิธีวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับความพึงพอใจชองผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เฟซบุ๊กด้วยแบบจำลอง เอ ซี เอส ไอ โดยใช้ t-test ทดสอบของกลุ่มตัวอย่างที่มีสองกลุ่ม ใช้ One – Way ANOVA (F-test) ทดสอบของกลุ่มตัวอย่างที่มีมากกว่าสองกลุ่ม โดยกำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุ 26 - 35 ปี ระดับการศึกษาปริญญาตรี ประกอบอาชีพ พนักงานบริษัท มีรายได้มากกว่า 15,000 – 35,000 บาท โดยกลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจที่มีผลต่อปัจจัยทั้ง 3 ด้าน โดยด้านความคาดหวัง พบว่า มีร้านค้าที่ขายสินค้าอยู่จริง สามารถสั่งซื้อสินค้าได้ตามต้องการ ได้พบรูปแบบสินค้าที่ต้องการมีความชัดเจน อยู่ในระดับมาก ด้านคุณภาพ พบว่า มีคุณภาพสินค้าตรงตามที่ให้ข้อมูลไว้ สามารถออกความคิดเห็น ติชม หรือร้องเรียนต่อคุณภาพสินค้าได้ พบรูปแบบสินค้าที่ต้องการมีความชัดเจน อยู่ในระดับมาก ด้านคุณค่าหรือความนิยมของผู้บริโภค พบว่า มีการตอบสนองต่อการสื่อสารที่รวดเร็วในด้านข้อมูลของสินค้า ผู้ใช้บริการนิยมใช้บริการ เฟซบุ๊ก มีความสะดวกในการหาข้อมูลของสินค้า อยู่ในระดับมาก ผลลัพธ์ความพึงพอใจในภาพรวมของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เฟซบุ๊กมีทิศทางด้านบวกต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า/บริการ โดยจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ในเกณฑ์ระดับมาก (Mean = 4.01 และ S.D. = 0.76) ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ลักษณะส่วนบุคคลที่แตกต่างกัน มีผลต่อปัจจัยทั้ง 3 ด้าน ดังนี้ เพศ แตกต่างกัน ด้านความคาดหวัง ด้านคุณภาพ ระดับการศึกษา แตกต่างกันด้านคุณภาพ อาชีพ แตกต่างกัน ด้านความคาดหวัง ด้านคุณค่าหรือความนิยมของผู้ใช้บริการ รายได้ แตกต่างกัน ด้านคุณภาพ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05Curricular : BSCS/GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27268 SIU THE-T. การวัดและประเมินผลความพึงพอใจของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เฟซบุ๊ก ด้วยแบบจำลอง เอ ซี เอส ไอ = Measurement and Evaluation of Satisfaction of Facebook Website Visitors with the ACSI Model [printed text] / ปภัสร จันทร์อร่าม, Author ; วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ, Associated Name ; ปาลพล รอดลอยทุกข์, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017 . - viii, 58 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: SOLA-MAMIC-2017-01
Thesis. [MAMIC.[Arts in Media Information and Communication]]. Shinawatra University, 2017.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ความพอใจ
[LCSH]เฟซบุ๊ค -- การวิเคราะห์
[LCSH]เว็บไซต์ -- การประเมินKeywords: การวัดและประเมินผล,
ความพึงพอใจ,
เว็บไซต์เฟซบุ๊ก,
แบบจำลอง เอ ซี เอส ไอAbstract: การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาลักษณะส่วนบุคคล และศึกษาระดับความพึงพอใจของ ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เฟซบุ๊กด้วยแบบจำลอง เอ ซี เอส ไอ ในปัจจัย 3 ด้าน คือ ด้านความคาดหวังของลูกค้า ด้านคุณภาพของสินค้า ด้านคุณค่าหรือความนิยมของผู้ใช้บริการ เครื่องมือที่ใช้สำหรับงานวิจัย คือ แบบสอบถาม การเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 400 คน ในเขตกรุงเทพมหานคร ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ความถี่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การประมาณค่าทางสถิติ เพื่อทดสอบสมมติฐาน วิธีวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลกับความพึงพอใจชองผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เฟซบุ๊กด้วยแบบจำลอง เอ ซี เอส ไอ โดยใช้ t-test ทดสอบของกลุ่มตัวอย่างที่มีสองกลุ่ม ใช้ One – Way ANOVA (F-test) ทดสอบของกลุ่มตัวอย่างที่มีมากกว่าสองกลุ่ม โดยกำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุ 26 - 35 ปี ระดับการศึกษาปริญญาตรี ประกอบอาชีพ พนักงานบริษัท มีรายได้มากกว่า 15,000 – 35,000 บาท โดยกลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจที่มีผลต่อปัจจัยทั้ง 3 ด้าน โดยด้านความคาดหวัง พบว่า มีร้านค้าที่ขายสินค้าอยู่จริง สามารถสั่งซื้อสินค้าได้ตามต้องการ ได้พบรูปแบบสินค้าที่ต้องการมีความชัดเจน อยู่ในระดับมาก ด้านคุณภาพ พบว่า มีคุณภาพสินค้าตรงตามที่ให้ข้อมูลไว้ สามารถออกความคิดเห็น ติชม หรือร้องเรียนต่อคุณภาพสินค้าได้ พบรูปแบบสินค้าที่ต้องการมีความชัดเจน อยู่ในระดับมาก ด้านคุณค่าหรือความนิยมของผู้บริโภค พบว่า มีการตอบสนองต่อการสื่อสารที่รวดเร็วในด้านข้อมูลของสินค้า ผู้ใช้บริการนิยมใช้บริการ เฟซบุ๊ก มีความสะดวกในการหาข้อมูลของสินค้า อยู่ในระดับมาก ผลลัพธ์ความพึงพอใจในภาพรวมของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เฟซบุ๊กมีทิศทางด้านบวกต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า/บริการ โดยจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ในเกณฑ์ระดับมาก (Mean = 4.01 และ S.D. = 0.76) ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ลักษณะส่วนบุคคลที่แตกต่างกัน มีผลต่อปัจจัยทั้ง 3 ด้าน ดังนี้ เพศ แตกต่างกัน ด้านความคาดหวัง ด้านคุณภาพ ระดับการศึกษา แตกต่างกันด้านคุณภาพ อาชีพ แตกต่างกัน ด้านความคาดหวัง ด้านคุณค่าหรือความนิยมของผู้ใช้บริการ รายได้ แตกต่างกัน ด้านคุณภาพ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05Curricular : BSCS/GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27268 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000594901 SIU THE-T: SOLA-MAMIC-2017-01 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000594893 SIU THE-T: SOLA-MAMIC-2017-01 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรีที่ประสบความสำเร็จในสถาบันอาชีวศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาภาครัฐในเขตกรุงเทพมหานคร / รุจิรา ฟูเจริญ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2017
Collection Title: SIU THE-T Title : ภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรีที่ประสบความสำเร็จในสถาบันอาชีวศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาภาครัฐในเขตกรุงเทพมหานคร Original title : Leaderships of Successful Female Executives in Public Vocational Education Institutions under Commission on Vocational in Bangkok Material Type: printed text Authors: รุจิรา ฟูเจริญ, Author ; ธนสุวิทย์ ทับหิรัญรักษ์, Associated Name ; เพชรรัตน์ โล้วิชากรติกุล, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2017 Pagination: viii, 109 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2017-04
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2560Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ผู้นำ
[LCSH]สตรี
[LCSH]อาชีวศึกษาKeywords: ความสำเร็จภาวะผู้นำ,
ผู้บริหารสตรี,
สถาบันอาชีวศึกษาAbstract: วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรีที่ประสบความสำเร็จในสถาบันอาชีวศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาภาครัฐ ในเขตกรุงเทพมหานครและศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างขององค์ประกอบคุณลักษณะภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรีใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นบุคลากรด้านการศึกษาที่ทำงานในสถาบันอาชีวศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาภาครัฐ ในเขตกรุงเทพมหานครจำนวน 400คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา และสถิติเชิงอนุมานเพื่อทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปรและทดสอบสมมุติฐาน
ผลจากการวิจัยพบว่าผู้บริหารสตรีมีภาวะผู้นำด้านมุ่งเกณฑ์ (separated) ในระดับสูงสุด รองลงมาคือภาวะผู้นำด้านมุ่งงาน (task oriented) ในระดับสูงภาวะผู้นำด้านมุ่งประสาน (integrated) ในระดับสูง และภาวะผู้นำด้านมุ่งสัมพันธ์ (related) ในระดับสูง ตามลำดับ สำหรับด้านทัศนคติของผู้ร่วมงานเกี่ยวกับการยอมรับผู้บริหารสตรีพบว่าอยู่ในระดับดี ความพึงพอใจของผู้ตามในภาพรวมอยู่ในระดับมากผู้ตามมีแรงจูงใจอยู่ในระดับสูงและเชื่อว่าผู้บริหารสตรีสามารถนำให้ทำงานบรรลุเป้าหมายได้ดี นอกจากนี้ผลการวิจัยพบว่าคุณลักษณะของผู้ตามที่แตกต่างกันมีความสัมพันธ์กับภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรีที่ประสบความสำเร็จในสถาบันอาชีวศึกษาแตกต่างกันผลการวิจัยยังพบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกันของผู้ตามมีผลต่อการรับรู้ลักษณะผู้นำของผู้บริหารสตรีแตกต่างกันและผลการวิจัยยังพบความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะผู้นำแบบพื้นฐาน 4 แบบกับความสำเร็จของผู้บริหารสตรีในสถาบันอาชีวศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาภาครัฐที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05Curricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27293 SIU THE-T. ภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรีที่ประสบความสำเร็จในสถาบันอาชีวศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาภาครัฐในเขตกรุงเทพมหานคร = Leaderships of Successful Female Executives in Public Vocational Education Institutions under Commission on Vocational in Bangkok [printed text] / รุจิรา ฟูเจริญ, Author ; ธนสุวิทย์ ทับหิรัญรักษ์, Associated Name ; เพชรรัตน์ โล้วิชากรติกุล, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017 . - viii, 109 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: SOM-DBA-2017-04
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2560
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ผู้นำ
[LCSH]สตรี
[LCSH]อาชีวศึกษาKeywords: ความสำเร็จภาวะผู้นำ,
ผู้บริหารสตรี,
สถาบันอาชีวศึกษาAbstract: วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรีที่ประสบความสำเร็จในสถาบันอาชีวศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาภาครัฐ ในเขตกรุงเทพมหานครและศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างขององค์ประกอบคุณลักษณะภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรีใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นบุคลากรด้านการศึกษาที่ทำงานในสถาบันอาชีวศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาภาครัฐ ในเขตกรุงเทพมหานครจำนวน 400คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา และสถิติเชิงอนุมานเพื่อทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปรและทดสอบสมมุติฐาน
ผลจากการวิจัยพบว่าผู้บริหารสตรีมีภาวะผู้นำด้านมุ่งเกณฑ์ (separated) ในระดับสูงสุด รองลงมาคือภาวะผู้นำด้านมุ่งงาน (task oriented) ในระดับสูงภาวะผู้นำด้านมุ่งประสาน (integrated) ในระดับสูง และภาวะผู้นำด้านมุ่งสัมพันธ์ (related) ในระดับสูง ตามลำดับ สำหรับด้านทัศนคติของผู้ร่วมงานเกี่ยวกับการยอมรับผู้บริหารสตรีพบว่าอยู่ในระดับดี ความพึงพอใจของผู้ตามในภาพรวมอยู่ในระดับมากผู้ตามมีแรงจูงใจอยู่ในระดับสูงและเชื่อว่าผู้บริหารสตรีสามารถนำให้ทำงานบรรลุเป้าหมายได้ดี นอกจากนี้ผลการวิจัยพบว่าคุณลักษณะของผู้ตามที่แตกต่างกันมีความสัมพันธ์กับภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรีที่ประสบความสำเร็จในสถาบันอาชีวศึกษาแตกต่างกันผลการวิจัยยังพบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกันของผู้ตามมีผลต่อการรับรู้ลักษณะผู้นำของผู้บริหารสตรีแตกต่างกันและผลการวิจัยยังพบความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะผู้นำแบบพื้นฐาน 4 แบบกับความสำเร็จของผู้บริหารสตรีในสถาบันอาชีวศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาภาครัฐที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05Curricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27293 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000595098 SIU THE-T: SOM-DBA-2017-04 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000595106 SIU THE-T: SOM-DBA-2017-04 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ปัจจัยที่อธิบายความพร้อมของหน่วยงานหลักในการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2555–2559 เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี / วันชัย จึงวิบูลย์สถิตย์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2017
Collection Title: SIU THE-T Title : ปัจจัยที่อธิบายความพร้อมของหน่วยงานหลักในการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2555–2559 เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี Original title : Factors Illustrating the Readiness of Core Organizations Performing along the Strategies of 2012–2016 National Tourism Plan for Developing Tourism of Pattaya City, Chonburi Material Type: printed text Authors: วันชัย จึงวิบูลย์สถิตย์, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2017 Pagination: xv, 236 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2017-04
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ยุทธศาสตร์
[LCSH]แผนพัฒนาการท่องเที่ยว -- ชลบุรี -- พัทยาKeywords: คำสำคัญ แผนพัฒนาการท่องเที่ยว.
การปฏิบัติตามยุทธศาสตร์.
เมืองพัทยา.Abstract: การท่องเที่ยวนับว่าเป็นสินค้าประเภทหนึ่ง ที่สามารถทำรายได้อย่างมหาศาลให้กับประเทศ เนื่องจากเป็นสินค้าที่ลงทุนต่ำแต่ได้ผลกำไรสูง ดังที่หลาย ๆ ประเทศต่างหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาการท่องเที่ยวของตน และทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำอยู่ก็ตาม ประเทศไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามและมีชื่อเสียงระดับโลกไม่แพ้ประเทศใด เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา ฯลฯ เป็นต้น โดยศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวเหล่านี้น่าจะทำรายได้เพิ่มขึ้นจากที่เป็นอยู่ รัฐบาลจึงออกพระราชกฤษฎีกากำหนดแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2555-2559 ขึ้น และในแผนนี้ได้กำหนดยุทธศาสตร์การปฏิบัติงานที่เน้นการร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐผนวกกับภาคเอกชนในการขับเคลื่อนแผนนี้เพื่อกระตุ้นให้การท่องเที่ยวในภาพรวมพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามการนำนโยบายต่าง ๆ ไปปฏิบัติของหน่วยงานภาครัฐมักมีปัญหาในด้านความล่าช้า ความไม่มีประสิทธิภาพ หรือล้มเหลว การศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่ง (1) ศึกษาระดับความพร้อมของหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2555 -2559 เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองพัทยา (2) ศึกษาระดับผลการพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองพัทยา ที่เกิดจากการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2555 -2559 (3) เพื่อหาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ของแผน และ 4) เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาการท่องเที่ยวซึ่งเหมาะสมกับพื้นที่ของเมืองพัทยา ซึ่งข้อมูลที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวให้มีศักยภาพสูงขึ้นและสามารถทำรายได้ให้กับประเทศสูงขึ้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ได้จากการกำหนดโควตา สำหรับตัวแทนหน่วยงานหลักภาครัฐ จำนวน 115 หน่วย การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงจากภาครัฐ และเอกชน ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2555-2559 โดยกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่ระดับความเชื่อมั่น 95% จำนวน 276 คน/หน่วย รวม 391 คน/หน่วย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณเป็นแบบสอบถามมาตรประเมินค่ามีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.947 และค่าความเที่ยงตรงเท่ากับ 0.95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ส่วนเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเชิงคุณภาพเป็นการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง
ผลการศึกษา พบว่า (1) ระดับความพร้อมของหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2555 -2559 เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองพัทยาอยู่ในระดับมีความพร้อมมาก (2) ระดับผลการพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองพัทยา ที่เกิดจากการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2555-2559 อยู่ในระดับสูง (3) ตัวแปรอิสระด้านการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง การสื่อสารภายในองค์การและระหว่างองค์การ ความสามารถของหน่วยงาน/องค์การ ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน/องค์การ ความพอเพียงของทรัพยากรของหน่วยงาน/องค์การ และการติดตามและประเมินผลของหน่วยงาน/องค์การ มีความสัมพันธ์กับตัวแปรตาม ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการท่องเที่ยว การพัฒนาและฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืน การพัฒนาสินค้าบริการและปัจจัยสนับสนุนการท่องเที่ยว การส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของภาครัฐภาคประชาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการบริหารจัดการทรัพยากรการท่องเที่ยว การสร้างความเชื่อมั่นและส่งเสริมการท่องเที่ยว และการส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของภาครัฐ ภาคประชาชน ในการบริหารทรัพยากรการท่องเที่ยว ไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (4) ตัวแปรอิสระทุกตัวมีอิทธิพลต่อตัวแปรตาม โดยเรียงลำดับจากมากที่สุดไปหาน้อยที่สุดดังนี้ การสื่อสารภายในองค์การและระหว่างองค์การ การเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ความร่วมมือระหว่างองค์การ ความพอเพียงของทรัพยากรของหน่วยงาน/องค์การ การติดตามและประเมินผลของหน่วยงาน/องค์การ และความสามารถของหน่วยงาน/องค์การ ส่วนผลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกพบว่าผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ให้ความเห็นว่าหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2555-2559 เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองพัทยามีความพร้อมในการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ ส่วนผลการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ ของแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2555-2559 อยู่ในระดับน่าพึงพอใจเช่นกัน
การวิจัยครั้งนี้ มีข้อเสนอแนะดังนี้ ต้องรีบดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างเร่งด่วน เนื่องจากมีผลกระทบโดยตรงกับการท่องเที่ยว ต้องมีการวางแผนสำรวจแหล่งท่องเที่ยวที่เสื่อมโทรมเพื่อรีบฟื้นฟูให้กลับสภาพเดิมโดยเร็ว ทั้งนี้เพื่อรักษาภาพของการเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก ให้พิจารณาเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวเป็นประเด็นสำคัญ เนื่องจากจะมีผลกระทบเชิงลบอย่างมากถ้านักท่องเที่ยวถูกทำร้าย หรือถูกประทุษร้ายต่อทรัพย์สินบ่อย ๆ ให้มีการอบรมบุคลากรเกี่ยวกับการประเมินผลการปฏิบัติงาน ให้มีความ สามารถประเมินหน่วยงานของตนเองและหน่วยงานอื่นที่ร่วมกันปฏิบัติงาน และการจัดสรรงบประมาณเพื่อปฏิบัติงานพัฒนาการท่องเที่ยวควรจัดไว้เป็นการเฉพาะ เนื่องจากหน่วยงานแต่ละหน่วยงานก็มีเรื่องใช้งบประมาณของตนเอง หรืออีกกรณีหนึ่งคือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการท่องเที่ยวตั้งงบประมาณในหน่วยของตนเองเพื่อปฏิบัติงานการพัฒนาการท่องเที่ยวCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27506 SIU THE-T. ปัจจัยที่อธิบายความพร้อมของหน่วยงานหลักในการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2555–2559 เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี = Factors Illustrating the Readiness of Core Organizations Performing along the Strategies of 2012–2016 National Tourism Plan for Developing Tourism of Pattaya City, Chonburi [printed text] / วันชัย จึงวิบูลย์สถิตย์, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017 . - xv, 236 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: IPAG-DPA-2017-04
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ยุทธศาสตร์
[LCSH]แผนพัฒนาการท่องเที่ยว -- ชลบุรี -- พัทยาKeywords: คำสำคัญ แผนพัฒนาการท่องเที่ยว.
การปฏิบัติตามยุทธศาสตร์.
เมืองพัทยา.Abstract: การท่องเที่ยวนับว่าเป็นสินค้าประเภทหนึ่ง ที่สามารถทำรายได้อย่างมหาศาลให้กับประเทศ เนื่องจากเป็นสินค้าที่ลงทุนต่ำแต่ได้ผลกำไรสูง ดังที่หลาย ๆ ประเทศต่างหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาการท่องเที่ยวของตน และทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำอยู่ก็ตาม ประเทศไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามและมีชื่อเสียงระดับโลกไม่แพ้ประเทศใด เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา ฯลฯ เป็นต้น โดยศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวเหล่านี้น่าจะทำรายได้เพิ่มขึ้นจากที่เป็นอยู่ รัฐบาลจึงออกพระราชกฤษฎีกากำหนดแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2555-2559 ขึ้น และในแผนนี้ได้กำหนดยุทธศาสตร์การปฏิบัติงานที่เน้นการร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐผนวกกับภาคเอกชนในการขับเคลื่อนแผนนี้เพื่อกระตุ้นให้การท่องเที่ยวในภาพรวมพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามการนำนโยบายต่าง ๆ ไปปฏิบัติของหน่วยงานภาครัฐมักมีปัญหาในด้านความล่าช้า ความไม่มีประสิทธิภาพ หรือล้มเหลว การศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่ง (1) ศึกษาระดับความพร้อมของหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2555 -2559 เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองพัทยา (2) ศึกษาระดับผลการพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองพัทยา ที่เกิดจากการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2555 -2559 (3) เพื่อหาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ของแผน และ 4) เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาการท่องเที่ยวซึ่งเหมาะสมกับพื้นที่ของเมืองพัทยา ซึ่งข้อมูลที่ได้จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวให้มีศักยภาพสูงขึ้นและสามารถทำรายได้ให้กับประเทศสูงขึ้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ได้จากการกำหนดโควตา สำหรับตัวแทนหน่วยงานหลักภาครัฐ จำนวน 115 หน่วย การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงจากภาครัฐ และเอกชน ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2555-2559 โดยกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่ระดับความเชื่อมั่น 95% จำนวน 276 คน/หน่วย รวม 391 คน/หน่วย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณเป็นแบบสอบถามมาตรประเมินค่ามีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.947 และค่าความเที่ยงตรงเท่ากับ 0.95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ส่วนเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเชิงคุณภาพเป็นการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง
ผลการศึกษา พบว่า (1) ระดับความพร้อมของหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2555 -2559 เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองพัทยาอยู่ในระดับมีความพร้อมมาก (2) ระดับผลการพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองพัทยา ที่เกิดจากการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2555-2559 อยู่ในระดับสูง (3) ตัวแปรอิสระด้านการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง การสื่อสารภายในองค์การและระหว่างองค์การ ความสามารถของหน่วยงาน/องค์การ ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน/องค์การ ความพอเพียงของทรัพยากรของหน่วยงาน/องค์การ และการติดตามและประเมินผลของหน่วยงาน/องค์การ มีความสัมพันธ์กับตัวแปรตาม ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการท่องเที่ยว การพัฒนาและฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืน การพัฒนาสินค้าบริการและปัจจัยสนับสนุนการท่องเที่ยว การส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของภาครัฐภาคประชาชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการบริหารจัดการทรัพยากรการท่องเที่ยว การสร้างความเชื่อมั่นและส่งเสริมการท่องเที่ยว และการส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของภาครัฐ ภาคประชาชน ในการบริหารทรัพยากรการท่องเที่ยว ไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (4) ตัวแปรอิสระทุกตัวมีอิทธิพลต่อตัวแปรตาม โดยเรียงลำดับจากมากที่สุดไปหาน้อยที่สุดดังนี้ การสื่อสารภายในองค์การและระหว่างองค์การ การเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ความร่วมมือระหว่างองค์การ ความพอเพียงของทรัพยากรของหน่วยงาน/องค์การ การติดตามและประเมินผลของหน่วยงาน/องค์การ และความสามารถของหน่วยงาน/องค์การ ส่วนผลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกพบว่าผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ให้ความเห็นว่าหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2555-2559 เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองพัทยามีความพร้อมในการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ ส่วนผลการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ ของแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. 2555-2559 อยู่ในระดับน่าพึงพอใจเช่นกัน
การวิจัยครั้งนี้ มีข้อเสนอแนะดังนี้ ต้องรีบดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างเร่งด่วน เนื่องจากมีผลกระทบโดยตรงกับการท่องเที่ยว ต้องมีการวางแผนสำรวจแหล่งท่องเที่ยวที่เสื่อมโทรมเพื่อรีบฟื้นฟูให้กลับสภาพเดิมโดยเร็ว ทั้งนี้เพื่อรักษาภาพของการเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก ให้พิจารณาเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวเป็นประเด็นสำคัญ เนื่องจากจะมีผลกระทบเชิงลบอย่างมากถ้านักท่องเที่ยวถูกทำร้าย หรือถูกประทุษร้ายต่อทรัพย์สินบ่อย ๆ ให้มีการอบรมบุคลากรเกี่ยวกับการประเมินผลการปฏิบัติงาน ให้มีความ สามารถประเมินหน่วยงานของตนเองและหน่วยงานอื่นที่ร่วมกันปฏิบัติงาน และการจัดสรรงบประมาณเพื่อปฏิบัติงานพัฒนาการท่องเที่ยวควรจัดไว้เป็นการเฉพาะ เนื่องจากหน่วยงานแต่ละหน่วยงานก็มีเรื่องใช้งบประมาณของตนเอง หรืออีกกรณีหนึ่งคือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการท่องเที่ยวตั้งงบประมาณในหน่วยของตนเองเพื่อปฏิบัติงานการพัฒนาการท่องเที่ยวCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27506 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000595874 SIU THE-T: IPAG-DPA-2017-04 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000595882 SIU THE-T: IPAG-DPA-2017-04 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ความคุ้มทุนในการลงทุนพลังงานทดแทนที่ได้รับการสนับสนุนระบบการลงทุนการผลิตไฟฟ้าจากรัฐ / สุจิตรา ปานพุ่ม / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2017
Collection Title: SIU THE-T Title : ความคุ้มทุนในการลงทุนพลังงานทดแทนที่ได้รับการสนับสนุนระบบการลงทุนการผลิตไฟฟ้าจากรัฐ Original title : Cost Effectiveness in Renewable Energy Investment Supported by Government Electricity Generating Investment System Material Type: printed text Authors: สุจิตรา ปานพุ่ม, Author ; ปิยพร ณ นคร, Associated Name ; อภิชาต ประดิษฐสมานนท์, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2017 Pagination: xviii, 305 p. Layout: ill, Tables Size: 30 cm. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: SOMT-MSMT-2017-01
THE. [MSMT.[Management Technology]] -- Shinawatra University, 2017.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การลงทุน
[LCSH]พลังงานทดแทนKeywords: ความคุ้มทุน,
พลังงานทดแทน,
ระบบการลงทุนผลิตไฟฟ้าAbstract: การวิจัยเรื่อง ความคุ้มทุนในการลงทุนพลังงานทดแทนที่ได้รับการสนับสนุนระบบการลงทุนการผลิตไฟฟ้าจากรัฐ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อหาชนิดพลังงานทดแทนที่มีความคุ้มทุนในการลงทุนพลังงานทดแทนที่ได้รับการสนับสนุนระบบการลงทุนการผลิตไฟฟ้าจากรัฐ 2) เพื่อเปรียบเทียบความคุ้มทุนในการลงทุนพลังงานทดแทนที่ได้รับการสนับสนุนระบบการลงทุนการผลิตไฟฟ้าจากรัฐและ 3) เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการลงทุนพลังงานทดแทนที่ได้รับการสนับสนุนระบบการลงทุนการผลิตไฟฟ้าจากรัฐ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วยการศึกษาถึงประเภทและการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ระเบียบและกฎเกณฑ์การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน กระทรวงพลังงาน การสนับสนุนจากภาครัฐ นำมาวิเคราะห์ถึงชนิดพลังงานทดแทนที่มีความคุ้มทุนพร้อมทั้งปัญหาและอุปสรรคในการลงทุนพลังงานทดแทนที่ได้รับการสนับสนุนระบบการลงทุนการผลิตไฟฟ้าจากรัฐ กับทฤษฎีการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการ การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการพร้อมทั้งสัมภาษณ์ ผู้บริหารและบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการลงทุนพลังงานทดแทนที่ได้รับการสนับสนุนระบบการลงทุนการผลิตไฟฟ้าจากรัฐ
ผลการวิจัย พบว่า พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานชีวมวล ที่ได้รับการสนับสนุนระบบการลงทุนการผลิตไฟฟ้าจากรัฐ มีความคุ้มทุนในการลงทุนพลังงานทดแทนทั้ง 3 ชนิด เนื่องจากนโยบายการรับซื้อพลังงานทดแทนที่รัฐสามารถเลือกกำหนด feed-in tariff ให้มีความสมดุลในด้านการลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ และคงความน่าลงทุนในพลังงานทดแทนได้โดยไม่ส่งผลกระทบที่มีนัยสำคัญต่อภาคธุรกิจและผู้บริโภค และไม่มีข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบในการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเมื่อเทียบความคุ้มทุนในการลงทุนพลังงานทดแทนที่ได้รับการสนับสนุนระบบการลงทุนการผลิตไฟฟ้าจากรัฐ เนื่องจากมีการวิเคราะห์ด้านเทคนิค ด้านสังคม ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านเศรษฐศาสตร์ และการเงินก่อนการลงทุน แต่พบว่าการประกอบกิจการพลังงานทดแทนมีปัญหาและอุปสรรคในการลงทุนหลายประการ 1) มีปัญหาด้านต้นทุนการผลิตต่อหน่วยยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูง 2) ปัญหาด้านข้อกฎหมาย ประกาศ กฎ ระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงานทดแทน 3) ปัญหาในขั้นตอนของการบริหารจัดการและการขอใบอนุญาตจำหน่ายไฟฟ้า 4) ปัญหาการจัดโครงสร้างองค์กรด้านพลังงานทดแทนที่มีความสลับซับซ้อนในอำนาจหน้าที่ 5) ข้อจำกัดของระบบสายจำหน่าย 6) การวิจัยและพัฒนาพลังงานทดแทนยังไม่เพียงพอ 7) ปัญหาด้านข้อกฎหมายในพื้นที่ที่ตั้งโรงไฟฟ้า 8) ปัญหาด้านการทับซ้อนการทำธุรกิจพลังงาน 9) ปัญหาด้านระบบโคร้างสร้างพื้นฐาน และ 10) ปัญหาการสนับสนุนด้านการเงินในการลงทุนในกิจการพลังงานทดแทน ซึ่งปัญหาเหล่านี้รัฐควรเร่งดำเนินการแก้ไขเพื่อให้พลังงานทดแทนสามารถแข่งขันกับพลังงานจากฟอสซิลได้ในอนาคตCurricular : BSMT/MSMT Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27507 SIU THE-T. ความคุ้มทุนในการลงทุนพลังงานทดแทนที่ได้รับการสนับสนุนระบบการลงทุนการผลิตไฟฟ้าจากรัฐ = Cost Effectiveness in Renewable Energy Investment Supported by Government Electricity Generating Investment System [printed text] / สุจิตรา ปานพุ่ม, Author ; ปิยพร ณ นคร, Associated Name ; อภิชาต ประดิษฐสมานนท์, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017 . - xviii, 305 p. : ill, Tables ; 30 cm.
500.00
SIU THE-T: SOMT-MSMT-2017-01
THE. [MSMT.[Management Technology]] -- Shinawatra University, 2017.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การลงทุน
[LCSH]พลังงานทดแทนKeywords: ความคุ้มทุน,
พลังงานทดแทน,
ระบบการลงทุนผลิตไฟฟ้าAbstract: การวิจัยเรื่อง ความคุ้มทุนในการลงทุนพลังงานทดแทนที่ได้รับการสนับสนุนระบบการลงทุนการผลิตไฟฟ้าจากรัฐ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อหาชนิดพลังงานทดแทนที่มีความคุ้มทุนในการลงทุนพลังงานทดแทนที่ได้รับการสนับสนุนระบบการลงทุนการผลิตไฟฟ้าจากรัฐ 2) เพื่อเปรียบเทียบความคุ้มทุนในการลงทุนพลังงานทดแทนที่ได้รับการสนับสนุนระบบการลงทุนการผลิตไฟฟ้าจากรัฐและ 3) เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการลงทุนพลังงานทดแทนที่ได้รับการสนับสนุนระบบการลงทุนการผลิตไฟฟ้าจากรัฐ การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วยการศึกษาถึงประเภทและการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน ระเบียบและกฎเกณฑ์การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน กระทรวงพลังงาน การสนับสนุนจากภาครัฐ นำมาวิเคราะห์ถึงชนิดพลังงานทดแทนที่มีความคุ้มทุนพร้อมทั้งปัญหาและอุปสรรคในการลงทุนพลังงานทดแทนที่ได้รับการสนับสนุนระบบการลงทุนการผลิตไฟฟ้าจากรัฐ กับทฤษฎีการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการ การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการพร้อมทั้งสัมภาษณ์ ผู้บริหารและบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการลงทุนพลังงานทดแทนที่ได้รับการสนับสนุนระบบการลงทุนการผลิตไฟฟ้าจากรัฐ
ผลการวิจัย พบว่า พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานชีวมวล ที่ได้รับการสนับสนุนระบบการลงทุนการผลิตไฟฟ้าจากรัฐ มีความคุ้มทุนในการลงทุนพลังงานทดแทนทั้ง 3 ชนิด เนื่องจากนโยบายการรับซื้อพลังงานทดแทนที่รัฐสามารถเลือกกำหนด feed-in tariff ให้มีความสมดุลในด้านการลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ และคงความน่าลงทุนในพลังงานทดแทนได้โดยไม่ส่งผลกระทบที่มีนัยสำคัญต่อภาคธุรกิจและผู้บริโภค และไม่มีข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบในการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเมื่อเทียบความคุ้มทุนในการลงทุนพลังงานทดแทนที่ได้รับการสนับสนุนระบบการลงทุนการผลิตไฟฟ้าจากรัฐ เนื่องจากมีการวิเคราะห์ด้านเทคนิค ด้านสังคม ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านเศรษฐศาสตร์ และการเงินก่อนการลงทุน แต่พบว่าการประกอบกิจการพลังงานทดแทนมีปัญหาและอุปสรรคในการลงทุนหลายประการ 1) มีปัญหาด้านต้นทุนการผลิตต่อหน่วยยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูง 2) ปัญหาด้านข้อกฎหมาย ประกาศ กฎ ระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงานทดแทน 3) ปัญหาในขั้นตอนของการบริหารจัดการและการขอใบอนุญาตจำหน่ายไฟฟ้า 4) ปัญหาการจัดโครงสร้างองค์กรด้านพลังงานทดแทนที่มีความสลับซับซ้อนในอำนาจหน้าที่ 5) ข้อจำกัดของระบบสายจำหน่าย 6) การวิจัยและพัฒนาพลังงานทดแทนยังไม่เพียงพอ 7) ปัญหาด้านข้อกฎหมายในพื้นที่ที่ตั้งโรงไฟฟ้า 8) ปัญหาด้านการทับซ้อนการทำธุรกิจพลังงาน 9) ปัญหาด้านระบบโคร้างสร้างพื้นฐาน และ 10) ปัญหาการสนับสนุนด้านการเงินในการลงทุนในกิจการพลังงานทดแทน ซึ่งปัญหาเหล่านี้รัฐควรเร่งดำเนินการแก้ไขเพื่อให้พลังงานทดแทนสามารถแข่งขันกับพลังงานจากฟอสซิลได้ในอนาคตCurricular : BSMT/MSMT Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27507 Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000596401 SIU THE-T: SOMT-MSMT-2017-01 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Library Counter Not for loan 32002000595908 SIU THE-T: SOMT-MSMT-2017-01 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Library Counter Not for loan SIU THE-T. รูปแบบการบริหารจัดการที่ส่งผลต่อความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล / รุ่งนภา กุลภักดี / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2017
Collection Title: SIU THE-T Title : รูปแบบการบริหารจัดการที่ส่งผลต่อความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล Original title : Management Model Affecting the Success in Nursing Education Institutions Material Type: printed text Authors: รุ่งนภา กุลภักดี, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีย์ เสวกวัชรี, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2017 Pagination: xii, 255 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2017-10
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2560Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การบริหารจัดการ
[LCSH]ผู้นำ -- คุณลักษณะKeywords: ความสำเร็จของสถาบัน,
การบริหารจัดการ,
คุณลักษณะผู้นำ,
สถาบันการศึกษาพยาบาลAbstract: การวิจัยเชิงพรรณนานี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่เกี่ยวข้องระหว่างคุณลักษณะผู้นำและการบริหารจัดการสถาบันที่ส่งผลต่อความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล และกำหนดรูปแบบการบริหารจัดการที่ส่งผลต่อความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล กลุ่มตัวอย่างคณบดี/ผู้อำนวยการและอาจารย์พยาบาลปฏิบัติหน้าที่บริหารงานของสถาบันการศึกษาพยาบาลในการวิจัยเชิงปริมาณ จำนวน 365 คน และการวิจัยเชิงคุณภาพ จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ ใช้สถิติเชิงพรรณนาได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ สถิติวิเคราะห์เส้นทางอิทธิพล (path analysis) สถิติการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (structural equation modeling : SEM) และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (content analysis)
ผลการวิจัยพบว่า คุณลักษณะผู้นำของผู้บริหารมีอิทธิพลทางตรงกับการบริหารจัดการ (DE=1.18) และคุณลักษณะผู้นำของผู้บริหารมีอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมกับความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล (DE=-.52, IE=1.67) ส่วนการบริหารจัดการมีอิทธิพลทางตรงกับความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล (DE=1.42) และโมเดลสมการโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่เกี่ยวข้องระหว่างคุณลักษณะผู้นำของผู้บริหารและการบริหารจัดการที่ส่งผลต่อความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาลที่พัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (χ2=5.909, df=6, P=.433, CMIN/df=.985, GFI=.996, AGFI=.976, RMSEA=.000) ซึ่งสามารถอธิบายผลสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาลได้ร้อยละ 54.10 ผลการวิจัยเชิงคุณภาพสอดคล้องกับเชิงปริมาณในทุกมิติ และเสนอแนะให้พัฒนาคุณลักษณะผู้นำของผู้บริหารที่เอื้อต่อความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล รวมทั้งการรวมกลุ่มกันเป็นเครือข่ายเพื่อพัฒนาศักยภาพและกำหนดทิศทางการพัฒนาร่วมกันในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับสถาบันการศึกษาพยาบาลCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27547 SIU THE-T. รูปแบบการบริหารจัดการที่ส่งผลต่อความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล = Management Model Affecting the Success in Nursing Education Institutions [printed text] / รุ่งนภา กุลภักดี, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีย์ เสวกวัชรี, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017 . - xii, 255 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: SOM-DBA-2017-10
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2560
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การบริหารจัดการ
[LCSH]ผู้นำ -- คุณลักษณะKeywords: ความสำเร็จของสถาบัน,
การบริหารจัดการ,
คุณลักษณะผู้นำ,
สถาบันการศึกษาพยาบาลAbstract: การวิจัยเชิงพรรณนานี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่เกี่ยวข้องระหว่างคุณลักษณะผู้นำและการบริหารจัดการสถาบันที่ส่งผลต่อความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล และกำหนดรูปแบบการบริหารจัดการที่ส่งผลต่อความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล กลุ่มตัวอย่างคณบดี/ผู้อำนวยการและอาจารย์พยาบาลปฏิบัติหน้าที่บริหารงานของสถาบันการศึกษาพยาบาลในการวิจัยเชิงปริมาณ จำนวน 365 คน และการวิจัยเชิงคุณภาพ จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ ใช้สถิติเชิงพรรณนาได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ สถิติวิเคราะห์เส้นทางอิทธิพล (path analysis) สถิติการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (structural equation modeling : SEM) และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (content analysis)
ผลการวิจัยพบว่า คุณลักษณะผู้นำของผู้บริหารมีอิทธิพลทางตรงกับการบริหารจัดการ (DE=1.18) และคุณลักษณะผู้นำของผู้บริหารมีอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมกับความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล (DE=-.52, IE=1.67) ส่วนการบริหารจัดการมีอิทธิพลทางตรงกับความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล (DE=1.42) และโมเดลสมการโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่เกี่ยวข้องระหว่างคุณลักษณะผู้นำของผู้บริหารและการบริหารจัดการที่ส่งผลต่อความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาลที่พัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (χ2=5.909, df=6, P=.433, CMIN/df=.985, GFI=.996, AGFI=.976, RMSEA=.000) ซึ่งสามารถอธิบายผลสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาลได้ร้อยละ 54.10 ผลการวิจัยเชิงคุณภาพสอดคล้องกับเชิงปริมาณในทุกมิติ และเสนอแนะให้พัฒนาคุณลักษณะผู้นำของผู้บริหารที่เอื้อต่อความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล รวมทั้งการรวมกลุ่มกันเป็นเครือข่ายเพื่อพัฒนาศักยภาพและกำหนดทิศทางการพัฒนาร่วมกันในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับสถาบันการศึกษาพยาบาลCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27547 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000596674 SIU THE-T: SOM-DBA-2017-10 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000596682 SIU THE-T: SOM-DBA-2017-10 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การพัฒนากีฬาเพื่อเป็นกลยุทธ์การตลาดของมหาวิทยาลัยเอกชน / มณฑิรา ชุนลิ้ม / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2017
Collection Title: SIU THE-T Title : การพัฒนากีฬาเพื่อเป็นกลยุทธ์การตลาดของมหาวิทยาลัยเอกชน Original title : Sport Development’s Contribution to the Marketing Strategy of Private University Material Type: printed text Authors: มณฑิรา ชุนลิ้ม, Author ; อุษณีย์ เสวกวัชรี, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2017 Pagination: ix, 156 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2017-11
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2560Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]กลยุทธ์การตลาด
[LCSH]กีฬาKeywords: รูปแบบการพัฒนากีฬา,
กลยุทธ์การตลาด,
มหาวิทยาลัยเอกชน,
วิจัยเชิงคุณภาพAbstract: การศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนากีฬาเพื่อเป็นกลยุทธ์การตลาดของมหาวิทยาลัยเอกชนมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาลักษณะการใช้กีฬาเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดของมหาวิทยาลัยเอกชน 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกและ/หรือสมัครเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเอกชน 3) เพื่อพัฒนารูปแบบการพัฒนากีฬาที่มีผลต่อการส่งเสริมกลยุทธ์ด้านการตลาดของมหาวิทยาลัยเอกชน ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้วิจัยทำการวิจัยในครั้งนี้
การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) โดยวิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ที่มีการกำหนดกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะ (Purposive Sampling) จากสถาบันอุดมศึกษาเอกชน จำนวน 8 แห่ง ที่มีระดับผลการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 42 แบ่งเป็นกลุ่มสถาบันที่ได้รับเหรียญรางวัลมาก เหรียญรางวัลปานกลาง และเหรียญรางวัลน้อย โดยใช้รูปแบบการสัมภาษณ์คำถามแบบกึ่งโครงสร้าง (Semi-Structured) กับผู้บริหารฝ่ายกิจการนักศึกษาหรือด้านสำนักกีฬา สถาบันละ 2 คน จำนวน 16 คน การเก็บรวบรวมข้อมูลผู้วิจัยทำการส่งหนังสือขออนุญาตเข้าสัมภาษณ์พร้อมส่งข้อคำถาม ประเด็นการสัมภาษณ์กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญและขออนุญาตทำการบันทึกเสียงร่วมกับการจดบันทึกในระหว่างการสัมภาษณ์ และถอดเทปการบันทึกการสัมภาษณ์โดยผู้วิจัยและนำมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ในแต่ละประเด็น ร่วมกับจากการศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี แล้วนำมาสรุปและอภิปรายผลของการวิจัยตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย
ผลการวิเคราะห์ของการวิจัย พบว่า สภาวะการแข่งขันทางการกีฬาของสถาบันอุดมศึกษานั้น มีลักษณะการแข่งขันกันในรูปแบบมหาวิทยาลัยของรัฐกับมหาวิทยาลัยเอกชนและในกลุ่มของมหาวิทยาลัยเอกชนด้วยกัน โดยมีระบบการให้ทุนการศึกษาความสามารถพิเศษด้านกีฬาเช่นเดียวกัน โดยมีลักษณะการแข่งขันมุ่งเน้นเหรียญรางวัลและระดับของจำนวนเหรียญรางวัลเพื่อเพิ่ม หรือรักษาระดับของมหาวิทยาลัย (Ranking) และประชาสัมพันธ์ชื่อมหาวิทยาลัย ซึ่งผลงานจากการพัฒนากีฬาของมหาวิทยาลัยมีผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อของนักเรียน รูปแบบการพัฒนากีฬาของมหาวิทยาลัยเอกชนสามารถแบ่งออกตาม 7 Ps คือ 1) ด้านผลิตภัณฑ์ (Product) ประเภทกีฬาที่ส่งเสริม หลักสูตรการเรียนการสอน หลักสูตรการฝึกอบรมระยะสั้น 2) ด้านผลตอบแทนที่ได้รับจากการเข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัย (Price) ทุนการศึกษา ระบบจูงใจค่าตอบแทน สวัสดิการ 3) ด้านช่องทางการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในการรับนักศึกษา (Place) สถานที่ตั้งมหาวิทยาลัย การจัดการเรียนการสอน เวลาการให้บริการของเจ้าหน้าที่ 4) ด้านการส่งเสริม (Promotions) โครงการ/กิจกรรมด้านกีฬา การให้บริการด้านอาคาร สนามกีฬาและสิ่งอำนวยความสะดวก 5) ด้านบุคลากร (People) มีคณาจารย์และผู้ฝึกสอนที่มีชื่อเสียง 6) ด้านกายภาพและการนำเสนอ (Physical Evidence/Environment and Presentation) สนามกีฬาและอาคารกีฬา สิ่งอำนวยความสะดวกด้านกีฬา 7) ด้านกระบวนการ (Process) ระบบดูแลเรื่องการเรียน ระบบการฝึกซ้อม การประสานความร่วมมือกับสมาคมกีฬานอกจากนี้ ผลการวิจัยพบว่า มหาวิทยาลัยเอกชนใช้กีฬาเป็นกลยุทธ์การตลาดเพื่อการประชาสัมพันธ์ด้านการสร้างตราสินค้า (Brand Image) ของมหาวิทยาลัยและการให้ทุนการศึกษานักกีฬาที่มีชื่อเสียงเพื่อเป็นทูตตราสินค้า (Brand Ambassador) เพื่อเป็นแบบอย่างดึงดูดนักเรียนที่ชื่นชอบนักกีฬาเลือกเข้าศึกษาต่อได้Curricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27548 SIU THE-T. การพัฒนากีฬาเพื่อเป็นกลยุทธ์การตลาดของมหาวิทยาลัยเอกชน = Sport Development’s Contribution to the Marketing Strategy of Private University [printed text] / มณฑิรา ชุนลิ้ม, Author ; อุษณีย์ เสวกวัชรี, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017 . - ix, 156 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: SOM-DBA-2017-11
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2560
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]กลยุทธ์การตลาด
[LCSH]กีฬาKeywords: รูปแบบการพัฒนากีฬา,
กลยุทธ์การตลาด,
มหาวิทยาลัยเอกชน,
วิจัยเชิงคุณภาพAbstract: การศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนากีฬาเพื่อเป็นกลยุทธ์การตลาดของมหาวิทยาลัยเอกชนมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาลักษณะการใช้กีฬาเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดของมหาวิทยาลัยเอกชน 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกและ/หรือสมัครเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเอกชน 3) เพื่อพัฒนารูปแบบการพัฒนากีฬาที่มีผลต่อการส่งเสริมกลยุทธ์ด้านการตลาดของมหาวิทยาลัยเอกชน ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้วิจัยทำการวิจัยในครั้งนี้
การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) โดยวิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก ที่มีการกำหนดกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะ (Purposive Sampling) จากสถาบันอุดมศึกษาเอกชน จำนวน 8 แห่ง ที่มีระดับผลการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 42 แบ่งเป็นกลุ่มสถาบันที่ได้รับเหรียญรางวัลมาก เหรียญรางวัลปานกลาง และเหรียญรางวัลน้อย โดยใช้รูปแบบการสัมภาษณ์คำถามแบบกึ่งโครงสร้าง (Semi-Structured) กับผู้บริหารฝ่ายกิจการนักศึกษาหรือด้านสำนักกีฬา สถาบันละ 2 คน จำนวน 16 คน การเก็บรวบรวมข้อมูลผู้วิจัยทำการส่งหนังสือขออนุญาตเข้าสัมภาษณ์พร้อมส่งข้อคำถาม ประเด็นการสัมภาษณ์กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญและขออนุญาตทำการบันทึกเสียงร่วมกับการจดบันทึกในระหว่างการสัมภาษณ์ และถอดเทปการบันทึกการสัมภาษณ์โดยผู้วิจัยและนำมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ในแต่ละประเด็น ร่วมกับจากการศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี แล้วนำมาสรุปและอภิปรายผลของการวิจัยตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย
ผลการวิเคราะห์ของการวิจัย พบว่า สภาวะการแข่งขันทางการกีฬาของสถาบันอุดมศึกษานั้น มีลักษณะการแข่งขันกันในรูปแบบมหาวิทยาลัยของรัฐกับมหาวิทยาลัยเอกชนและในกลุ่มของมหาวิทยาลัยเอกชนด้วยกัน โดยมีระบบการให้ทุนการศึกษาความสามารถพิเศษด้านกีฬาเช่นเดียวกัน โดยมีลักษณะการแข่งขันมุ่งเน้นเหรียญรางวัลและระดับของจำนวนเหรียญรางวัลเพื่อเพิ่ม หรือรักษาระดับของมหาวิทยาลัย (Ranking) และประชาสัมพันธ์ชื่อมหาวิทยาลัย ซึ่งผลงานจากการพัฒนากีฬาของมหาวิทยาลัยมีผลต่อการตัดสินใจเลือกเข้าศึกษาต่อของนักเรียน รูปแบบการพัฒนากีฬาของมหาวิทยาลัยเอกชนสามารถแบ่งออกตาม 7 Ps คือ 1) ด้านผลิตภัณฑ์ (Product) ประเภทกีฬาที่ส่งเสริม หลักสูตรการเรียนการสอน หลักสูตรการฝึกอบรมระยะสั้น 2) ด้านผลตอบแทนที่ได้รับจากการเข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัย (Price) ทุนการศึกษา ระบบจูงใจค่าตอบแทน สวัสดิการ 3) ด้านช่องทางการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในการรับนักศึกษา (Place) สถานที่ตั้งมหาวิทยาลัย การจัดการเรียนการสอน เวลาการให้บริการของเจ้าหน้าที่ 4) ด้านการส่งเสริม (Promotions) โครงการ/กิจกรรมด้านกีฬา การให้บริการด้านอาคาร สนามกีฬาและสิ่งอำนวยความสะดวก 5) ด้านบุคลากร (People) มีคณาจารย์และผู้ฝึกสอนที่มีชื่อเสียง 6) ด้านกายภาพและการนำเสนอ (Physical Evidence/Environment and Presentation) สนามกีฬาและอาคารกีฬา สิ่งอำนวยความสะดวกด้านกีฬา 7) ด้านกระบวนการ (Process) ระบบดูแลเรื่องการเรียน ระบบการฝึกซ้อม การประสานความร่วมมือกับสมาคมกีฬานอกจากนี้ ผลการวิจัยพบว่า มหาวิทยาลัยเอกชนใช้กีฬาเป็นกลยุทธ์การตลาดเพื่อการประชาสัมพันธ์ด้านการสร้างตราสินค้า (Brand Image) ของมหาวิทยาลัยและการให้ทุนการศึกษานักกีฬาที่มีชื่อเสียงเพื่อเป็นทูตตราสินค้า (Brand Ambassador) เพื่อเป็นแบบอย่างดึงดูดนักเรียนที่ชื่นชอบนักกีฬาเลือกเข้าศึกษาต่อได้Curricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27548 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000596708 SIU THE-T: SOM-DBA-2017-11 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000596690 SIU THE-T: SOM-DBA-2017-11 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available