From this page you can:
Home |
Collection details
Collection SIU THE-T
Documents available under this collective title
Add the result to your basketSIU THE-T. ปัจจัยความสำเร็จการพัฒนาเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืนของเทศบาลเมืองพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี / อารยะ ชีสังวรณ์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2020
Collection Title: SIU THE-T Title : ปัจจัยความสำเร็จการพัฒนาเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืนของเทศบาลเมืองพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี Original title : Success Factors of Livable City Sustainable Development of Phanat Nikhom Municipals, Chonburi Province Material Type: printed text Authors: อารยะ ชีสังวรณ์, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2020 Pagination: x, 280 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-03
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การพัฒนาเมืองแบบยั่งยืน -- ชลบุรี -- พนัสนิคม
[LCSH]ความสำเร็จKeywords: เมืองน่าอยู่,
การพัฒนาเมืองน่าอยู่,
อย่างยั่งยืนAbstract: วิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพความสำเร็จของการพัฒนาเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืนของเทศบาลเมืองพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลความสำเร็จของการพัฒนาเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืนของเทศบาลเมืองพนัสนิคม 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการปฏิบัติที่ดี ของการพัฒนาเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืนของเทศบาลเมืองพนัสนิคม ใช้การวิจัยแบบผสมผสาน เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพจากผู้ให้ข้อมูลหลักการสัมภาษณ์ จำนวน 20 คน และเชิงปริมาณใช้แบบสอบถาม เก็บข้อมูลจาก เจ้าพนักงานสังกัดเทศบาลพนัสนิคม และประชาชน ในเขตเทศบาลพนัสนิคม จำนวน 361 คน การวิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติพรรณนา (Descriptive Statistics) ทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปรด้วยการวิเคราะห์ถดถอยพหุ (Multiple Regression Analysis)
ผลการวิจัย พบว่า การพัฒนาเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืนของเทศบาลเมืองพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี มีเป้าหมายชัดเจน ดำเนินการภายใต้เงื่อนไขการยอมรับของทุกฝ่าย มีจิตสำนึกและสืบทอดเจตนารมณ์ในการสร้างความยั่งยืนร่วมกัน การพัฒนาโดยรวมอยู่ในระดับ “ดี” ปัจจัยความสำเร็จของการพัฒนาเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน ประกอบด้วย ปัจจัยด้านมุ่งผลสัมฤทธิ์ ด้านความเป็นพลเมือง ด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ด้านการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ด้านวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้านการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี ด้านการมีส่วนร่วม และ ด้านความร่วมมือ สามารถอธิบายความสำเร็จของการพัฒนาเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน ได้ในระดับ “มาก” โดยปัจจัยทั้ง 8 ด้าน เป็นตัวพยากรณ์ที่ดีที่สุดสามารถพยากรณ์ความเป็นเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืนได้ร้อยละ 95.60
ข้อเสนอแนวทางการปฏิบัติที่ดีของการพัฒนาเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน ดังนี้ 1) ผู้นำท้องถิ่นควรต้องตระหนักเสมอว่า การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น คือ หัวใจของความเจริญในชุมชน สามารถต่อยอดการพัฒนาเป็นเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืนได้ 2) การกำหนดนโยบายควรมีเป้าหมายที่ชัดเจน ตอบสนองความต้องการของชาวเมือง และสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้ 3) การกำหนดนโยบายการพัฒนาเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน ควรคำนึงถึงการบูรณาการองค์ความรู้จากทฤษฎี และประสบการณ์จากชุมชน 4) เทศบาลควรส่งเสริม สนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วม สร้างสรรค์นวัตกรรมและสืบทอดเจตนารมณ์การสร้างเมืองให้น่าอยู่อย่างยั่งยืน ต่อไปCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28043 SIU THE-T. ปัจจัยความสำเร็จการพัฒนาเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืนของเทศบาลเมืองพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี = Success Factors of Livable City Sustainable Development of Phanat Nikhom Municipals, Chonburi Province [printed text] / อารยะ ชีสังวรณ์, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020 . - x, 280 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-03
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การพัฒนาเมืองแบบยั่งยืน -- ชลบุรี -- พนัสนิคม
[LCSH]ความสำเร็จKeywords: เมืองน่าอยู่,
การพัฒนาเมืองน่าอยู่,
อย่างยั่งยืนAbstract: วิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพความสำเร็จของการพัฒนาเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืนของเทศบาลเมืองพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลความสำเร็จของการพัฒนาเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืนของเทศบาลเมืองพนัสนิคม 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการปฏิบัติที่ดี ของการพัฒนาเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืนของเทศบาลเมืองพนัสนิคม ใช้การวิจัยแบบผสมผสาน เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพจากผู้ให้ข้อมูลหลักการสัมภาษณ์ จำนวน 20 คน และเชิงปริมาณใช้แบบสอบถาม เก็บข้อมูลจาก เจ้าพนักงานสังกัดเทศบาลพนัสนิคม และประชาชน ในเขตเทศบาลพนัสนิคม จำนวน 361 คน การวิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติพรรณนา (Descriptive Statistics) ทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปรด้วยการวิเคราะห์ถดถอยพหุ (Multiple Regression Analysis)
ผลการวิจัย พบว่า การพัฒนาเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืนของเทศบาลเมืองพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี มีเป้าหมายชัดเจน ดำเนินการภายใต้เงื่อนไขการยอมรับของทุกฝ่าย มีจิตสำนึกและสืบทอดเจตนารมณ์ในการสร้างความยั่งยืนร่วมกัน การพัฒนาโดยรวมอยู่ในระดับ “ดี” ปัจจัยความสำเร็จของการพัฒนาเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน ประกอบด้วย ปัจจัยด้านมุ่งผลสัมฤทธิ์ ด้านความเป็นพลเมือง ด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ด้านการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ด้านวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้านการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี ด้านการมีส่วนร่วม และ ด้านความร่วมมือ สามารถอธิบายความสำเร็จของการพัฒนาเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน ได้ในระดับ “มาก” โดยปัจจัยทั้ง 8 ด้าน เป็นตัวพยากรณ์ที่ดีที่สุดสามารถพยากรณ์ความเป็นเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืนได้ร้อยละ 95.60
ข้อเสนอแนวทางการปฏิบัติที่ดีของการพัฒนาเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน ดังนี้ 1) ผู้นำท้องถิ่นควรต้องตระหนักเสมอว่า การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น คือ หัวใจของความเจริญในชุมชน สามารถต่อยอดการพัฒนาเป็นเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืนได้ 2) การกำหนดนโยบายควรมีเป้าหมายที่ชัดเจน ตอบสนองความต้องการของชาวเมือง และสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้ 3) การกำหนดนโยบายการพัฒนาเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน ควรคำนึงถึงการบูรณาการองค์ความรู้จากทฤษฎี และประสบการณ์จากชุมชน 4) เทศบาลควรส่งเสริม สนับสนุนให้ชุมชนมีส่วนร่วม สร้างสรรค์นวัตกรรมและสืบทอดเจตนารมณ์การสร้างเมืองให้น่าอยู่อย่างยั่งยืน ต่อไปCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28043 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607390 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-03 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available 32002000607388 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-03 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี กองบังคับการตำรวจนครบาล 9 กองบัญชาการตำรวจนครบาล / รัฐกฤษฏ์ ใยไหม / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2020
Collection Title: SIU THE-T Title : ยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี กองบังคับการตำรวจนครบาล 9 กองบัญชาการตำรวจนครบาล Original title : Strategies to Overcome the Prostitution Problems of Metropolitan Police Division 9 Metropolitan Police Bureau Material Type: printed text Authors: รัฐกฤษฏ์ ใยไหม, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2020 Pagination: xii, 212 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-06
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การค้าประเวณี
[LCSH]ยุทธศาสตร์Keywords: การค้าประเวณี,
กองบังคับการตำรวจนครบาล 9,
กองบัญชาการตำรวจนครบาล,
ปัญหาค้าประเวณี,
ยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณีAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี และ 3) เพื่อทราบปัญหา อุปสรรคในการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี ซึ่งใช้การวิจัยแบบผสานวิธี (mixed methods research) ระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้เป็นกลุ่มตัวอย่างการวิจัยเชิงคุณภาพ คือ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 9 ท่าน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง ที่ผู้วิจัยคัดเลือกจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ มีความชำนาญ และประสบการณ์ในการปฏิบัติงานด้านการปราบปรามการค้าประเวณี และประชากรในเชิงปริมาณ จำนวน 1,563 คน โดยการคำนวณประชากรกลุ่มตัวอย่างจากสูตรของยามาเน่ และหาสัดส่วนอีกครั้ง ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงพหุคูณเส้นตรง (Multiple Regression Analysis) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้วยการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s Correlation Coefficient) วิเคราะห์ตัวแปรอิสระ ตัวแปรทำนายเข้าโดยใช้สถิติถดถอยเชิงพหุคูณแบบ Enter (Enter Multiple Regression Analysis)
ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยภายในที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณีมี 3 ปัจจัย ที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด คือ ด้านทรัพยากรของนโยบาย ด้านการสื่อสารองค์การ และด้านคุณลักษณะขององค์การ ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี พบว่า ด้านเงื่อนไขทางเทคโนโลยี มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมา มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากเท่ากันทั้ง 2 ด้าน คือ ด้านเงื่อนไขทางการเมือง และ ด้านเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ สังคม ส่วนการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านการป้องกัน ด้านดำเนินคดี ด้านพัฒนากลไกเชิงนโยบาย ตามลำดับ ด้านคุ้มครองช่วยเหลือ และด้านพัฒนาความร่วมมือภาคีเครือข่ายมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก
การทดสอบสมมติฐาน ผู้วิจัยนำตัวแปรอิสระ หรือตัวแปรทำนายเข้าทั้งหมด เพื่อดูว่ามีตัวแปรใดสามารถร่วมทำนายตัวแปรตามได้ โดยใช้สถิติถดถอยเชิงพหุคูณแบบ Enter (Enter Multiple Regression Analysis) ซึ่งผลจากการวิเคราะห์พบว่า มีตัวแปรอิสระของปัจจัยภายใน 4 ตัวแปร ที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี คือ ด้านมาตรฐานของนโยบาย ด้านทรัพยากรของนโยบาย ด้านการสื่อสารองค์กร และด้านความร่วมมือของผู้ปฏิบัติ โดยตัวแปรอิสระทั้ง 4 ตัวแปร สามารถร่วมกันทำนายการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อำนาจทำนายประมาณร้อยละ 31.10 (Adjusted R Square = 0.311) ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี คือ ด้านเงื่อนไขทางการเมือง ด้านเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ สังคม และด้านเงื่อนไขทางเทคโนโลยีโดยตัวแปรอิสระทั้ง 3 ตัวแปรดังกล่าว สามารถร่วมกันทำนายการปฏิบัติยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อำนาจทำนายประมาณร้อยละ 37.10 (Adjusted R Square = 0.371) นอกจากนี้นำตัวแปรอิสระ หรือตัวแปรทำนายเข้าทั้งหมดเพื่อดูว่าตัวแปรใดที่สามารถร่วมทำนายตัวแปรตามได้ โดยใช้สถิติถดถอยเชิงพหุคูณแบบ Enter (Enter Multiple Regression Analysis) ซึ่งผลจากการวิเคราะห์พบว่า มีปัจจัยที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี ในภาพรวมทั้ง 2 ตัวแปร คือ ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกหรือปัจจัยแฝงที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี ซึ่งตัวแปรอิสระทั้ง 2 ตัวแปรนั้น สามารถร่วมกันทำนายด้านการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณีได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อำนาจทำนายประมาณร้อยละ 44.30 (Adjusted R Square = 0.443)Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28044 SIU THE-T. ยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี กองบังคับการตำรวจนครบาล 9 กองบัญชาการตำรวจนครบาล = Strategies to Overcome the Prostitution Problems of Metropolitan Police Division 9 Metropolitan Police Bureau [printed text] / รัฐกฤษฏ์ ใยไหม, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020 . - xii, 212 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-06
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การค้าประเวณี
[LCSH]ยุทธศาสตร์Keywords: การค้าประเวณี,
กองบังคับการตำรวจนครบาล 9,
กองบัญชาการตำรวจนครบาล,
ปัญหาค้าประเวณี,
ยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณีAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี และ 3) เพื่อทราบปัญหา อุปสรรคในการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี ซึ่งใช้การวิจัยแบบผสานวิธี (mixed methods research) ระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้เป็นกลุ่มตัวอย่างการวิจัยเชิงคุณภาพ คือ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 9 ท่าน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง ที่ผู้วิจัยคัดเลือกจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ มีความชำนาญ และประสบการณ์ในการปฏิบัติงานด้านการปราบปรามการค้าประเวณี และประชากรในเชิงปริมาณ จำนวน 1,563 คน โดยการคำนวณประชากรกลุ่มตัวอย่างจากสูตรของยามาเน่ และหาสัดส่วนอีกครั้ง ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงพหุคูณเส้นตรง (Multiple Regression Analysis) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้วยการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s Correlation Coefficient) วิเคราะห์ตัวแปรอิสระ ตัวแปรทำนายเข้าโดยใช้สถิติถดถอยเชิงพหุคูณแบบ Enter (Enter Multiple Regression Analysis)
ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยภายในที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณีมี 3 ปัจจัย ที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด คือ ด้านทรัพยากรของนโยบาย ด้านการสื่อสารองค์การ และด้านคุณลักษณะขององค์การ ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี พบว่า ด้านเงื่อนไขทางเทคโนโลยี มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมา มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากเท่ากันทั้ง 2 ด้าน คือ ด้านเงื่อนไขทางการเมือง และ ด้านเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ สังคม ส่วนการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านการป้องกัน ด้านดำเนินคดี ด้านพัฒนากลไกเชิงนโยบาย ตามลำดับ ด้านคุ้มครองช่วยเหลือ และด้านพัฒนาความร่วมมือภาคีเครือข่ายมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก
การทดสอบสมมติฐาน ผู้วิจัยนำตัวแปรอิสระ หรือตัวแปรทำนายเข้าทั้งหมด เพื่อดูว่ามีตัวแปรใดสามารถร่วมทำนายตัวแปรตามได้ โดยใช้สถิติถดถอยเชิงพหุคูณแบบ Enter (Enter Multiple Regression Analysis) ซึ่งผลจากการวิเคราะห์พบว่า มีตัวแปรอิสระของปัจจัยภายใน 4 ตัวแปร ที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี คือ ด้านมาตรฐานของนโยบาย ด้านทรัพยากรของนโยบาย ด้านการสื่อสารองค์กร และด้านความร่วมมือของผู้ปฏิบัติ โดยตัวแปรอิสระทั้ง 4 ตัวแปร สามารถร่วมกันทำนายการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อำนาจทำนายประมาณร้อยละ 31.10 (Adjusted R Square = 0.311) ปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี คือ ด้านเงื่อนไขทางการเมือง ด้านเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ สังคม และด้านเงื่อนไขทางเทคโนโลยีโดยตัวแปรอิสระทั้ง 3 ตัวแปรดังกล่าว สามารถร่วมกันทำนายการปฏิบัติยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อำนาจทำนายประมาณร้อยละ 37.10 (Adjusted R Square = 0.371) นอกจากนี้นำตัวแปรอิสระ หรือตัวแปรทำนายเข้าทั้งหมดเพื่อดูว่าตัวแปรใดที่สามารถร่วมทำนายตัวแปรตามได้ โดยใช้สถิติถดถอยเชิงพหุคูณแบบ Enter (Enter Multiple Regression Analysis) ซึ่งผลจากการวิเคราะห์พบว่า มีปัจจัยที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี ในภาพรวมทั้ง 2 ตัวแปร คือ ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกหรือปัจจัยแฝงที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณี ซึ่งตัวแปรอิสระทั้ง 2 ตัวแปรนั้น สามารถร่วมกันทำนายด้านการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การเอาชนะปัญหาการค้าประเวณีได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อำนาจทำนายประมาณร้อยละ 44.30 (Adjusted R Square = 0.443)Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28044 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607386 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-06 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available 32002000607387 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-06 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การศึกษารูปแบบความสัมพันธ์ขององค์ประกอบที่มีผลต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชน สังกัดกรุงเทพมหานคร / อังคณา ผิวละออ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2020
Collection Title: SIU THE-T Title : การศึกษารูปแบบความสัมพันธ์ขององค์ประกอบที่มีผลต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชน สังกัดกรุงเทพมหานคร Original title : A study of the Relationship of Factors Affecting the Administrators’ Leadership of Private Higher Education Institutions in Bangkok Area Material Type: printed text Authors: อังคณา ผิวละออ, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; เฟื่องฟ้า อัมพรสถิร, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2020 Pagination: ix, 128 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2020-08
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2563Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ผู้บริหาร
[LCSH]ภาวะผู้นำ
[LCSH]สถาบันอุดมศึกษาเอกชน -- กรุงเทพฯKeywords: ภาวะผู้นำ,
องค์ประกอบที่มีผลต่อภาวะผู้นำ,
สถาบันอุดมศึกษาเอกชนAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบที่มีผลต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชน สังกัดกรุงเทพมหานคร และ 2) ศึกษาความสัมพันธ์ขององค์ประกอบที่มีผลต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชน สังกัดกรุงเทพมหานคร โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหาร ซึ่งปฏิบัติงานในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน สังกัดกรุงเทพมหานคร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความคิดเห็นที่พัฒนาขึ้นตามกรอบแนวคิดเกี่ยวกับภาวะผู้นำของผู้บริหาร โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 270 ตัวอย่าง จากผู้บริหารของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน สังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 18 สถาบัน ซึ่งใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสัดส่วน (Quota Sampling) ทำการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยมีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา และใช้สถิติเชิงอนุมานในการหาค่า Independent Samples t-test และ One-Way ANOVA ในการทดสอบสมมติฐาน
ผลการศึกษาพบว่า
1) องค์ประกอบด้านคุณลักษณะในการบริหาร ในด้านบุคลิกภาพ ด้านความรู้ความสามารถและด้านทักษะในการบริหาร มีความสัมพันธ์กันกับภาวะผู้นำของผู้บริหาร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01
2) องค์ประกอบด้านพฤติกรรมในการบริหารของผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ในด้านการมีส่วนร่วม ด้านความสำเร็จของงาน ด้านการให้การสนับสนุน และด้านอำนาจบารมี กับภาวะผู้นำของผู้บริหาร มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01
3) องค์ประกอบด้านสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องในหน่วยงานมีความสัมพันธ์ในด้านวุฒิภาวะและความพร้อม ด้านโครงสร้างงานในมหาวิทยาลัย และด้านการสนับสนุนของผู้บริหาร กับภาวะผู้นำของผู้บริหาร มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01Curricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28045 SIU THE-T. การศึกษารูปแบบความสัมพันธ์ขององค์ประกอบที่มีผลต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชน สังกัดกรุงเทพมหานคร = A study of the Relationship of Factors Affecting the Administrators’ Leadership of Private Higher Education Institutions in Bangkok Area [printed text] / อังคณา ผิวละออ, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; เฟื่องฟ้า อัมพรสถิร, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020 . - ix, 128 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2020-08
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2563
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ผู้บริหาร
[LCSH]ภาวะผู้นำ
[LCSH]สถาบันอุดมศึกษาเอกชน -- กรุงเทพฯKeywords: ภาวะผู้นำ,
องค์ประกอบที่มีผลต่อภาวะผู้นำ,
สถาบันอุดมศึกษาเอกชนAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบที่มีผลต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชน สังกัดกรุงเทพมหานคร และ 2) ศึกษาความสัมพันธ์ขององค์ประกอบที่มีผลต่อภาวะผู้นำของผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชน สังกัดกรุงเทพมหานคร โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหาร ซึ่งปฏิบัติงานในสถาบันอุดมศึกษาเอกชน สังกัดกรุงเทพมหานคร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความคิดเห็นที่พัฒนาขึ้นตามกรอบแนวคิดเกี่ยวกับภาวะผู้นำของผู้บริหาร โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 270 ตัวอย่าง จากผู้บริหารของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน สังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 18 สถาบัน ซึ่งใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสัดส่วน (Quota Sampling) ทำการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยมีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา และใช้สถิติเชิงอนุมานในการหาค่า Independent Samples t-test และ One-Way ANOVA ในการทดสอบสมมติฐาน
ผลการศึกษาพบว่า
1) องค์ประกอบด้านคุณลักษณะในการบริหาร ในด้านบุคลิกภาพ ด้านความรู้ความสามารถและด้านทักษะในการบริหาร มีความสัมพันธ์กันกับภาวะผู้นำของผู้บริหาร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01
2) องค์ประกอบด้านพฤติกรรมในการบริหารของผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ในด้านการมีส่วนร่วม ด้านความสำเร็จของงาน ด้านการให้การสนับสนุน และด้านอำนาจบารมี กับภาวะผู้นำของผู้บริหาร มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01
3) องค์ประกอบด้านสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องในหน่วยงานมีความสัมพันธ์ในด้านวุฒิภาวะและความพร้อม ด้านโครงสร้างงานในมหาวิทยาลัย และด้านการสนับสนุนของผู้บริหาร กับภาวะผู้นำของผู้บริหาร มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01Curricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28045 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607383 SIU THE-T: SOM-DBA-2020-08 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000607385 SIU THE-T: SOM-DBA-2020-08 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การตลาดเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์และกระบวนทัศน์การพัฒนากลุ่มอาชีพอย่างมีส่วนร่วม: ชุมชนต้นแบบภายใต้พื้นที่โครงการหลวง / สุธีมนต์ ทรงศิริโรจน์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2020
Collection Title: SIU THE-T Title : การตลาดเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์และกระบวนทัศน์การพัฒนากลุ่มอาชีพอย่างมีส่วนร่วม: ชุมชนต้นแบบภายใต้พื้นที่โครงการหลวง Original title : Creative Economic Marketing and Participatory Development Paradigm: The Model Community of the Royal Project Material Type: printed text Authors: สุธีมนต์ ทรงศิริโรจน์, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; เฟื่องฟ้า อัมพรสถิร, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2020 Pagination: xix, 375 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2020-03
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2563Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การพัฒนาชุมชน
[LCSH]การพัฒนาอาชีพ
[LCSH]เศรษฐกิจสร้างสรรค์Keywords: การพัฒนากลุ่มอาชีพ,
เศรษฐกิจสร้างสรรค์,
ชุมชนแม่จันใต้Abstract: การศึกษาวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์และรูปแบบเส้นทางผู้บริโภคที่ส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพทางการตลาดที่สามารถสนองตอบต่อความต้องการตามสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมทางการตลาดยุคปัจจุบัน รวมถึงศึกษาบริบทชุมชนบ้านแม่จันใต้ ตำบลท่าก๊อ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ซึ่งกำหนดเป็นชุมชนต้นแบบภายใต้พื้นที่โครงการหลวง และตลอดจนศึกษาคุณลักษณะ กระบวนการและรูปแบบการพัฒนากลุ่มอาชีพ ความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการกลุ่มอาชีพของเกษตรกรในชุมชนต้นแบบ จากกลุ่มตัวอย่างที่ 1 เกษตรกรชุมชนต้นแบบ จำนวน 36 ครัวเรือน และกลุ่มตัวอย่างที่ 2 คือ ประชากร เพศชายและเพศหญิง อายุ 20 ปีขึ้นไปและเป็นผู้ที่มีประสบการณ์บริโภคผลิตภัณฑ์โครงการหลวง จำนวน 300 คน วิธีการสุ่มตัวอย่างในกลุ่มตัวอย่าง ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่าง โดยไม่อาศัยความน่าจะเป็น (Non-Probability Sampling) แบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การหาค่าเฉลี่ยร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงแบนมาตรฐาน และทดสอบสมมุติฐานการวิจัยโดยการทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปร การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว One-Way ANOVA และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์ (Correlation Coefficient)
ผลการวิจัยพบว่าเกษตรกรในชุมชนต้นแบบมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดตั้งกลุ่มอาชีพอยู่ในระดับมากที่สุด มีความต้องการจัดตั้งกลุ่มอาชีพและมีระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการกลุ่มอาชีพ (POSDCoRB) อยู่ในระดับมากที่สุด และผลการวิจัยด้านการตลาดเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พบว่าผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย มีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยเศรษฐกิจสร้างสรรค์อยู่ในระดับมากที่สุด มีระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการตลาด 4.0 เส้นทางผู้บริโภคอยู่ในระดับมาก ทั้งยังพบว่ารูปแบบของเส้นทางผู้บริโภคเป็น “รูปแบบทรัมเป็ต (Trumpet)” ผลการทดสอบสมมุติฐานการวิจัย พบว่า
1. ลักษะทางประชากรศาสตร์ที่แตกต่างกันทางด้านสถานะภาพและด้านประสบการณ์ทำงาน มีค่าเฉลี่ยของระดับความคิดเห็นต่อปัจจัยด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ที่แตกต่างกันในทุกปัจจัย อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05
2. ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) (1) ด้านความรู้และทรัพย์สินทางปัญญา ด้านขั้นตอนการพัฒนา มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการรับรู้ปัญหา (Aware) (2) ด้านการสร้างสรรค์งาน การสร้างสรรค์ และด้านเทคโนโลยี/นวัตกรรมสมัยใหม่ มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการประเมินทางเลือก (Appeal) (3) ด้านความรู้และทรัพย์สินทางปัญญา และ ด้านขั้นตอนการพัฒนา มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการค้นหาข้อมูล (Ask) และ (4) ด้านเทคโนโลยี/นวัตกรรมสมัยใหม่ มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการตัดสินใจซื้อ (Act)
การนำผลจากการศึกษาวิจัยเพื่อเป็นประโยชน์ในด้านการพัฒนารูปแบบกลุ่มอาชีพและเครือข่ายชุมชนโดยรอบ และเครือข่ายภายนอก ควรการสร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันและรูปแบบการพัฒนากลุ่มอาชีพที่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมและใช้กระบวนการเรียนรู้เป็นยุทธศาสตร์การพัฒนา ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างปัจจัยอันจะเอื้อและก่อให้เกิดคุณลักษณะของธุรกิจชุมชนที่มีกรอบชัดเจน และมีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งส่งเสริมการถ่ายทอดองค์ความรู้ ซึ่งควรเป็นไปในลักษณะของการจัดกิจกรรมเชิงปฏิบัติการร่วมกับการจัดการความรู้ในชุมชน (Knowledge Management) ควบคู่ไปกับการจัดให้มีระบบพี่เลี้ยงในระหว่างกระบวนการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่องให้แก่ชุมชนด้วยอีกประการCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28046 SIU THE-T. การตลาดเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์และกระบวนทัศน์การพัฒนากลุ่มอาชีพอย่างมีส่วนร่วม: ชุมชนต้นแบบภายใต้พื้นที่โครงการหลวง = Creative Economic Marketing and Participatory Development Paradigm: The Model Community of the Royal Project [printed text] / สุธีมนต์ ทรงศิริโรจน์, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; เฟื่องฟ้า อัมพรสถิร, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020 . - xix, 375 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2020-03
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2563
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การพัฒนาชุมชน
[LCSH]การพัฒนาอาชีพ
[LCSH]เศรษฐกิจสร้างสรรค์Keywords: การพัฒนากลุ่มอาชีพ,
เศรษฐกิจสร้างสรรค์,
ชุมชนแม่จันใต้Abstract: การศึกษาวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์และรูปแบบเส้นทางผู้บริโภคที่ส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพทางการตลาดที่สามารถสนองตอบต่อความต้องการตามสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมทางการตลาดยุคปัจจุบัน รวมถึงศึกษาบริบทชุมชนบ้านแม่จันใต้ ตำบลท่าก๊อ อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ซึ่งกำหนดเป็นชุมชนต้นแบบภายใต้พื้นที่โครงการหลวง และตลอดจนศึกษาคุณลักษณะ กระบวนการและรูปแบบการพัฒนากลุ่มอาชีพ ความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการกลุ่มอาชีพของเกษตรกรในชุมชนต้นแบบ จากกลุ่มตัวอย่างที่ 1 เกษตรกรชุมชนต้นแบบ จำนวน 36 ครัวเรือน และกลุ่มตัวอย่างที่ 2 คือ ประชากร เพศชายและเพศหญิง อายุ 20 ปีขึ้นไปและเป็นผู้ที่มีประสบการณ์บริโภคผลิตภัณฑ์โครงการหลวง จำนวน 300 คน วิธีการสุ่มตัวอย่างในกลุ่มตัวอย่าง ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่าง โดยไม่อาศัยความน่าจะเป็น (Non-Probability Sampling) แบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การหาค่าเฉลี่ยร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงแบนมาตรฐาน และทดสอบสมมุติฐานการวิจัยโดยการทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปร การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว One-Way ANOVA และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์ (Correlation Coefficient)
ผลการวิจัยพบว่าเกษตรกรในชุมชนต้นแบบมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดตั้งกลุ่มอาชีพอยู่ในระดับมากที่สุด มีความต้องการจัดตั้งกลุ่มอาชีพและมีระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารจัดการกลุ่มอาชีพ (POSDCoRB) อยู่ในระดับมากที่สุด และผลการวิจัยด้านการตลาดเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พบว่าผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย มีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยเศรษฐกิจสร้างสรรค์อยู่ในระดับมากที่สุด มีระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการตลาด 4.0 เส้นทางผู้บริโภคอยู่ในระดับมาก ทั้งยังพบว่ารูปแบบของเส้นทางผู้บริโภคเป็น “รูปแบบทรัมเป็ต (Trumpet)” ผลการทดสอบสมมุติฐานการวิจัย พบว่า
1. ลักษะทางประชากรศาสตร์ที่แตกต่างกันทางด้านสถานะภาพและด้านประสบการณ์ทำงาน มีค่าเฉลี่ยของระดับความคิดเห็นต่อปัจจัยด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ที่แตกต่างกันในทุกปัจจัย อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05
2. ปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) (1) ด้านความรู้และทรัพย์สินทางปัญญา ด้านขั้นตอนการพัฒนา มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการรับรู้ปัญหา (Aware) (2) ด้านการสร้างสรรค์งาน การสร้างสรรค์ และด้านเทคโนโลยี/นวัตกรรมสมัยใหม่ มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการประเมินทางเลือก (Appeal) (3) ด้านความรู้และทรัพย์สินทางปัญญา และ ด้านขั้นตอนการพัฒนา มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการค้นหาข้อมูล (Ask) และ (4) ด้านเทคโนโลยี/นวัตกรรมสมัยใหม่ มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการตัดสินใจซื้อ (Act)
การนำผลจากการศึกษาวิจัยเพื่อเป็นประโยชน์ในด้านการพัฒนารูปแบบกลุ่มอาชีพและเครือข่ายชุมชนโดยรอบ และเครือข่ายภายนอก ควรการสร้างกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันและรูปแบบการพัฒนากลุ่มอาชีพที่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมและใช้กระบวนการเรียนรู้เป็นยุทธศาสตร์การพัฒนา ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างปัจจัยอันจะเอื้อและก่อให้เกิดคุณลักษณะของธุรกิจชุมชนที่มีกรอบชัดเจน และมีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งส่งเสริมการถ่ายทอดองค์ความรู้ ซึ่งควรเป็นไปในลักษณะของการจัดกิจกรรมเชิงปฏิบัติการร่วมกับการจัดการความรู้ในชุมชน (Knowledge Management) ควบคู่ไปกับการจัดให้มีระบบพี่เลี้ยงในระหว่างกระบวนการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่องให้แก่ชุมชนด้วยอีกประการCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28046 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607381 SIU THE-T: SOM-DBA-2020-03 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000607384 SIU THE-T: SOM-DBA-2020-03 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. กลยุทธ์การพัฒนานวัตกรรมการจัดการและความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดสระแก้ว / วรรณพร พุทธภูมิพิทักษ์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2020
Collection Title: SIU THE-T Title : กลยุทธ์การพัฒนานวัตกรรมการจัดการและความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดสระแก้ว Original title : Strategy for Innovation Development, Management and Success of Small Business Entrepreneurs, Community Enterprise Groups in Sa Kaeo Province Material Type: printed text Authors: วรรณพร พุทธภูมิพิทักษ์, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; เฟื่องฟ้า อัมพรสถิร, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2020 Pagination: x, 158 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2020-01
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2563Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ธุรกิจขนาดย่อม -- การบริหาร
[LCSH]นวัตกรรมทางธุรกิจ -- การจัดการKeywords: กลยุทธ์การพัฒนานวัตกรรมการจัดการ,
ความสำเร็จ,
ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนAbstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.) เพื่อศึกษาลักษณะของนวัตกรรมการจัดการของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนจังหวัดสระแก้ว 2.) เพื่อศึกษานวัตกรรมการจัดการของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมกับความสำเร็จของผู้ประกอบการ และ 3.) เพื่อหากลยุทธ์การพัฒนานวัตกรรมการจัดการและความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนจังหวัดสระแก้ว โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ(Quantitative Research) ผสมผสานกับการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และการปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research: PAR)
ผลจากการศึกษา ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1.) พบว่าลักษณะของนวัตกรรมนวัตกรรมการจัดการของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน อยู่ในลักษณะผู้ผลิตเชิงเดี่ยวแบบธุรกิจครอบครัว กลุ่มวิสาหกิจชุมชนมีลักษณะการรวมกลุ่มของแต่ละหมู่บ้าน มีการประสานงานกับส่วนราชการจังหวัดสระแก้ว โดยมีผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้านเป็นตัวแทน ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2.) พบว่าผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน มีความตื่นตัวในการพัฒนาศักยภาพการแข่งขันเชิงธุรกิจ มีการใช้เทคโนโลยีส่งเสริมการตลาดonline ประสบความสำเร็จในระดับปานกลาง ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 3.) พบว่าผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน จะต้องมีการพัฒนาศักยภาพการแข่งขันอยู่ตลอดเวลาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ปัจจัยที่สำคัญของความสำเร็จ
คือ การสร้างนวัตกรรมการจัดการที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของผู้นำและผู้ประกอบการ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี แผนการตลาด การจำแนกกลุ่มลูกค้าตามความต้องการ ผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ราคา และความสะดวกของลูกค้า และการสร้างแบรนด์ที่เกี่ยวโยงกับวัฒนธรรมชุมชนCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28047 SIU THE-T. กลยุทธ์การพัฒนานวัตกรรมการจัดการและความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดสระแก้ว = Strategy for Innovation Development, Management and Success of Small Business Entrepreneurs, Community Enterprise Groups in Sa Kaeo Province [printed text] / วรรณพร พุทธภูมิพิทักษ์, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; เฟื่องฟ้า อัมพรสถิร, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020 . - x, 158 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2020-01
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2563
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ธุรกิจขนาดย่อม -- การบริหาร
[LCSH]นวัตกรรมทางธุรกิจ -- การจัดการKeywords: กลยุทธ์การพัฒนานวัตกรรมการจัดการ,
ความสำเร็จ,
ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนAbstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1.) เพื่อศึกษาลักษณะของนวัตกรรมการจัดการของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนจังหวัดสระแก้ว 2.) เพื่อศึกษานวัตกรรมการจัดการของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมกับความสำเร็จของผู้ประกอบการ และ 3.) เพื่อหากลยุทธ์การพัฒนานวัตกรรมการจัดการและความสำเร็จของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนจังหวัดสระแก้ว โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ(Quantitative Research) ผสมผสานกับการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และการปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research: PAR)
ผลจากการศึกษา ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1.) พบว่าลักษณะของนวัตกรรมนวัตกรรมการจัดการของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน อยู่ในลักษณะผู้ผลิตเชิงเดี่ยวแบบธุรกิจครอบครัว กลุ่มวิสาหกิจชุมชนมีลักษณะการรวมกลุ่มของแต่ละหมู่บ้าน มีการประสานงานกับส่วนราชการจังหวัดสระแก้ว โดยมีผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้านเป็นตัวแทน ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 2.) พบว่าผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน มีความตื่นตัวในการพัฒนาศักยภาพการแข่งขันเชิงธุรกิจ มีการใช้เทคโนโลยีส่งเสริมการตลาดonline ประสบความสำเร็จในระดับปานกลาง ตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 3.) พบว่าผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน จะต้องมีการพัฒนาศักยภาพการแข่งขันอยู่ตลอดเวลาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ปัจจัยที่สำคัญของความสำเร็จ
คือ การสร้างนวัตกรรมการจัดการที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของผู้นำและผู้ประกอบการ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี แผนการตลาด การจำแนกกลุ่มลูกค้าตามความต้องการ ผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ราคา และความสะดวกของลูกค้า และการสร้างแบรนด์ที่เกี่ยวโยงกับวัฒนธรรมชุมชนCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28047 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607382 SIU THE-T: SOM-DBA-2020-01 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000607379 SIU THE-T: SOM-DBA-2020-01 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การทดสอบปัจจัยที่นำไปสู่การยอมรับภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรีในหน่วยงานกำกับดูแลกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม / กนกพรรณ ญาณภิรัต / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2020
Collection Title: SIU THE-T Title : การทดสอบปัจจัยที่นำไปสู่การยอมรับภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรีในหน่วยงานกำกับดูแลกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม Original title : Factors Leading to the Acceptance of Female Executives’ Leadership in Brodcassting and Telecommunication Organization Material Type: printed text Authors: กนกพรรณ ญาณภิรัต, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีย์ เสวกวัชรี, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2020 Pagination: xii, 88 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2020-02
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2563Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]นักบริหารสตรี -- วิจัย
[LCSH]ภาวะผู้นำของสตรี
[LCSH]วิทยุกระจายเสียง
[LCSH]โทรคมนาคมKeywords: ภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรี,
หน่วยงานกำกับดูแลกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม,
บุคลิกภาพของผู้นำAbstract: การทดสอบปัจจัยที่นำไปสู่การยอมรับภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรีในหน่วยงานกำกับดูแลกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม เป็นงานวิจัยโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการยอมรับของผู้บริหารสตรี และศึกษาภาวะผู้นำประเภทต่างๆ ที่นำไปสู่การยอมรับของผู้ร่วมงาน ลูกน้องและหัวหน้างานในหน่วยงานกำกับดูแลกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม โดยศึกษาจากประชากรกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานกำกับดูแลกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม มีการใช้แบบสอบถามและการสัมภาษณ์ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานในการเก็บข้อมูล และมีการวิเคราะห์ความแปรปรวน Analysis of Variance หรือ ANOVA และการวิเคราะห์การถดถอย (Regression Analysis) ในการทดสอบสมมติฐาน
ผลจากการวิจัยพบว่า คุณลักษณะ และบุคลิกภาพของผู้นำของผู้บริหารสตรีมีความสัมพันธ์ทางบวกโดยตรงกับการบริหารจัดการ และคุณลักษณะผู้นำของผู้บริหารความสัมพันธ์ทางลบโดยตรงและทางบวกโดยอ้อมกับความสำเร็จในการบริหารจัดการของหน่วยงาน ส่วนการบริหารจัดการมีความสัมพันธ์ทางบวกโดยตรงกับความสำเร็จในการบริหารจัดการของหน่วยงาน สำหรับผู้นำทางวิชาชีพ (professional leadership) เป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดของคุณลักษณะผู้นำของผู้บริหารสตรีที่ทำการศึกษาในครั้งนี้ อีกทั้งยังพบว่าปัจจัยด้านบุคลิกภาพซึ่งในที่นี้รวมถึงการวางตัว การแต่งตัว กริยาท่าทางของผู้บริหารสตรี ส่งผลต่อการยอมรับและนำไปสู่ความสำเร็จของการทำงาน ตลอดทั้งการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพสำหรับหน่วยงานกำกับ ดูแลกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมในประเทศไทย ซึ่งโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมเนื่องจากมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ อีกทั้งในแต่ละองค์ประกอบหรือปัจจัยแต่ละด้าน มีความเที่ยงตรง และเป็นที่ยอมรับได้ สำหรับปัจจัย เป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดของรูปแบบการบริหารจัดการของผู้บริหาร และเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดของความสำเร็จของการยอมรับผู้บริหารสตรีCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28048 SIU THE-T. การทดสอบปัจจัยที่นำไปสู่การยอมรับภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรีในหน่วยงานกำกับดูแลกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม = Factors Leading to the Acceptance of Female Executives’ Leadership in Brodcassting and Telecommunication Organization [printed text] / กนกพรรณ ญาณภิรัต, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีย์ เสวกวัชรี, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020 . - xii, 88 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2020-02
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2563
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]นักบริหารสตรี -- วิจัย
[LCSH]ภาวะผู้นำของสตรี
[LCSH]วิทยุกระจายเสียง
[LCSH]โทรคมนาคมKeywords: ภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรี,
หน่วยงานกำกับดูแลกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม,
บุคลิกภาพของผู้นำAbstract: การทดสอบปัจจัยที่นำไปสู่การยอมรับภาวะผู้นำของผู้บริหารสตรีในหน่วยงานกำกับดูแลกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม เป็นงานวิจัยโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการยอมรับของผู้บริหารสตรี และศึกษาภาวะผู้นำประเภทต่างๆ ที่นำไปสู่การยอมรับของผู้ร่วมงาน ลูกน้องและหัวหน้างานในหน่วยงานกำกับดูแลกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม โดยศึกษาจากประชากรกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานกำกับดูแลกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม มีการใช้แบบสอบถามและการสัมภาษณ์ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานในการเก็บข้อมูล และมีการวิเคราะห์ความแปรปรวน Analysis of Variance หรือ ANOVA และการวิเคราะห์การถดถอย (Regression Analysis) ในการทดสอบสมมติฐาน
ผลจากการวิจัยพบว่า คุณลักษณะ และบุคลิกภาพของผู้นำของผู้บริหารสตรีมีความสัมพันธ์ทางบวกโดยตรงกับการบริหารจัดการ และคุณลักษณะผู้นำของผู้บริหารความสัมพันธ์ทางลบโดยตรงและทางบวกโดยอ้อมกับความสำเร็จในการบริหารจัดการของหน่วยงาน ส่วนการบริหารจัดการมีความสัมพันธ์ทางบวกโดยตรงกับความสำเร็จในการบริหารจัดการของหน่วยงาน สำหรับผู้นำทางวิชาชีพ (professional leadership) เป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดของคุณลักษณะผู้นำของผู้บริหารสตรีที่ทำการศึกษาในครั้งนี้ อีกทั้งยังพบว่าปัจจัยด้านบุคลิกภาพซึ่งในที่นี้รวมถึงการวางตัว การแต่งตัว กริยาท่าทางของผู้บริหารสตรี ส่งผลต่อการยอมรับและนำไปสู่ความสำเร็จของการทำงาน ตลอดทั้งการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพสำหรับหน่วยงานกำกับ ดูแลกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมในประเทศไทย ซึ่งโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสมเนื่องจากมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ อีกทั้งในแต่ละองค์ประกอบหรือปัจจัยแต่ละด้าน มีความเที่ยงตรง และเป็นที่ยอมรับได้ สำหรับปัจจัย เป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดของรูปแบบการบริหารจัดการของผู้บริหาร และเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดของความสำเร็จของการยอมรับผู้บริหารสตรีCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28048 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607380 SIU THE-T: SOM-DBA-2020-02 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000607377 SIU THE-T: SOM-DBA-2020-02 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ปัจจัยการบริหารงานที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติราชการของกองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ / เชาวลิต บริบูรณ์รัตน์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2020
Collection Title: SIU THE-T Title : ปัจจัยการบริหารงานที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติราชการของกองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ Original title : Administrative Factors Affecting Performance Achievement of the Royal Thai Police Metropolitan Police Bureau Material Type: printed text Authors: เชาวลิต บริบูรณ์รัตน์, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2020 Pagination: x, 236 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-17
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]กองบัญชาการตำรวจนครบาล -- ข้าราชการ
[LCSH]ข้าราชการ -- การทำงาน
[LCSH]สำนักงานตำรวจแห่งชาติ -- การบริหารKeywords: ปัจจัยการบริหารงาน,
ผลสัมฤทธิ์,
ตำรวจนครบาลAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความสำคัญของปัจจัยการบริหารงาน และระดับผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติราชการ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยการบริหารงานที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติราชการ และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางที่เหมาะสมในการบริหารงานเพื่อนำไปสู่การผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติราชการของกองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ข้าราชการตำรวจในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล จำนวน 400 ราย และผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บังคับบัญชาระดับกองบัญชาการ จำนวน 5 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์เนื้อหา สังเคราะห์เป็นประเด็นร่วมหรือประเด็นหลัก และอธิบายเนื้อหา
ผลการวิจัย พบว่า
1) ปัจจัยการบริหารงานของกองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติใน
ภาพรวมมีความสำคัญอยู่ระดับมาก โดยพบว่า ปัจจัยการบริหารงานที่มีระดับความสำคัญมากที่สุด ได้แก่ ด้านวัฒนธรรมองค์การ รองลงมา ได้แก่ ด้านหลักธรรมาภิบาล ด้านลักษณะขององค์การ ด้านภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง และด้านทรัพยากรการบริหาร ตามลำดับ และผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติราชการในภาพรวมมีระดับผลสัมฤทธิ์อยู่ระดับมาก โดยพบว่า ผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติราชการที่มีระดับผลสัมฤทธิ์มากที่สุด ได้แก่ ด้านประสิทธิผลตามพันธกิจ รองลงมา ได้แก่ ด้านการพัฒนาองค์การ ด้านประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการ และด้านคุณภาพการให้บริการ ตามลำดับ
2) ปัจจัยการบริหารงานด้านหลักธรรมาภิบาล ด้านทรัพยากรการบริหาร และด้านวัฒนธรรมองค์การส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติราชการของกองบัญชาการตำรวจนครบาลในภาพรวมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และ
3) แนวทางที่เหมาะสมในปัจจัยการบริหารงานภารกิจ ได้แก่ การเพิ่มกำลังพลให้เหมาะสม เพียงพอแก่การปฏิบัติหน้าที่ การให้ผลตอบแทนที่เหมาะสม การจัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ อย่างเพียงพอ รวมถึงการจัดกิจกรรมร่วมกับชุมชนเพื่อสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตำรวจและประชาชนยิ่งขึ้น จะทำให้ประชาชนให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ส่งผลให้การทำงานให้บรรลุผลง่ายขึ้นCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28049 SIU THE-T. ปัจจัยการบริหารงานที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติราชการของกองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ = Administrative Factors Affecting Performance Achievement of the Royal Thai Police Metropolitan Police Bureau [printed text] / เชาวลิต บริบูรณ์รัตน์, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020 . - x, 236 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-17
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]กองบัญชาการตำรวจนครบาล -- ข้าราชการ
[LCSH]ข้าราชการ -- การทำงาน
[LCSH]สำนักงานตำรวจแห่งชาติ -- การบริหารKeywords: ปัจจัยการบริหารงาน,
ผลสัมฤทธิ์,
ตำรวจนครบาลAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความสำคัญของปัจจัยการบริหารงาน และระดับผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติราชการ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยการบริหารงานที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติราชการ และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางที่เหมาะสมในการบริหารงานเพื่อนำไปสู่การผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติราชการของกองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ข้าราชการตำรวจในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล จำนวน 400 ราย และผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้บังคับบัญชาระดับกองบัญชาการ จำนวน 5 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์เนื้อหา สังเคราะห์เป็นประเด็นร่วมหรือประเด็นหลัก และอธิบายเนื้อหา
ผลการวิจัย พบว่า
1) ปัจจัยการบริหารงานของกองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติใน
ภาพรวมมีความสำคัญอยู่ระดับมาก โดยพบว่า ปัจจัยการบริหารงานที่มีระดับความสำคัญมากที่สุด ได้แก่ ด้านวัฒนธรรมองค์การ รองลงมา ได้แก่ ด้านหลักธรรมาภิบาล ด้านลักษณะขององค์การ ด้านภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง และด้านทรัพยากรการบริหาร ตามลำดับ และผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติราชการในภาพรวมมีระดับผลสัมฤทธิ์อยู่ระดับมาก โดยพบว่า ผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติราชการที่มีระดับผลสัมฤทธิ์มากที่สุด ได้แก่ ด้านประสิทธิผลตามพันธกิจ รองลงมา ได้แก่ ด้านการพัฒนาองค์การ ด้านประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการ และด้านคุณภาพการให้บริการ ตามลำดับ
2) ปัจจัยการบริหารงานด้านหลักธรรมาภิบาล ด้านทรัพยากรการบริหาร และด้านวัฒนธรรมองค์การส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติราชการของกองบัญชาการตำรวจนครบาลในภาพรวมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และ
3) แนวทางที่เหมาะสมในปัจจัยการบริหารงานภารกิจ ได้แก่ การเพิ่มกำลังพลให้เหมาะสม เพียงพอแก่การปฏิบัติหน้าที่ การให้ผลตอบแทนที่เหมาะสม การจัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ อย่างเพียงพอ รวมถึงการจัดกิจกรรมร่วมกับชุมชนเพื่อสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตำรวจและประชาชนยิ่งขึ้น จะทำให้ประชาชนให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ส่งผลให้การทำงานให้บรรลุผลง่ายขึ้นCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28049 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607376 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-17 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available 32002000607378 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-17 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. แนวทางการบริหารจัดการของเทศบาลนครภูเก็ตตามแนวนโยบายที่สอดคล้อง Thailand 4.0 / อุราพร เดชเกิด / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2020
Collection Title: SIU THE-T Title : แนวทางการบริหารจัดการของเทศบาลนครภูเก็ตตามแนวนโยบายที่สอดคล้อง Thailand 4.0 Original title : Guideline for Administration of Phuket Municipal Conforming Thailand 4.0 Policy Material Type: printed text Authors: อุราพร เดชเกิด, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2020 Pagination: x, 224 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 cm. General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-04
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2564Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การจัดการองค์การ
[LCSH]เทศบาลนครภูเก็ต -- การบริหารKeywords: แนวทางการบริหารจัดการ,
เทศบาลนครภูเก็ด,
นโยบายไทยแลนด์ 4.0Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการขับเคลื่อนภายในสู่ภายนอกตามแนวทางการบริหารการจัดการของเทศบาลนครภูเก็ต ตามแนวนโยบายที่สอดคล้อง Thailand 4.0 2) ศึกษาการบริหารจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพของเทศบาลภูเก็ต ตามแนวนโยบายที่สอดคล้อง Thailand 4.0 และ 3) ศึกษาแนวทางการบริหารจัดการของเทศบาลนครภูเก็ต ตามแนวนโยบายที่สอดคล้อง Thailand 4.0 ใช้การวิจัยแบบผสานวิธี (mix methods research) ระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้เป็นกลุ่มตัวอย่างการวิจัยเชิงคุณภาพคือ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 คน ได้แก่ ผู้บริหารเทศบาลนครภูเก็ต 1 คน สมาชิกสภาเทศบาล 5 คน และข้าราชการประจำ จำนวน 4 คน ประชากรเชิงปริมาณ คือ ประชาชนทั่วไปที่เข้ามาติดต่อประสานงานและอาศัยในเขตบริการเทศบาลจำนวน 79,086 คน คำนวนขนาดกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีของ Yamane (1997) ได้กลุ่มตัวอย่าง 400 คน
ผลการวิจัยเชิงคุณภาพด้านการขับเคลื่อนภายในสู่ภายนอก 3 ประการย่อย พบว่า (1) การยกระดับนวัตกรรม ควรมีศูนย์แสดงสินค้าทางนวัตกรรม ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการหน้าใหม่ และ มีศูนย์การเรียนรู้ชุมชนเพื่อศึกษาดูงาน (2) การสร้างสังคมที่มีจิตวิญญาณของความเป็นผู้ประกอบการ คือ การทำธุรกิจที่ไม่ได้มุ่งเน้นผลด้านกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึงสังคมที่ต้องอาศัยเกื้อกูลกันอย่างยั่งยืน ควรเน้นการตลาดเพื่อสังคม ที่ถือเป็นแนวคิดใหม่ ที่ต้องคำนึงถึงปัญหาของสังคมเป็นหลัก การเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ จะคำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภคก่อนเป็นอันดับแรก (3) การสร้างความเข้มแข้งของชุมชน และเครือข่าย ผู้นำต้องมีภาวะความเป็นผู้นำอย่างสูง ต้องมีการเรียนรู้บนพื้นฐานวัฒนธรรม และมีความจริงใจต่อกัน มีการแบ่งปันข้อมูลที่เป็นจริงในการแลกเปลี่ยน
สำหรับด้านการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ พบว่า ควรเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม ส่งเสริมการเข้ามามีส่วนร่วมของชุมชน มุ่งเน้นการบริหารจัดการแบบมืออาชีพ เพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ต้องมีระบบการทำงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ มีระบบฐานข้อมูลในการสนับสนุนการทำงาน มีระบบข้อมูลย้อนกลับสำหรับการถอดบทเรียน เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขได้ มีการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมมาช่วยในการบริหารจัดการ บุคลากรต้องมีความรู้ ความสามารถในการใช้นวัตกรรมที่ช่วยการบริหารจัดการและบริการ ต้องลดขั้นตอนในการปฏิบัติงานให้มีความเหมาะสม และ ควรมีค่าตอบแทนและสวัสดิการที่เหมาะสมกับบุคลากร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ผลการวิจัยด้าน แนวทางการบริหารจัดการ พบว่า ด้านการบริหารจัดการ องค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่นมีระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และพร้อมในการดำเนินการเพื่อประโยชน์ของประชาชน ด้านการบริหารงานบุคคลและกิจการสภา องค์กรมีการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความโปร่งใสในการปราบปรามการทุจริตในทุกรูปแบบ เน้นการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารโดยยึดหลักการ เปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น มีการติดตามนวัตกรรมท้องถิ่น ที่เน้นให้ความสำคัญในเรื่องของการหาแนวทางการทำงานใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในท้องถิ่น รวมถึงความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ
ผลการวิจัยเชิงปริมาณ พบว่า 1) การขับเคลื่อนภายในสู่ภายนอกตามแนวทางการบริหารการจัดการของเทศบาลนครภูเก็ต ตามแนวนโยบายที่สอดคล้อง Thailand 4.0 ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาตามองค์ประกอบพบว่า ด้านการยกระดับนวัตกรรม มากที่สุด รองลงมา ด้านการสร้างสังคมที่มีจิตวิญญาณของความเป็นผู้ประกอบการ และด้านการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและเครือข่าย 2) การบริหารจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพของเทศบาลภูเก็ต ตามแนวนโยบายที่สอดคล้อง Thailand 4.0 มีภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านทักษะ มากที่สุด รองลงมา ด้านค่านิยมร่วม ด้านระบบ และด้านรูปแบบ มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดตามลำดับ 3) แนวทางการบริหารจัดการของเทศบาลนครภูเก็ต ตามแนวนโยบายที่สอดคล้อง Thailand 4.0 ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เรียงตามลำดับคือ ด้านการบริหารจัดการ รองลงมาคือ ด้านการบริหารงานบุคคลและกิจการสภา และด้านการบริการสาธาณะ เป็นด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด
ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า 1) การขับเคลื่อนภายในสู่ภายนอก ที่ส่งผลต่อแนวทางการบริหารจัดการของเทศบาลนครภูเก็ต ตามแนวนโยบายที่สอดคล้อง Thailand 4.0 มี 2 ประการ คือ ด้านการสร้างสังคมที่มีจิตวิญญาณของความเป็นผู้ประกอบการ และด้านการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและเครือข่าย ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ. 05 ร้อยละ 35.10 (R=35.10, R2= 0.351) 2) การบริหารจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ส่งผลต่อแนวทางการบริหารจัดการของเทศบาลนครภูเก็ต ตามแนวนโยบายที่สอดคล้อง Thailand 4.0 มี 2 ประการ คือ ด้านยุทธศาสตร์ และด้านค่านิยมร่วม ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ. 05 ร้อยละ 56.200 (R=56.00, R2= 0.560)Curricular : BBA/GE/MBA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28050 SIU THE-T. แนวทางการบริหารจัดการของเทศบาลนครภูเก็ตตามแนวนโยบายที่สอดคล้อง Thailand 4.0 = Guideline for Administration of Phuket Municipal Conforming Thailand 4.0 Policy [printed text] / อุราพร เดชเกิด, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020 . - x, 224 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 cm.
SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-04
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2564
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การจัดการองค์การ
[LCSH]เทศบาลนครภูเก็ต -- การบริหารKeywords: แนวทางการบริหารจัดการ,
เทศบาลนครภูเก็ด,
นโยบายไทยแลนด์ 4.0Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการขับเคลื่อนภายในสู่ภายนอกตามแนวทางการบริหารการจัดการของเทศบาลนครภูเก็ต ตามแนวนโยบายที่สอดคล้อง Thailand 4.0 2) ศึกษาการบริหารจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพของเทศบาลภูเก็ต ตามแนวนโยบายที่สอดคล้อง Thailand 4.0 และ 3) ศึกษาแนวทางการบริหารจัดการของเทศบาลนครภูเก็ต ตามแนวนโยบายที่สอดคล้อง Thailand 4.0 ใช้การวิจัยแบบผสานวิธี (mix methods research) ระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้เป็นกลุ่มตัวอย่างการวิจัยเชิงคุณภาพคือ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 คน ได้แก่ ผู้บริหารเทศบาลนครภูเก็ต 1 คน สมาชิกสภาเทศบาล 5 คน และข้าราชการประจำ จำนวน 4 คน ประชากรเชิงปริมาณ คือ ประชาชนทั่วไปที่เข้ามาติดต่อประสานงานและอาศัยในเขตบริการเทศบาลจำนวน 79,086 คน คำนวนขนาดกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีของ Yamane (1997) ได้กลุ่มตัวอย่าง 400 คน
ผลการวิจัยเชิงคุณภาพด้านการขับเคลื่อนภายในสู่ภายนอก 3 ประการย่อย พบว่า (1) การยกระดับนวัตกรรม ควรมีศูนย์แสดงสินค้าทางนวัตกรรม ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการหน้าใหม่ และ มีศูนย์การเรียนรู้ชุมชนเพื่อศึกษาดูงาน (2) การสร้างสังคมที่มีจิตวิญญาณของความเป็นผู้ประกอบการ คือ การทำธุรกิจที่ไม่ได้มุ่งเน้นผลด้านกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึงสังคมที่ต้องอาศัยเกื้อกูลกันอย่างยั่งยืน ควรเน้นการตลาดเพื่อสังคม ที่ถือเป็นแนวคิดใหม่ ที่ต้องคำนึงถึงปัญหาของสังคมเป็นหลัก การเป็นผู้ประกอบการหน้าใหม่ จะคำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภคก่อนเป็นอันดับแรก (3) การสร้างความเข้มแข้งของชุมชน และเครือข่าย ผู้นำต้องมีภาวะความเป็นผู้นำอย่างสูง ต้องมีการเรียนรู้บนพื้นฐานวัฒนธรรม และมีความจริงใจต่อกัน มีการแบ่งปันข้อมูลที่เป็นจริงในการแลกเปลี่ยน
สำหรับด้านการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ พบว่า ควรเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม ส่งเสริมการเข้ามามีส่วนร่วมของชุมชน มุ่งเน้นการบริหารจัดการแบบมืออาชีพ เพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ต้องมีระบบการทำงานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ มีระบบฐานข้อมูลในการสนับสนุนการทำงาน มีระบบข้อมูลย้อนกลับสำหรับการถอดบทเรียน เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขได้ มีการนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมมาช่วยในการบริหารจัดการ บุคลากรต้องมีความรู้ ความสามารถในการใช้นวัตกรรมที่ช่วยการบริหารจัดการและบริการ ต้องลดขั้นตอนในการปฏิบัติงานให้มีความเหมาะสม และ ควรมีค่าตอบแทนและสวัสดิการที่เหมาะสมกับบุคลากร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ผลการวิจัยด้าน แนวทางการบริหารจัดการ พบว่า ด้านการบริหารจัดการ องค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่นมีระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และพร้อมในการดำเนินการเพื่อประโยชน์ของประชาชน ด้านการบริหารงานบุคคลและกิจการสภา องค์กรมีการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความโปร่งใสในการปราบปรามการทุจริตในทุกรูปแบบ เน้นการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารโดยยึดหลักการ เปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น มีการติดตามนวัตกรรมท้องถิ่น ที่เน้นให้ความสำคัญในเรื่องของการหาแนวทางการทำงานใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในท้องถิ่น รวมถึงความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ
ผลการวิจัยเชิงปริมาณ พบว่า 1) การขับเคลื่อนภายในสู่ภายนอกตามแนวทางการบริหารการจัดการของเทศบาลนครภูเก็ต ตามแนวนโยบายที่สอดคล้อง Thailand 4.0 ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาตามองค์ประกอบพบว่า ด้านการยกระดับนวัตกรรม มากที่สุด รองลงมา ด้านการสร้างสังคมที่มีจิตวิญญาณของความเป็นผู้ประกอบการ และด้านการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและเครือข่าย 2) การบริหารจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพของเทศบาลภูเก็ต ตามแนวนโยบายที่สอดคล้อง Thailand 4.0 มีภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านทักษะ มากที่สุด รองลงมา ด้านค่านิยมร่วม ด้านระบบ และด้านรูปแบบ มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดตามลำดับ 3) แนวทางการบริหารจัดการของเทศบาลนครภูเก็ต ตามแนวนโยบายที่สอดคล้อง Thailand 4.0 ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เรียงตามลำดับคือ ด้านการบริหารจัดการ รองลงมาคือ ด้านการบริหารงานบุคคลและกิจการสภา และด้านการบริการสาธาณะ เป็นด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด
ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า 1) การขับเคลื่อนภายในสู่ภายนอก ที่ส่งผลต่อแนวทางการบริหารจัดการของเทศบาลนครภูเก็ต ตามแนวนโยบายที่สอดคล้อง Thailand 4.0 มี 2 ประการ คือ ด้านการสร้างสังคมที่มีจิตวิญญาณของความเป็นผู้ประกอบการ และด้านการสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและเครือข่าย ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ. 05 ร้อยละ 35.10 (R=35.10, R2= 0.351) 2) การบริหารจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ส่งผลต่อแนวทางการบริหารจัดการของเทศบาลนครภูเก็ต ตามแนวนโยบายที่สอดคล้อง Thailand 4.0 มี 2 ประการ คือ ด้านยุทธศาสตร์ และด้านค่านิยมร่วม ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ. 05 ร้อยละ 56.200 (R=56.00, R2= 0.560)Curricular : BBA/GE/MBA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28050 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607375 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-04 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available 32002000607373 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-04 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. แนวทางการบริหารจัดการเชิงพุทธของวัดในจังหวัดสมุทรสาครเพื่อการให้บริการประชาชนในฐานะศูนย์กลางของสังคม / พระครูสาครธรรมประสิทธิ์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2020
Collection Title: SIU THE-T Title : แนวทางการบริหารจัดการเชิงพุทธของวัดในจังหวัดสมุทรสาครเพื่อการให้บริการประชาชนในฐานะศูนย์กลางของสังคม Original title : Guideline for Buddhist Administration of Temples in Samut Sakhon Province for Serving the People as the Center of Society Material Type: printed text Authors: พระครูสาครธรรมประสิทธิ์, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2020 Pagination: xi, 124 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-10
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การจัดการ -- พุทธศาสนา
[LCSH]การให้บริการ -- วิจัย
[LCSH]วัด -- สมุทรสาครKeywords: แนวทางการบริหาร,
การจัดการเชิงพุทธ,
การให้บริการของวัด,
ศูนย์กลางของสังคมAbstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารจัดการเชิงพุทธ การบริการประชาชน และการบริหารกิจการคณะสงฆ์ของวัดในจังหวัดสมุทรสาครที่มีต่อแนวทางการบริหารจัดการเชิงพุทธของวัดในจังหวัดสมุทรสาครเพื่อการให้บริการประชาชนในฐานะศูนย์กลางของสังคม 2) ศึกษาปัจจัยการบริหารจัดการเชิงพุทธ และการบริการประชาชนของวัดในจังหวัดสมุทรสาคร ที่ส่งผลต่อแนวทางการบริหารจัดการเชิงพุทธของวัดในจังหวัดสมุทรสาครเพื่อการให้บริการประชาชนในฐานะศูนย์กลางของสังคม 3) ศึกษาแนวทางการบริหารจัดการเชิงพุทธของวัดในจังหวัดสมุทรสาครเพื่อการให้บริการประชาชนในฐานะศูนย์กลางของสังคม
ผลการวิจัย พบว่า
1) ระดับการบริหารจัดการเชิงพุทธ ระดับการบริการประชาชนของวัด ภาพรวมมีค่าในระดับมาก ดังนี้ คือ พุทธวิธีด้านการอำนวยการ และขั้นตอน กระบวนการให้บริการ ส่วนระดับการบริหารกิจการคณะสงฆ์ ภาพรวมมีค่าในระดับมาก คือ ด้านงานเผยแพร่ศาสนธรรม
2) ปัจจัยการบริหารจัดการเชิงพุทธ ส่งผลต่อแนวทางการบริหารจัดการเชิงพุทธของวัดในจังหวัดสมุทรสาครเพื่อการให้บริการประชาชนในฐานะศูนย์กลางของสังคม มี 3 ปัจจัย คือ พุทธวิธีการวางแผน พุทธวิธีการบริหารงานบุคคล และพุทธวิธีการจัดการองค์การ และปัจจัยการบริการประชาชนของวัด ส่งผลต่อแนวทางการบริหารจัดการเชิงพุทธของวัดในจังหวัดสมุทรสาครเพื่อการให้บริการประชาชนในฐานะศูนย์กลางของสังคม มี 4 ปัจจัย คือ ด้านความร่วมมือกับชุมชน ด้านวัสดุ อุปกรณ์ เทคโนโลยี ด้านสถานที่ และด้านขั้นตอนกระบวนการให้บริการ
3) แนวทางการบริหารจัดการเชิงพุทธของวัดในจังหวัดสมุทรสาครเพื่อการให้บริการประชาชนในฐานะศูนย์กลางของสังคม ด้านการบริหารจัดการเชิงพุทธ ควรมีการนำพุทธวิธีด้านการวางแผนมาปรับใช้ มุ่งเน้นเรื่องการมีวิสัยทัศน์เป็นสิ่งแรกที่ต้องนำมาใช้ในการบริหารจัดการ และควรมีการปรับปรุงในเรื่องของภาวะผู้นำ โดยยึดหลักการบริหารแบบธรรมาธิปไตยในการบริหาร ด้านการบริการประชาชนของวัด ในด้านการอำนวยความสะดวก ที่ขาดการจัดระบบที่ดี รวมถึงคุณภาพของวัสดุ อุปกรณ์ และเทคโนโลยี และ ด้านการบริหารกิจการคณะสงฆ์ มี 2 ประเด็นหลัก คือ ด้านพุทธวิธีการบริหารงานบุคคล คือ การปฏิบัติตนของพระภิกษุสงฆ์ที่มีความประพฤติที่ไม่เหมาะสม และพุทธวิธีด้านการวางแผน คือ ต้องปรับปรุงในเรื่องของการวางแผนงบประมาณ โดยเฉพาะเรื่องของโครงสร้างทางด้านการเงิน บุคลากร การมอบหมายงาน และการจัดการองค์การ รวมถึงเจ้าอาวาสต้องมีความเข้าใจในบทบาท และหน้าที่ของตนอย่างถ่องแท้Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28103 SIU THE-T. แนวทางการบริหารจัดการเชิงพุทธของวัดในจังหวัดสมุทรสาครเพื่อการให้บริการประชาชนในฐานะศูนย์กลางของสังคม = Guideline for Buddhist Administration of Temples in Samut Sakhon Province for Serving the People as the Center of Society [printed text] / พระครูสาครธรรมประสิทธิ์, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020 . - xi, 124 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-10
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การจัดการ -- พุทธศาสนา
[LCSH]การให้บริการ -- วิจัย
[LCSH]วัด -- สมุทรสาครKeywords: แนวทางการบริหาร,
การจัดการเชิงพุทธ,
การให้บริการของวัด,
ศูนย์กลางของสังคมAbstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารจัดการเชิงพุทธ การบริการประชาชน และการบริหารกิจการคณะสงฆ์ของวัดในจังหวัดสมุทรสาครที่มีต่อแนวทางการบริหารจัดการเชิงพุทธของวัดในจังหวัดสมุทรสาครเพื่อการให้บริการประชาชนในฐานะศูนย์กลางของสังคม 2) ศึกษาปัจจัยการบริหารจัดการเชิงพุทธ และการบริการประชาชนของวัดในจังหวัดสมุทรสาคร ที่ส่งผลต่อแนวทางการบริหารจัดการเชิงพุทธของวัดในจังหวัดสมุทรสาครเพื่อการให้บริการประชาชนในฐานะศูนย์กลางของสังคม 3) ศึกษาแนวทางการบริหารจัดการเชิงพุทธของวัดในจังหวัดสมุทรสาครเพื่อการให้บริการประชาชนในฐานะศูนย์กลางของสังคม
ผลการวิจัย พบว่า
1) ระดับการบริหารจัดการเชิงพุทธ ระดับการบริการประชาชนของวัด ภาพรวมมีค่าในระดับมาก ดังนี้ คือ พุทธวิธีด้านการอำนวยการ และขั้นตอน กระบวนการให้บริการ ส่วนระดับการบริหารกิจการคณะสงฆ์ ภาพรวมมีค่าในระดับมาก คือ ด้านงานเผยแพร่ศาสนธรรม
2) ปัจจัยการบริหารจัดการเชิงพุทธ ส่งผลต่อแนวทางการบริหารจัดการเชิงพุทธของวัดในจังหวัดสมุทรสาครเพื่อการให้บริการประชาชนในฐานะศูนย์กลางของสังคม มี 3 ปัจจัย คือ พุทธวิธีการวางแผน พุทธวิธีการบริหารงานบุคคล และพุทธวิธีการจัดการองค์การ และปัจจัยการบริการประชาชนของวัด ส่งผลต่อแนวทางการบริหารจัดการเชิงพุทธของวัดในจังหวัดสมุทรสาครเพื่อการให้บริการประชาชนในฐานะศูนย์กลางของสังคม มี 4 ปัจจัย คือ ด้านความร่วมมือกับชุมชน ด้านวัสดุ อุปกรณ์ เทคโนโลยี ด้านสถานที่ และด้านขั้นตอนกระบวนการให้บริการ
3) แนวทางการบริหารจัดการเชิงพุทธของวัดในจังหวัดสมุทรสาครเพื่อการให้บริการประชาชนในฐานะศูนย์กลางของสังคม ด้านการบริหารจัดการเชิงพุทธ ควรมีการนำพุทธวิธีด้านการวางแผนมาปรับใช้ มุ่งเน้นเรื่องการมีวิสัยทัศน์เป็นสิ่งแรกที่ต้องนำมาใช้ในการบริหารจัดการ และควรมีการปรับปรุงในเรื่องของภาวะผู้นำ โดยยึดหลักการบริหารแบบธรรมาธิปไตยในการบริหาร ด้านการบริการประชาชนของวัด ในด้านการอำนวยความสะดวก ที่ขาดการจัดระบบที่ดี รวมถึงคุณภาพของวัสดุ อุปกรณ์ และเทคโนโลยี และ ด้านการบริหารกิจการคณะสงฆ์ มี 2 ประเด็นหลัก คือ ด้านพุทธวิธีการบริหารงานบุคคล คือ การปฏิบัติตนของพระภิกษุสงฆ์ที่มีความประพฤติที่ไม่เหมาะสม และพุทธวิธีด้านการวางแผน คือ ต้องปรับปรุงในเรื่องของการวางแผนงบประมาณ โดยเฉพาะเรื่องของโครงสร้างทางด้านการเงิน บุคลากร การมอบหมายงาน และการจัดการองค์การ รวมถึงเจ้าอาวาสต้องมีความเข้าใจในบทบาท และหน้าที่ของตนอย่างถ่องแท้Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28103 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607336 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-10 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available 32002000607337 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-10 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ประสิทธิผลการดำเนินงานเพื่อเป็นองค์การสมรรถนะสูงของกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาล / ปกิต มูลเพ็ญ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2020
Collection Title: SIU THE-T Title : ประสิทธิผลการดำเนินงานเพื่อเป็นองค์การสมรรถนะสูงของกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาล Original title : Effectiveness of Operational for Enhancing High Performance Organization of Patrol and Special Operation, Metropolitan Police Bureau Material Type: printed text Authors: ปกิต มูลเพ็ญ, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2020 Pagination: x, 259 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-22
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ
[LCSH]การจัดองค์การ
[LCSH]ประสิทธิผลองค์การKeywords: ประสิทธิผลการดำเนินงาน, องค์การสมรรถนะสูง, กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ Abstract: การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านการบริหารองค์การสมัยใหม่ ลักษณะเฉพาะองค์การสมรรถนะสูง และภาวะผู้นำองค์การสมัยใหม่ของกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาลกับคุณภาพการบริหารจัดการองค์การ ตามหลักเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) 2) ศึกษาปัจจัยการบริหารจัดการองค์สมัยใหม่ ภาวะผู้นำ และลักษณะเฉพาะองค์การสมรรถนะสูง ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการดำเนินงานเพื่อเป็นองค์การสมรรถนะสูงของกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาล และ 3) ศึกษาแนวทางในการกำหนดกลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อเป็นองค์การสมรรถนะสูงของกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาล การวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีการวิจัยแบบผสานวิธี ด้วยเทคนิควิธีการเชิงปริมาณกลุ่มตัวอย่างจำนวน 310 ตัวอย่าง และเชิงคุณภาพผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 7 ท่าน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม เลือกใช้สถิติแบบอธิบาย และแบบอ้างอิงในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล กล่าวคือ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) สถิติแบบอ้างอิง สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การทดสอบค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหูคูณ
ผลการศึกษา พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านการบริหารองค์การสมัยใหม่ ลักษณะเฉพาะองค์การสมรรถนะสูง และภาวะผู้นำองค์การสมัยใหม่ของกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาลกับคุณภาพการบริหารจัดการองค์การ ตามหลักเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) โดยผลการศึกษานี้สอดคล้องกับผลงานวิจัยที่พบว่า การเป็นองค์การสมรรถนะสูงนั้นจะประกอบด้วยปัจจัยด้านกลยุทธ์ขององค์การ ปัจจัยด้านภาวะผู้นำ และปัจจัยด้านบุคลากรที่มีคุณภาพ การพัฒนาบุคลากรทุกระดับให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ การมีโครงสร้างองค์การที่ยืดหยุ่น รวมถึงมีนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการปฏิบัติงาน และปัจจัยด้านการบริหารอื่น ๆ และการศึกษาปัจจัยการบริหารจัดการองค์สมัยใหม่ ภาวะผู้นำ และลักษณะเฉพาะองค์การสมรรถนะสูง ที่ส่งผลต่อการดำเนินงานเพื่อเป็นองค์การสมรรถนะสูงของกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยผลการศึกษานี้สอดคล้องกับผลงานวิจัยที่พบว่า การอำนวยการ กลยุทธ์ โครงสร้างองค์การ รูปแบบบริหารหรือการควบคุม การประสานงานหรือการสร้างทีม ทักษะบุคลากร ระบบปฏิบัติการ ค่านิยมร่วม ภาวะผู้นำ รวมถึงปัจจัยด้านการบริหารอื่น ๆ ส่งผลต่อการดำเนินงานเพื่อเป็นองค์การสมรรถนะสูง และการศึกษาสามารถบรรลุวัตถุประสงค์แนวทางในการกำหนดกลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อเป็นองค์การสมรรถนะสูงของกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาลCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28104 SIU THE-T. ประสิทธิผลการดำเนินงานเพื่อเป็นองค์การสมรรถนะสูงของกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาล = Effectiveness of Operational for Enhancing High Performance Organization of Patrol and Special Operation, Metropolitan Police Bureau [printed text] / ปกิต มูลเพ็ญ, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020 . - x, 259 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-22
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ
[LCSH]การจัดองค์การ
[LCSH]ประสิทธิผลองค์การKeywords: ประสิทธิผลการดำเนินงาน, องค์การสมรรถนะสูง, กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ Abstract: การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านการบริหารองค์การสมัยใหม่ ลักษณะเฉพาะองค์การสมรรถนะสูง และภาวะผู้นำองค์การสมัยใหม่ของกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาลกับคุณภาพการบริหารจัดการองค์การ ตามหลักเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) 2) ศึกษาปัจจัยการบริหารจัดการองค์สมัยใหม่ ภาวะผู้นำ และลักษณะเฉพาะองค์การสมรรถนะสูง ที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการดำเนินงานเพื่อเป็นองค์การสมรรถนะสูงของกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาล และ 3) ศึกษาแนวทางในการกำหนดกลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อเป็นองค์การสมรรถนะสูงของกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาล การวิจัยครั้งนี้ใช้วิธีการวิจัยแบบผสานวิธี ด้วยเทคนิควิธีการเชิงปริมาณกลุ่มตัวอย่างจำนวน 310 ตัวอย่าง และเชิงคุณภาพผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 7 ท่าน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม เลือกใช้สถิติแบบอธิบาย และแบบอ้างอิงในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล กล่าวคือ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) สถิติแบบอ้างอิง สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การทดสอบค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหูคูณ
ผลการศึกษา พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านการบริหารองค์การสมัยใหม่ ลักษณะเฉพาะองค์การสมรรถนะสูง และภาวะผู้นำองค์การสมัยใหม่ของกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาลกับคุณภาพการบริหารจัดการองค์การ ตามหลักเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (PMQA) โดยผลการศึกษานี้สอดคล้องกับผลงานวิจัยที่พบว่า การเป็นองค์การสมรรถนะสูงนั้นจะประกอบด้วยปัจจัยด้านกลยุทธ์ขององค์การ ปัจจัยด้านภาวะผู้นำ และปัจจัยด้านบุคลากรที่มีคุณภาพ การพัฒนาบุคลากรทุกระดับให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ การมีโครงสร้างองค์การที่ยืดหยุ่น รวมถึงมีนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการปฏิบัติงาน และปัจจัยด้านการบริหารอื่น ๆ และการศึกษาปัจจัยการบริหารจัดการองค์สมัยใหม่ ภาวะผู้นำ และลักษณะเฉพาะองค์การสมรรถนะสูง ที่ส่งผลต่อการดำเนินงานเพื่อเป็นองค์การสมรรถนะสูงของกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยผลการศึกษานี้สอดคล้องกับผลงานวิจัยที่พบว่า การอำนวยการ กลยุทธ์ โครงสร้างองค์การ รูปแบบบริหารหรือการควบคุม การประสานงานหรือการสร้างทีม ทักษะบุคลากร ระบบปฏิบัติการ ค่านิยมร่วม ภาวะผู้นำ รวมถึงปัจจัยด้านการบริหารอื่น ๆ ส่งผลต่อการดำเนินงานเพื่อเป็นองค์การสมรรถนะสูง และการศึกษาสามารถบรรลุวัตถุประสงค์แนวทางในการกำหนดกลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อเป็นองค์การสมรรถนะสูงของกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาลCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28104 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607335 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-22 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available 32002000607333 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-22 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ ภาค 10 / พระมหาสมคิด มะลัยทอง / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2020
Collection Title: SIU THE-T Title : การพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ ภาค 10 Original title : Leadership Development towards Sappurisadhamma 7 Principles of Administrative Monks Under Sangha Region 10 Material Type: printed text Authors: พระมหาสมคิด มะลัยทอง, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2020 Pagination: xi, 147 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-21
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]พระสังฆาธิการ
[LCSH]ภาวะผู้นำ -- แง่ศาสนา -- พุทธศาสนา
[LCSH]สัปปุริสธรรม -- วิจัยKeywords: ภาวะผู้นำ, สัปปุริสธรรม 7, คณะสงฆ์ภาค 10 Abstract: งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์ โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของพระสังฆาธิการ ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค10 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของพระสังฆาธิการ ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค10 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค10 ผู้วิจัยใช้การวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Methods Research) คือ 1) การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ด้วยการสัมภาษณ์จำนวน 16 คน โดยการวิเคราะห์เนื้อหา 2) การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง ของพระสงฆ์ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค10 จำนวน 6 จังหวัด จำนวน 400 คน โดยการวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงพหุคูณ
ผลการวิจัยเชิงคุณภาพพบว่า การพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักสัปปุริสธรรม 7 คือผู้นำที่มีความรู้ ความสามารถ จูงใจให้ผู้อื่นปฏิบัติตามได้ดั่งใจประสงค์และเกิดความพึงพอใจ เป็นไปตามหลักพระพุทธศาสนาได้กล่าวถึง และงานวิจัยเชิงปริมาณ พบว่า ปัจจัยหลักสัปปุริสธรรม 7 ที่ส่งผลต่อการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของพระสังฆาธิการ ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค10 ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านกาลัญญุตา มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.48, S.D. = 0.63) โดยตัวแปรอิสระทั้ง 5 ตัวแปรสามารถร่วมกันทำนายการพัฒนาภาวะผู้นำของพระสังฆาธิการตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค10 ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ 0.542 อำนาจทำนายประมาณร้อยละ 29.40 (R Square = 0.294) ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานของการทำนายมีค่า 1.914 ปัจจัยภาวะผู้นำของพระสังฆาธิการที่ส่งผลต่อการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของพระสังฆาธิการ ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค10 ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ แบบกระจายความรับผิดชอบ มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.35, S.D. = 0.69) โดยตัวแปรอิสระ 2 ตัวแปรสามารถร่วมกันทำนายการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของพระสังฆาธิการ ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค10 ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยค่าสัมประสิทธิ์สัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ 0.507 อำนาจทำนายประมาณร้อยละ 25.70 (R Square = 0.257) ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานของการทำนายมีค่า 1.893
ข้อเสนอแนะ การพัฒนาภาวะผู้นำให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละวัด เพื่อให้การพัฒนาเป็นไปตามหลักปริสัญญุตา การเข้าใจความแตกต่างของบุคลากรและวัฒนธรรมของชุมชนCurricular : MPA/DPA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28105 SIU THE-T. การพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ ภาค 10 = Leadership Development towards Sappurisadhamma 7 Principles of Administrative Monks Under Sangha Region 10 [printed text] / พระมหาสมคิด มะลัยทอง, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020 . - xi, 147 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-21
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]พระสังฆาธิการ
[LCSH]ภาวะผู้นำ -- แง่ศาสนา -- พุทธศาสนา
[LCSH]สัปปุริสธรรม -- วิจัยKeywords: ภาวะผู้นำ, สัปปุริสธรรม 7, คณะสงฆ์ภาค 10 Abstract: งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์ โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของพระสังฆาธิการ ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค10 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของพระสังฆาธิการ ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค10 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค10 ผู้วิจัยใช้การวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Methods Research) คือ 1) การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ด้วยการสัมภาษณ์จำนวน 16 คน โดยการวิเคราะห์เนื้อหา 2) การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง ของพระสงฆ์ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค10 จำนวน 6 จังหวัด จำนวน 400 คน โดยการวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงพหุคูณ
ผลการวิจัยเชิงคุณภาพพบว่า การพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักสัปปุริสธรรม 7 คือผู้นำที่มีความรู้ ความสามารถ จูงใจให้ผู้อื่นปฏิบัติตามได้ดั่งใจประสงค์และเกิดความพึงพอใจ เป็นไปตามหลักพระพุทธศาสนาได้กล่าวถึง และงานวิจัยเชิงปริมาณ พบว่า ปัจจัยหลักสัปปุริสธรรม 7 ที่ส่งผลต่อการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของพระสังฆาธิการ ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค10 ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ด้านกาลัญญุตา มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.48, S.D. = 0.63) โดยตัวแปรอิสระทั้ง 5 ตัวแปรสามารถร่วมกันทำนายการพัฒนาภาวะผู้นำของพระสังฆาธิการตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค10 ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยมีค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ 0.542 อำนาจทำนายประมาณร้อยละ 29.40 (R Square = 0.294) ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานของการทำนายมีค่า 1.914 ปัจจัยภาวะผู้นำของพระสังฆาธิการที่ส่งผลต่อการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของพระสังฆาธิการ ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค10 ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ แบบกระจายความรับผิดชอบ มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.35, S.D. = 0.69) โดยตัวแปรอิสระ 2 ตัวแปรสามารถร่วมกันทำนายการพัฒนาภาวะผู้นำตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของพระสังฆาธิการ ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค10 ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยค่าสัมประสิทธิ์สัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ 0.507 อำนาจทำนายประมาณร้อยละ 25.70 (R Square = 0.257) ค่าความคลาดเคลื่อนมาตรฐานของการทำนายมีค่า 1.893
ข้อเสนอแนะ การพัฒนาภาวะผู้นำให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละวัด เพื่อให้การพัฒนาเป็นไปตามหลักปริสัญญุตา การเข้าใจความแตกต่างของบุคลากรและวัฒนธรรมของชุมชนCurricular : MPA/DPA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28105 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607332 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-21 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available 32002000607334 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-21 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. คุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี / ธนกรณ์ พูนภิญโญศักดิ์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2020
Collection Title: SIU THE-T Title : คุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี Original title : Quality of the Public Administration of the Town Municipality of Prathum Thani Province Material Type: printed text Authors: ธนกรณ์ พูนภิญโญศักดิ์, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2020 Pagination: xi, 141 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-07
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ระบบราชการ -- การบริหาร -- การควบคุมคุณภาพ -- ไทย -- ปทุมธานี Keywords: คุณภาพการบริหารราชการ,
เทศบาลเมืองในจังหวัดปทุมธานีAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารราชการภาครัฐแนวใหม่กับคุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี 2) ศึกษาหน้าที่ของเทศบาลมีความสัมพันธ์กับการบริหารราชการของเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี 3) ศึกษาการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี และ 4) เพื่อศึกษาคุณภาพการบริหารจัดการที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี ใช้การวิจัยแบบผสานวิธี (Mix methods research) ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณ คือ ประชาชนทั่วไปที่พักอาศัยในเขตบริการของเทศบาลทั้ง 9 แห่งจำนวน 428,290 คน คำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีของ Yamane (1997) ได้กลุ่มตัวอย่าง 400 คน ประชากรที่ใช้เป็นกลุ่มตัวอย่างการวิจัยเชิงคุณภาพ คือ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 9 คน ซึ่งเป็นผู้บริหารเทศบาลทั้ง 9 แห่ง
ผลการวิจัยเชิงปริมาณ พบว่า 1) ด้านการบริหารราชการภาครัฐแนวใหม่ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เท่ากับ 4.55 เมื่อแยกรายด้าน พบว่า ทุกด้านมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านการยกระดับความโปร่งใส และสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาในการบริหารจัดการมีค่าเฉลี่ยสูงสุด เท่ากับ 4.70 จากการทดสอบสมมติฐาน การบริหารราชการภาครัฐแนวใหม่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 โดยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ 0.269 (r=0.269) เป็นไปตามสมมติฐาน 2) ด้านหน้าที่ของเทศบาล พบว่า หน้าที่ของเทศบาลโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เท่ากับ 4.45 เมื่อแยกรายด้าน พบว่า ด้านการบริการสาธารณะ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด เท่ากับ 4.50 จากการทดสอบสมมติฐาน พบว่า หน้าที่ของเทศบาลของตัวแปรทั้ง 2 ด้าน คือ ด้านการบริการสาธาณะ และด้านอำนาจ หน้าที่ตามกฎหมายของเทศบาล ไม่มีตัวแปรใดที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (R=0.087 R2=0.0077) ไม่เป็นไปตามสมมติฐาน 3) ด้านการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี จากการทดสอบสมมติฐาน พบว่า การบริหารราชการภาครัฐแนวใหม่ของตัวแปรทั้ง 6 ด้าน มีตัวแปร 4 ด้าน ที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี ดังนี้ (1) ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ของเทศบาลให้เกิดประโยชน์สูงสุด(2) ด้านการวางระบบการบริหารงานเทศบาลแบบบูรณาการ (3) ด้านการส่งเสริมระบบการบริหารกิจการของเทศบาลแบบร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน และ (4) ด้านการยกระดับความโปร่งใส และสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาในการบริหารจัดการ ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (R =0.665 R2 = 0.443) เป็นไปตามสมมติฐาน 4) ด้านคุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลเมือง พบว่า คุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เท่ากับ 4.64 เมื่อแยกรายด้าน พบว่า ทุกด้านมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านตอบสนองต่อผู้รับบริการ มีค่าเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 4.69 จากการทดสอบสมมติฐาน พบว่า คุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลมีตัวแปร 2 ด้าน ที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี ดังนี้ (1) ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน และ (2) ด้านการตอบสนองต่อผู้รับบริการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้ถึงร้อยละ 99.50 เป็นไปตามสมมติฐาน
ผลการวิจัยเชิงคุณภาพ พบว่า ด้านหน้าที่ของเทศบาล มีการดำเนินการตามแผนที่ได้วางและกำหนดไว้ ในเรื่องของการบริการสาธารณะ ด้านอำนาจ หน้าที่ตามกฎหมายกำหนด เทศบาลพบปัญหาในเรื่องของการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย ที่ขาดความยืดหยุ่น มีข้อจำกัด และยังขาดการใช้อำนาจที่เพียงพอตาม พ.ร.บ. เทศบาล พ.ศ. 2496 และ พ.ร.บ. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 เช่น การนำมาตรการการบังคับใช้กฎหมายอาชญากรรมในชุมชนมาใช้ในเรื่องปัญหาการแอบลักลอบการค้ายาเสพติด หรือการรักษาความสงบเรียบร้อยของชุมชน เป็นต้น ซึ่งปัญหาดังกล่าวควรได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง โดยการนำเข้าประชุม หารือร่วมกัน และควรนำบรรจุอยู่ในวาระการประชุมในแผนประจำปี เพื่อร่วมกันหาฉันทามติจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง อันนำไปสู่การยกระดับการให้บริการที่เหมาะสมและเป็นประโยขน์ต่อไป ด้านการยกระดับความโปร่งใส และสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาในการบริหารราชการเทศบาล พบว่า เทศบาลมีการจัดทำแผนป้องกันการทุจริต โดยความร่วมมือที่เกิดจากภาคประชาชน และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่มีการให้ประชาชนสามารถตรวจสอบการบริหารงานของเทศบาลได้ ซึ่งถือเป็นข้อที่ดี ส่วนเทศบาลที่ไม่ได้ระบุควรต้องให้ความสำคัญและร่วมกันดำเนินการอย่างจริงจังตามหน้าที่ของเทศบาลที่จะต้องพึงปฏิบัติ อันจะเป็นการยกระดับการสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาในการบริหารราชการของเทศบาลเมืองที่มีต่อประชาชนในเขตพื้นที่ของเทศบาลตนเองได้Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28106 SIU THE-T. คุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี = Quality of the Public Administration of the Town Municipality of Prathum Thani Province [printed text] / ธนกรณ์ พูนภิญโญศักดิ์, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020 . - xi, 141 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-07
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ระบบราชการ -- การบริหาร -- การควบคุมคุณภาพ -- ไทย -- ปทุมธานี Keywords: คุณภาพการบริหารราชการ,
เทศบาลเมืองในจังหวัดปทุมธานีAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารราชการภาครัฐแนวใหม่กับคุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี 2) ศึกษาหน้าที่ของเทศบาลมีความสัมพันธ์กับการบริหารราชการของเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี 3) ศึกษาการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี และ 4) เพื่อศึกษาคุณภาพการบริหารจัดการที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี ใช้การวิจัยแบบผสานวิธี (Mix methods research) ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ ประชากรและกลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณ คือ ประชาชนทั่วไปที่พักอาศัยในเขตบริการของเทศบาลทั้ง 9 แห่งจำนวน 428,290 คน คำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีของ Yamane (1997) ได้กลุ่มตัวอย่าง 400 คน ประชากรที่ใช้เป็นกลุ่มตัวอย่างการวิจัยเชิงคุณภาพ คือ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 9 คน ซึ่งเป็นผู้บริหารเทศบาลทั้ง 9 แห่ง
ผลการวิจัยเชิงปริมาณ พบว่า 1) ด้านการบริหารราชการภาครัฐแนวใหม่ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เท่ากับ 4.55 เมื่อแยกรายด้าน พบว่า ทุกด้านมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านการยกระดับความโปร่งใส และสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาในการบริหารจัดการมีค่าเฉลี่ยสูงสุด เท่ากับ 4.70 จากการทดสอบสมมติฐาน การบริหารราชการภาครัฐแนวใหม่มีความสัมพันธ์กับคุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 โดยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ 0.269 (r=0.269) เป็นไปตามสมมติฐาน 2) ด้านหน้าที่ของเทศบาล พบว่า หน้าที่ของเทศบาลโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เท่ากับ 4.45 เมื่อแยกรายด้าน พบว่า ด้านการบริการสาธารณะ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด เท่ากับ 4.50 จากการทดสอบสมมติฐาน พบว่า หน้าที่ของเทศบาลของตัวแปรทั้ง 2 ด้าน คือ ด้านการบริการสาธาณะ และด้านอำนาจ หน้าที่ตามกฎหมายของเทศบาล ไม่มีตัวแปรใดที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (R=0.087 R2=0.0077) ไม่เป็นไปตามสมมติฐาน 3) ด้านการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี จากการทดสอบสมมติฐาน พบว่า การบริหารราชการภาครัฐแนวใหม่ของตัวแปรทั้ง 6 ด้าน มีตัวแปร 4 ด้าน ที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี ดังนี้ (1) ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ของเทศบาลให้เกิดประโยชน์สูงสุด(2) ด้านการวางระบบการบริหารงานเทศบาลแบบบูรณาการ (3) ด้านการส่งเสริมระบบการบริหารกิจการของเทศบาลแบบร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน และ (4) ด้านการยกระดับความโปร่งใส และสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาในการบริหารจัดการ ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (R =0.665 R2 = 0.443) เป็นไปตามสมมติฐาน 4) ด้านคุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลเมือง พบว่า คุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เท่ากับ 4.64 เมื่อแยกรายด้าน พบว่า ทุกด้านมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านตอบสนองต่อผู้รับบริการ มีค่าเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 4.69 จากการทดสอบสมมติฐาน พบว่า คุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลมีตัวแปร 2 ด้าน ที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการบริหารราชการของเทศบาลเมือง ในจังหวัดปทุมธานี ดังนี้ (1) ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน และ (2) ด้านการตอบสนองต่อผู้รับบริการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้ถึงร้อยละ 99.50 เป็นไปตามสมมติฐาน
ผลการวิจัยเชิงคุณภาพ พบว่า ด้านหน้าที่ของเทศบาล มีการดำเนินการตามแผนที่ได้วางและกำหนดไว้ ในเรื่องของการบริการสาธารณะ ด้านอำนาจ หน้าที่ตามกฎหมายกำหนด เทศบาลพบปัญหาในเรื่องของการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย ที่ขาดความยืดหยุ่น มีข้อจำกัด และยังขาดการใช้อำนาจที่เพียงพอตาม พ.ร.บ. เทศบาล พ.ศ. 2496 และ พ.ร.บ. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 เช่น การนำมาตรการการบังคับใช้กฎหมายอาชญากรรมในชุมชนมาใช้ในเรื่องปัญหาการแอบลักลอบการค้ายาเสพติด หรือการรักษาความสงบเรียบร้อยของชุมชน เป็นต้น ซึ่งปัญหาดังกล่าวควรได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง โดยการนำเข้าประชุม หารือร่วมกัน และควรนำบรรจุอยู่ในวาระการประชุมในแผนประจำปี เพื่อร่วมกันหาฉันทามติจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง อันนำไปสู่การยกระดับการให้บริการที่เหมาะสมและเป็นประโยขน์ต่อไป ด้านการยกระดับความโปร่งใส และสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาในการบริหารราชการเทศบาล พบว่า เทศบาลมีการจัดทำแผนป้องกันการทุจริต โดยความร่วมมือที่เกิดจากภาคประชาชน และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่มีการให้ประชาชนสามารถตรวจสอบการบริหารงานของเทศบาลได้ ซึ่งถือเป็นข้อที่ดี ส่วนเทศบาลที่ไม่ได้ระบุควรต้องให้ความสำคัญและร่วมกันดำเนินการอย่างจริงจังตามหน้าที่ของเทศบาลที่จะต้องพึงปฏิบัติ อันจะเป็นการยกระดับการสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาในการบริหารราชการของเทศบาลเมืองที่มีต่อประชาชนในเขตพื้นที่ของเทศบาลตนเองได้Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28106 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607329 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-07 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available 32002000607331 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-07 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ปัจจัยการป้องกันการโจรกรรมรถยนต์ พื้นที่รับผิดชอบกองบัญชาการตำรวจนครบาล / สัมฤทธิ์ กระสังข์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2020
Collection Title: SIU THE-T Title : ปัจจัยการป้องกันการโจรกรรมรถยนต์ พื้นที่รับผิดชอบกองบัญชาการตำรวจนครบาล Original title : Vehicle Theft Prevention Factors Responsible Area Metropolitan Police Bureau Material Type: printed text Authors: สัมฤทธิ์ กระสังข์, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2020 Pagination: xi, 139 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-09
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]โจรกรรมรถยนต์ -- การป้องกัน Keywords: การป้องกัน,
การโจรกรรมรถยนต์,
การปฏิบัติตามยุทธศาสตร์,
ปัจจัยการป้องกันAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัจจัยแวดล้อมปัจเจกบุคคล ปัจจัยภายในองค์การ และปัจจัยเชิงนโยบายของการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การป้องกันการโจรกรรมรถยนต์ พื้นที่รับผิดชอบกองบัญชาการตำรวจนครบาล 2) ศึกษาความสัมระหว่างปัจจัยแวดล้อมของปัจเจกบุคคล ปัจจัยภายในองค์การ และปัจจัยเชิงนโยบายในการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การป้องกันการโจรกรรมรถยนต์ พื้นที่รับผิดชอบกองบัญชาการตำรวจนครบาล 3) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การป้องกันการโจรกรรมรถยนต์ พื้นที่รับผิดชอบกองบัญชาการตำรวจนครบาล ใช้ระเบียบวิจัยแบบผสานวิธี คือการวิจัยเชิงปริมาณ และวิจัยเชิงคุณภาพ ประชากร ได้แก่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 1-9 รวมทั้งหมด 26,750 คน คำนวนกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีของ Yamane (1997) ได้กลุ่มตัวอย่าง 400 คน และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 9 คน ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก และทำการวิเคราะห์เนื้อหา สถิติเชิงพรรณาที่ใช้คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้การวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงพหุคูณ การหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียรสัน
ผลการวิจัย พบว่า
1) ระดับปัจจัยโดยภาพรวมมีค่าในระดับมากทั้ง 3 ปัจจัย คือ ปัจจัยเชิงนโยบาย มีค่าความสำคัญเท่ากับ 3.67 รองลงมาคือ ปัจจัยแวดล้อมของปัจเจกบุคคล มีค่าความสำคัญเท่ากับ 3.55 และปัจจัยภายในองค์การ มีค่าความสำคัญเท่ากับ 3.46
2) ปัจจัยแวดล้อมของปัจเจกบุคคล ตัวแปรมีค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์สูงสุด คือ ด้านครอบครัว และสังคม ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านเศรษฐกิจ มีค่า (r=0.67, r=0.52 และ r=0.40) ตามลำดับ ปัจจัยภายในองค์การ ตัวแปรมีค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์สูงสุด คือ ด้านการให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงาน (r=0.90) และตัวแปรค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ต่ำสุด คือ ด้านวัฒนธรรมองค์การ (r=0.019) ปัจจัยเชิงนโยบาย ตัวแปรมีค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์สูงสุด คือ ด้านการวางแผนและการควบคุม (r=0.80) และตัวแปรมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ต่ำสุด คือ ด้านระบบการวัดผล (r=0.80)
3) ปัจจัยแวดล้อมของปัจเจกบุคคลตัวแปรที่ส่งผล คือ ด้านครอบครัว และสังคม ปัจจัยภายในองค์การตัวแปรที่ส่งผลคือ ด้านการประชาสัมพันธ์ และเผยแพร่ข้อมูล และปัจจัยเชิงนโยบายมีตัว 5 ตัวแปรที่ส่งผล ได้แก่ ด้านการวางแผนและการควบคุม ด้านการกำหนดภารกิจ และมอบหมายงาน ด้านวัตถุประสงค์ของนโยบาย ด้านมาตรฐานการให้คุณ-โทษ และด้านมาตรฐานการปฏิบัติงานCurricular : MPA/DPA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28107 SIU THE-T. ปัจจัยการป้องกันการโจรกรรมรถยนต์ พื้นที่รับผิดชอบกองบัญชาการตำรวจนครบาล = Vehicle Theft Prevention Factors Responsible Area Metropolitan Police Bureau [printed text] / สัมฤทธิ์ กระสังข์, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020 . - xi, 139 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-09
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]โจรกรรมรถยนต์ -- การป้องกัน Keywords: การป้องกัน,
การโจรกรรมรถยนต์,
การปฏิบัติตามยุทธศาสตร์,
ปัจจัยการป้องกันAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัจจัยแวดล้อมปัจเจกบุคคล ปัจจัยภายในองค์การ และปัจจัยเชิงนโยบายของการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การป้องกันการโจรกรรมรถยนต์ พื้นที่รับผิดชอบกองบัญชาการตำรวจนครบาล 2) ศึกษาความสัมระหว่างปัจจัยแวดล้อมของปัจเจกบุคคล ปัจจัยภายในองค์การ และปัจจัยเชิงนโยบายในการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การป้องกันการโจรกรรมรถยนต์ พื้นที่รับผิดชอบกองบัญชาการตำรวจนครบาล 3) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์การป้องกันการโจรกรรมรถยนต์ พื้นที่รับผิดชอบกองบัญชาการตำรวจนครบาล ใช้ระเบียบวิจัยแบบผสานวิธี คือการวิจัยเชิงปริมาณ และวิจัยเชิงคุณภาพ ประชากร ได้แก่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 1-9 รวมทั้งหมด 26,750 คน คำนวนกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีของ Yamane (1997) ได้กลุ่มตัวอย่าง 400 คน และผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 9 คน ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก และทำการวิเคราะห์เนื้อหา สถิติเชิงพรรณาที่ใช้คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้การวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงพหุคูณ การหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียรสัน
ผลการวิจัย พบว่า
1) ระดับปัจจัยโดยภาพรวมมีค่าในระดับมากทั้ง 3 ปัจจัย คือ ปัจจัยเชิงนโยบาย มีค่าความสำคัญเท่ากับ 3.67 รองลงมาคือ ปัจจัยแวดล้อมของปัจเจกบุคคล มีค่าความสำคัญเท่ากับ 3.55 และปัจจัยภายในองค์การ มีค่าความสำคัญเท่ากับ 3.46
2) ปัจจัยแวดล้อมของปัจเจกบุคคล ตัวแปรมีค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์สูงสุด คือ ด้านครอบครัว และสังคม ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านเศรษฐกิจ มีค่า (r=0.67, r=0.52 และ r=0.40) ตามลำดับ ปัจจัยภายในองค์การ ตัวแปรมีค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์สูงสุด คือ ด้านการให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงาน (r=0.90) และตัวแปรค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ต่ำสุด คือ ด้านวัฒนธรรมองค์การ (r=0.019) ปัจจัยเชิงนโยบาย ตัวแปรมีค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์สูงสุด คือ ด้านการวางแผนและการควบคุม (r=0.80) และตัวแปรมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ต่ำสุด คือ ด้านระบบการวัดผล (r=0.80)
3) ปัจจัยแวดล้อมของปัจเจกบุคคลตัวแปรที่ส่งผล คือ ด้านครอบครัว และสังคม ปัจจัยภายในองค์การตัวแปรที่ส่งผลคือ ด้านการประชาสัมพันธ์ และเผยแพร่ข้อมูล และปัจจัยเชิงนโยบายมีตัว 5 ตัวแปรที่ส่งผล ได้แก่ ด้านการวางแผนและการควบคุม ด้านการกำหนดภารกิจ และมอบหมายงาน ด้านวัตถุประสงค์ของนโยบาย ด้านมาตรฐานการให้คุณ-โทษ และด้านมาตรฐานการปฏิบัติงานCurricular : MPA/DPA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28107 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607327 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-09 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available 32002000607330 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-09 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ในโครงการงานสังคมสงเคราะห์เครือข่ายพระมหาไถ่ (บาทหลวงเรย์มอนด์ เอ เบรนนัน) / เกศสุดา อินทร์สาหร่าย / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2020
Collection Title: SIU THE-T Title : การพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ในโครงการงานสังคมสงเคราะห์เครือข่ายพระมหาไถ่ (บาทหลวงเรย์มอนด์ เอ เบรนนัน) Original title : The Development of the Quality of Life of the Disabled in the Social Network Project of the Redemptorist Foundation for People with Disabilities (Father Raymond A. Brennan) Material Type: printed text Authors: เกศสุดา อินทร์สาหร่าย, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2020 Pagination: xi, 216 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-01
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]คุณภาพชีวิต -- คนพิการ
[LCSH]บริการสังคมKeywords: การพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ,
เครือข่ายพระมหาไถ่ (บาทหลวงเรย์มอนด์ เอ เบรนนัน)Abstract: การวิจัยเรื่องการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในโครงการงานสังคมสงเคราะห์เครือข่าย พระมหาไถ่ (บาทหลวงเรย์มอนด์ เอ เบรนนัน) เป็นงานวิจัยที่มุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาคนพิการให้สามารถพึ่งพาตนเอง และเป็นแนวทางในการช่วยให้คนพิการที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างอิสระ เสมอภาค เท่าเทียมกับบุคคลทั่ว ๆ เพื่อเป็นแนวทางสามารถในการนำชุดความรู้นี้ไปใช้กับหน่วยงานอื่นต่อไป
การศึกษาวิจัยครั้งนี้ เป็นการศึกษาวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) โดยการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) และการวิชัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาปัญหาของการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในงานสังคมสงเคราะห์เครือข่ายพระมหาไถ่ (บาทหลวงเรย์มอนด์ เอ เบรนนัน) 2. เพื่อศึกษาสาเหตุของปัญหาของการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในงานสังคมสงเคราะห์เครือข่ายพระมหาไถ่ (บาทหลวงเรย์มอนด์ เอ เบรนนัน) 3. เพื่อศึกษาและเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาและข้อเสนอแนะการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในงานสังคมสงเคราะห์เครือข่ายพระมหาไถ่ (บาทหลวงเรย์มอนด์ เอ เบรนนัน) 4. เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในงานสังคมสงเคราะห์เครือข่ายพระมหาไถ่ (บาทหลวง เรย์มอนด์ เอ เบรนนัน)
ผลการวิจัย ปัจจัยด้านพฤติกรรมของครอบครัว พบว่าครอบครัวต้องเข้าใจความรู้สึกทางด้านสภาพจิตใจของคนพิการ ยอมรับสภาพความพิการ และสร้างความเข็มแข็งโดยการให้คนพิการเห็นคุณค่าในตนเองพร้อมที่จะเรียนรู้การอยู่ด้วยตนเอง ปัจจัยด้านความร่วมมือขององค์กรในเครือข่าย พบว่าการสนับสนุนของภาครัฐไม่เพียงพอและไม่ตรงตามเป้าหมายความต้องการของคนพิการ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญต่อการสนับสนุนให้องค์กรคนพิการหรือตัวคนพิการต้องยึดหลักการส่งเสริมโดยเน้นความสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของคนพิการเป็นสำคัญ ปัจจัยด้านการจัดการศึกษา การอบรม พบว่าหลักสูตรการเรียนการสอนไม่ตรงกับความต้องการตลาดแรงงาน ส่งผลให้การนำความรู้ในห้องเรียนมาปฏิบัติจริงยังไม่สามารถตอบโจทย์องค์กรที่จ้างแรงงานคนพิการในตลาดแรงงานในสังคมปัจจุบัน รวมทั้งการพัฒนาคนพิการสู่นักกีฬาอาชีพยังไม่มีหลักประกัน มาตรฐานค่าตอบแทนและขาดนักวิเคราะห์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาช่วยเหลือคนพิการ ดังนั้นควรกระตุ้นระบบการศึกษาไทยจะก่อให้เกิดการพัฒนาคนพิการให้เป็นคนที่มีศักยภาพทางการศึกษาพร้อมต่อการออกสู่สังคมในวัยทำงาน สุดท้ายปัจจัยด้านพัฒนาทักษะชีวิตในการอยู่ร่วมกับสังคม พบว่าคนพิการมีความรู้สึกว่ามีความเลื่อมล้ำ ขาดความเสมอภาค การให้บริการระหว่างคนพิการกับคนปกติ ดังนั้นการสนับสนุนทางสังคมที่ทำให้คนพิการรู้สึกมีคุณค่าต้องตระหนักตั้งแต่ระดับชุมชนเพราะเป็นกลุ่มที่อยู่ใกล้ชิดกับคนพิการลำดับแรกเพื่อส่งเสริมการอยู่ร่วมกันในสังคมระหว่างคนปกติและคนพิการCurricular : MPA/DPA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28108 SIU THE-T. การพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ในโครงการงานสังคมสงเคราะห์เครือข่ายพระมหาไถ่ (บาทหลวงเรย์มอนด์ เอ เบรนนัน) = The Development of the Quality of Life of the Disabled in the Social Network Project of the Redemptorist Foundation for People with Disabilities (Father Raymond A. Brennan) [printed text] / เกศสุดา อินทร์สาหร่าย, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020 . - xi, 216 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-01
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]คุณภาพชีวิต -- คนพิการ
[LCSH]บริการสังคมKeywords: การพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ,
เครือข่ายพระมหาไถ่ (บาทหลวงเรย์มอนด์ เอ เบรนนัน)Abstract: การวิจัยเรื่องการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในโครงการงานสังคมสงเคราะห์เครือข่าย พระมหาไถ่ (บาทหลวงเรย์มอนด์ เอ เบรนนัน) เป็นงานวิจัยที่มุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาคนพิการให้สามารถพึ่งพาตนเอง และเป็นแนวทางในการช่วยให้คนพิการที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างอิสระ เสมอภาค เท่าเทียมกับบุคคลทั่ว ๆ เพื่อเป็นแนวทางสามารถในการนำชุดความรู้นี้ไปใช้กับหน่วยงานอื่นต่อไป
การศึกษาวิจัยครั้งนี้ เป็นการศึกษาวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) โดยการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) และการวิชัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1. เพื่อศึกษาปัญหาของการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในงานสังคมสงเคราะห์เครือข่ายพระมหาไถ่ (บาทหลวงเรย์มอนด์ เอ เบรนนัน) 2. เพื่อศึกษาสาเหตุของปัญหาของการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในงานสังคมสงเคราะห์เครือข่ายพระมหาไถ่ (บาทหลวงเรย์มอนด์ เอ เบรนนัน) 3. เพื่อศึกษาและเสนอวิธีการแก้ไขปัญหาและข้อเสนอแนะการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในงานสังคมสงเคราะห์เครือข่ายพระมหาไถ่ (บาทหลวงเรย์มอนด์ เอ เบรนนัน) 4. เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการในงานสังคมสงเคราะห์เครือข่ายพระมหาไถ่ (บาทหลวง เรย์มอนด์ เอ เบรนนัน)
ผลการวิจัย ปัจจัยด้านพฤติกรรมของครอบครัว พบว่าครอบครัวต้องเข้าใจความรู้สึกทางด้านสภาพจิตใจของคนพิการ ยอมรับสภาพความพิการ และสร้างความเข็มแข็งโดยการให้คนพิการเห็นคุณค่าในตนเองพร้อมที่จะเรียนรู้การอยู่ด้วยตนเอง ปัจจัยด้านความร่วมมือขององค์กรในเครือข่าย พบว่าการสนับสนุนของภาครัฐไม่เพียงพอและไม่ตรงตามเป้าหมายความต้องการของคนพิการ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญต่อการสนับสนุนให้องค์กรคนพิการหรือตัวคนพิการต้องยึดหลักการส่งเสริมโดยเน้นความสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของคนพิการเป็นสำคัญ ปัจจัยด้านการจัดการศึกษา การอบรม พบว่าหลักสูตรการเรียนการสอนไม่ตรงกับความต้องการตลาดแรงงาน ส่งผลให้การนำความรู้ในห้องเรียนมาปฏิบัติจริงยังไม่สามารถตอบโจทย์องค์กรที่จ้างแรงงานคนพิการในตลาดแรงงานในสังคมปัจจุบัน รวมทั้งการพัฒนาคนพิการสู่นักกีฬาอาชีพยังไม่มีหลักประกัน มาตรฐานค่าตอบแทนและขาดนักวิเคราะห์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาช่วยเหลือคนพิการ ดังนั้นควรกระตุ้นระบบการศึกษาไทยจะก่อให้เกิดการพัฒนาคนพิการให้เป็นคนที่มีศักยภาพทางการศึกษาพร้อมต่อการออกสู่สังคมในวัยทำงาน สุดท้ายปัจจัยด้านพัฒนาทักษะชีวิตในการอยู่ร่วมกับสังคม พบว่าคนพิการมีความรู้สึกว่ามีความเลื่อมล้ำ ขาดความเสมอภาค การให้บริการระหว่างคนพิการกับคนปกติ ดังนั้นการสนับสนุนทางสังคมที่ทำให้คนพิการรู้สึกมีคุณค่าต้องตระหนักตั้งแต่ระดับชุมชนเพราะเป็นกลุ่มที่อยู่ใกล้ชิดกับคนพิการลำดับแรกเพื่อส่งเสริมการอยู่ร่วมกันในสังคมระหว่างคนปกติและคนพิการCurricular : MPA/DPA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28108 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607328 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-01 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available 32002000607326 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-01 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ยุทธศาสตร์การพัฒนาความร่วมมือการป้องกันอาชญากรรม พื้นที่รับผิดชอบกองบัญชาการตำรวจนครบาล / ธีรยุทธ์ จงศิริ / ปทุมธานี : มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2020
Collection Title: SIU THE-T Title : ยุทธศาสตร์การพัฒนาความร่วมมือการป้องกันอาชญากรรม พื้นที่รับผิดชอบกองบัญชาการตำรวจนครบาล Original title : Strategic Cooperation Development of Crime Prevention In Responsible area of Metropolitan Police Bureau Material Type: printed text Authors: ธีรยุทธ์ จงศิริ, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name Publisher: ปทุมธานี : มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2020 Pagination: x, 182 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-16
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การบังคับใช้กฎหมาย
[LCSH]การป้องกันอาชญากรรม
[LCSH]การพัฒนา -- ยุทธศาสตร์Keywords: การป้องกันอาชญากรรม, ยุทธศาสตร์การพัฒนา, การบังคับใช้กฎหมาย Abstract: งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรมที่ส่งผลต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาความร่วมมือการป้องกันอาชญากรรม ในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล 2) เพื่อศึกษาระดับเกี่ยวกับปัจจัยการป้องกันปัญหาอาชญากรรมที่ส่งผลต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาความร่วมมือการป้องกันอาชญากรรม ในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล 3) เพื่อศึกษาระดับของการบริหารจัดการเพื่อการแก้ไขปัญหาอาชญากรรม ที่ส่งผลต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาความร่วมมือการป้องกันอาชญากรรม ในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ผู้วิจัยใช้การวิจัยแบบผสานวิธี
(Mixed Methods Research) คือ 1) การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ด้วยการสัมภาษณ์จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 30 คน จากกองบังคับการตำรวจนครบาล 1-9 และกองบังคับการจราจร โดยการวิเคราะห์เนื้อหา 2) การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 1-9 และกองบังคับการจราจร จำนวน 400 คน โดยการวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงพหุคูณเส้นตรง
ผลการวิจัยเชิงคุณภาพพบว่า ด้านสังคม คือปัญหายาเสพติดที่รุนแรง จากจำนวนครั้งของการจับกุม และปริมาณยาเสพติดที่จับได้ในแต่ละครั้งมีมากขึ้น ด้านการบังคับใช้กฎหมาย จากหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ตำรวจ อัยการ ศาล ราชทัณฑ์จะต้องมีการบูรณการให้การบังคับใช้กฎหมาย เป็นไปด้วยความแน่นอน รวดเร็ว เสมอภาคและงานวิจัยในเชิงปริมาณพบว่า ปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรม คือ ด้านสังคม มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.31,S.D. = 0.46)
ปัจจัยการป้องกันปัญหาอาชญากรรม คือ ด้านการพัฒนาการศึกษามีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก
(x̄ = 4.15,S.D. = 0.57) การบริหารจัดการเพื่อการแก้ไขปัญหาอาชญากรรม คือ ด้านการสื่อสาร มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.30,S.D. = 0.57) และยุทธศาสตร์การพัฒนาความร่วมมือ การป้องกันอาชญากรรม คือ การสร้างความไว้วางใจกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.24,S.D. = 0.85)
ข้อเสนอแนะ ควรมีการศึกษาถึงศึกษารูปแบบของผู้นำและทีมงานของสำนักงานตำรวจ ที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนCurricular : MPA/DPA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28272 SIU THE-T. ยุทธศาสตร์การพัฒนาความร่วมมือการป้องกันอาชญากรรม พื้นที่รับผิดชอบกองบัญชาการตำรวจนครบาล = Strategic Cooperation Development of Crime Prevention In Responsible area of Metropolitan Police Bureau [printed text] / ธีรยุทธ์ จงศิริ, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name . - ปทุมธานี : มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020 . - x, 182 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-16
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การบังคับใช้กฎหมาย
[LCSH]การป้องกันอาชญากรรม
[LCSH]การพัฒนา -- ยุทธศาสตร์Keywords: การป้องกันอาชญากรรม, ยุทธศาสตร์การพัฒนา, การบังคับใช้กฎหมาย Abstract: งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรมที่ส่งผลต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาความร่วมมือการป้องกันอาชญากรรม ในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล 2) เพื่อศึกษาระดับเกี่ยวกับปัจจัยการป้องกันปัญหาอาชญากรรมที่ส่งผลต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาความร่วมมือการป้องกันอาชญากรรม ในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล 3) เพื่อศึกษาระดับของการบริหารจัดการเพื่อการแก้ไขปัญหาอาชญากรรม ที่ส่งผลต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาความร่วมมือการป้องกันอาชญากรรม ในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ผู้วิจัยใช้การวิจัยแบบผสานวิธี
(Mixed Methods Research) คือ 1) การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ด้วยการสัมภาษณ์จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 30 คน จากกองบังคับการตำรวจนครบาล 1-9 และกองบังคับการจราจร โดยการวิเคราะห์เนื้อหา 2) การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 1-9 และกองบังคับการจราจร จำนวน 400 คน โดยการวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงพหุคูณเส้นตรง
ผลการวิจัยเชิงคุณภาพพบว่า ด้านสังคม คือปัญหายาเสพติดที่รุนแรง จากจำนวนครั้งของการจับกุม และปริมาณยาเสพติดที่จับได้ในแต่ละครั้งมีมากขึ้น ด้านการบังคับใช้กฎหมาย จากหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ตำรวจ อัยการ ศาล ราชทัณฑ์จะต้องมีการบูรณการให้การบังคับใช้กฎหมาย เป็นไปด้วยความแน่นอน รวดเร็ว เสมอภาคและงานวิจัยในเชิงปริมาณพบว่า ปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรม คือ ด้านสังคม มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.31,S.D. = 0.46)
ปัจจัยการป้องกันปัญหาอาชญากรรม คือ ด้านการพัฒนาการศึกษามีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก
(x̄ = 4.15,S.D. = 0.57) การบริหารจัดการเพื่อการแก้ไขปัญหาอาชญากรรม คือ ด้านการสื่อสาร มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.30,S.D. = 0.57) และยุทธศาสตร์การพัฒนาความร่วมมือ การป้องกันอาชญากรรม คือ การสร้างความไว้วางใจกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.24,S.D. = 0.85)
ข้อเสนอแนะ ควรมีการศึกษาถึงศึกษารูปแบบของผู้นำและทีมงานของสำนักงานตำรวจ ที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนCurricular : MPA/DPA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28272 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607511 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-16 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available 32002000607518 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-16 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available