From this page you can:
Home |
Collection details
Collection SIU THE-T
Documents available under this collective title
Add the result to your basketSIU THE-T. การบูรณาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 / สมศักดิ์ คงทอง / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : การบูรณาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 Original title : Integrating Phuket Province’s Public Disaster Management into Thailand 4.0 Contexts Material Type: printed text Authors: สมศักดิ์ คงทอง, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: xi, 256 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-05
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การบรรเทาสาธารณภัย -- การจัดการ
[LCSH]การพัฒนาประเทศ -- ไทย -- ภูเก็ตKeywords: การบูรณาการ,
การจัดการสาธารณภัย,
บริบทประเทศไทย 4.0Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการบริหารงานคุณภาพการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 2) ศึกษาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 3) ศึกษาการบูรณาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 4) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการบริหารงานคุณภาพกับการบูรณาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 5) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการสาธารณภัยกับการบูรณาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 และ 6) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการบูรณาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0
การวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Methods Research) ระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยผู้วิจัยได้อาศัยวิธีดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การวิจัยภาคสนามจากการสัมภาษณ์เชิงลึก จากผู้เชี่ยวชาญและผู้บริหารหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ต ได้แก่ นายอำเภอจังหวัดภูเก็ต จำนวน 3 คน หัวหน้าสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ต จำนวน 2 คน ผู้บังคับการ และผู้กำกับการสถานีตำรวจจังหวัดภูเก็ต จำนวน 4 คน รวมทั้งเจ้าหน้าที่บริการทางการแพทย์และสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต จำนวน 2 คน มาจาก 3 อำเภอของจังหวัดภูเก็ต ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอถลาง อำเภอกะทู้ รวมจำนวน 11 คน ประกอบกับการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร และกลุ่มตัวอย่างประชาชนที่อยู่อาศัยจริงในเขตพื้นที่ศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 400 คน จากจำนวนประชากร 402,017 คน โดยการใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson product-moment correlation coefficient) ควบคู่กับการสำรวจข้อมูลจากการศึกษาค้นคว้าทางเอกสาร
ผลการวิจัยพบว่า 1) พฤติกรรมการบริหารงานคุณภาพการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( =3.192, S.D=0.690) 2) การจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( =3.183, S.D=0.712) 3) การบูรณาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( =3.201, S.D=0.675) 4) ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการบริหารงานคุณภาพกับการบูรณาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ พบว่า พฤติกรรมการบริหารงานคุณภาพมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการบูรณาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 โดยมีค่า r=0.980 (p‹0.01) ซึ่งแสดงว่ามีความสัมพันธ์กันในระดับสูงอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 5) ความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการสาธารณภัยกับการบูรณาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ พบว่า การจัดการสาธารณภัยมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการบูรณาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 โดยมีค่า r=0.965 (p‹0.01) ซึ่งแสดงว่ามีความสัมพันธ์กันในระดับสูงอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 6) ปัญหาและอุปสรรคในการบูรณาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 พบว่า ส่วนใหญ่ประสบปัญหาด้านการประสานงานร่วมกับหน่วยงานใกล้เคียง และภาคส่วนต่างๆ ในการแก้ปัญหาสาธารณภัยยังไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร ร้อยละ 31.5 รองลงมาคือ ด้านการให้ความรู้แก่ประชาชนในการจัดการสาธารณภัยอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ร้อยละ 23.1 ด้านการสร้างจิตสำนึกในการรับผิดชอบร่วมกันในการบริหารจัดการสาธารณภัย ร้อยละ 18.8 ด้านการประชาสัมพันธ์ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ทราบเกี่ยวกับการจัดการสาธารณภัย ร้อยละ 18.0 ด้านการรับฟังความคิดเห็น และการรับฟังปัญหาจากประชาชนก่อนดำเนินการจัดทำแผนป้องกันฯ เพื่อใช้รับมือกับปัญหาสาธารณภัย ร้อยละ 4.8 และด้านอุปกรณ์การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงพอเพื่อใช้ในการสื่อสาร ร้อยละ 3.8 ตามลำดับ ซึ่งข้อมูลและข้อค้นพบที่ได้จากการศึกษาจะนำไปใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุง และพัฒนางานด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตให้มีประสิทธิผล และประสิทธิภาพต่อไปCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27943 SIU THE-T. การบูรณาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 = Integrating Phuket Province’s Public Disaster Management into Thailand 4.0 Contexts [printed text] / สมศักดิ์ คงทอง, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - xi, 256 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-05
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การบรรเทาสาธารณภัย -- การจัดการ
[LCSH]การพัฒนาประเทศ -- ไทย -- ภูเก็ตKeywords: การบูรณาการ,
การจัดการสาธารณภัย,
บริบทประเทศไทย 4.0Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการบริหารงานคุณภาพการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 2) ศึกษาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 3) ศึกษาการบูรณาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 4) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการบริหารงานคุณภาพกับการบูรณาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 5) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการสาธารณภัยกับการบูรณาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 และ 6) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการบูรณาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0
การวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Methods Research) ระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยผู้วิจัยได้อาศัยวิธีดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การวิจัยภาคสนามจากการสัมภาษณ์เชิงลึก จากผู้เชี่ยวชาญและผู้บริหารหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ต ได้แก่ นายอำเภอจังหวัดภูเก็ต จำนวน 3 คน หัวหน้าสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ต จำนวน 2 คน ผู้บังคับการ และผู้กำกับการสถานีตำรวจจังหวัดภูเก็ต จำนวน 4 คน รวมทั้งเจ้าหน้าที่บริการทางการแพทย์และสาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต จำนวน 2 คน มาจาก 3 อำเภอของจังหวัดภูเก็ต ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอถลาง อำเภอกะทู้ รวมจำนวน 11 คน ประกอบกับการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร และกลุ่มตัวอย่างประชาชนที่อยู่อาศัยจริงในเขตพื้นที่ศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 400 คน จากจำนวนประชากร 402,017 คน โดยการใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson product-moment correlation coefficient) ควบคู่กับการสำรวจข้อมูลจากการศึกษาค้นคว้าทางเอกสาร
ผลการวิจัยพบว่า 1) พฤติกรรมการบริหารงานคุณภาพการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( =3.192, S.D=0.690) 2) การจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( =3.183, S.D=0.712) 3) การบูรณาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( =3.201, S.D=0.675) 4) ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการบริหารงานคุณภาพกับการบูรณาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ พบว่า พฤติกรรมการบริหารงานคุณภาพมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการบูรณาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 โดยมีค่า r=0.980 (p‹0.01) ซึ่งแสดงว่ามีความสัมพันธ์กันในระดับสูงอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 5) ความสัมพันธ์ระหว่างการจัดการสาธารณภัยกับการบูรณาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ พบว่า การจัดการสาธารณภัยมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการบูรณาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 โดยมีค่า r=0.965 (p‹0.01) ซึ่งแสดงว่ามีความสัมพันธ์กันในระดับสูงอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 6) ปัญหาและอุปสรรคในการบูรณาการจัดการสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตสู่บริบทประเทศไทย 4.0 พบว่า ส่วนใหญ่ประสบปัญหาด้านการประสานงานร่วมกับหน่วยงานใกล้เคียง และภาคส่วนต่างๆ ในการแก้ปัญหาสาธารณภัยยังไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร ร้อยละ 31.5 รองลงมาคือ ด้านการให้ความรู้แก่ประชาชนในการจัดการสาธารณภัยอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ร้อยละ 23.1 ด้านการสร้างจิตสำนึกในการรับผิดชอบร่วมกันในการบริหารจัดการสาธารณภัย ร้อยละ 18.8 ด้านการประชาสัมพันธ์ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ทราบเกี่ยวกับการจัดการสาธารณภัย ร้อยละ 18.0 ด้านการรับฟังความคิดเห็น และการรับฟังปัญหาจากประชาชนก่อนดำเนินการจัดทำแผนป้องกันฯ เพื่อใช้รับมือกับปัญหาสาธารณภัย ร้อยละ 4.8 และด้านอุปกรณ์การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงพอเพื่อใช้ในการสื่อสาร ร้อยละ 3.8 ตามลำดับ ซึ่งข้อมูลและข้อค้นพบที่ได้จากการศึกษาจะนำไปใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุง และพัฒนางานด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของจังหวัดภูเก็ตให้มีประสิทธิผล และประสิทธิภาพต่อไปCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27943 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607988 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-05 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available 32002000607985 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-05 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การบริหารแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าโดยผู้ประกอบการคนไทย ในจังหวัดสมุทรสาคร / กันยา ศรีสวัสดิ์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : การบริหารแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าโดยผู้ประกอบการคนไทย ในจังหวัดสมุทรสาคร Original title : Administration of Myanmarian workers by Thai entrepreneurs in Samutsakhorn Province Material Type: printed text Authors: กันยา ศรีสวัสดิ์, Author ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: viii, 243 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-06
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]แรงงาน -- การบริหาร
[LCSH]แรงงานต่างด้าวพม่า -- ไทย -- สมุทรสาครKeywords: การบริหารแรงงาน,
แรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า,
จังหวัดสมุทรสาครAbstract: การวิจัยเรื่อง การบริหารแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าโดยผู้ประกอบการคนไทยในจังหวัดสมุทรสาครมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าโดยผู้ประกอบการคนไทย ในจังหวัดสมุทรสาคร 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าโดยผู้ประกอบการคนไทย ในจังหวัดสมุทรสาคร 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่มีผลกับการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าโดยผู้ประกอบการคนไทย ในจังหวัดสมุทรสาคร เป็นการวิจัยผสานวิธี (mixed methods methodology approach) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าจำนวน 90,000 คน (ข้อมูลสถิติจำนวนประชากร, 2560) คำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของยามาเน่ (Yamane, 2014) ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ผลการวิจัยพบว่าการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าโดยผู้ประกอบการคนไทยในจังหวัดสมุทรสาคร ในภาพรวมอยู่ในระดับมากในรายข้ออยู่ในระดับมาก ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าโดยผู้ประกอบการคนไทย ในจังหวัดสมุทรสาคร พบว่า ปัจจัยด้านจิตวิทยา มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือปัจจัยด้านสังคมและเศรษฐกิจ นอกจากนี้ผลการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรพบว่าปัจจัยสิ่งแวดล้อม ปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจ ปัจจัยทางด้านจิตวิทยา กับการบริหารแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01 ข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัยการบริหารแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าโดยผู้ประกอบการคนไทย ในจังหวัดสมุทรสาคร ควรมีการกำหนดแผนแม่บทและยุทธศาสตร์ในการบริหารงานแรงงานต่างด้าวให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากในแต่ละพื้นที่มีบริบทที่แตกต่างกันคือ 1) รัฐควรสนับสนุนให้มีการคุ้มครองแรงงานต่างด้าวโดยเฉพาะในเรื่องอัตราค่าจ้างสำหรับแรงงานต่างด้าวที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย 2) รัฐควรมีการจัดการฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าวอย่างทั่วถึง โดยมีมาตรการในแง่ของกฎหมาย Curricular : MPA/DPA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27944 SIU THE-T. การบริหารแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าโดยผู้ประกอบการคนไทย ในจังหวัดสมุทรสาคร = Administration of Myanmarian workers by Thai entrepreneurs in Samutsakhorn Province [printed text] / กันยา ศรีสวัสดิ์, Author ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - viii, 243 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-06
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]แรงงาน -- การบริหาร
[LCSH]แรงงานต่างด้าวพม่า -- ไทย -- สมุทรสาครKeywords: การบริหารแรงงาน,
แรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า,
จังหวัดสมุทรสาครAbstract: การวิจัยเรื่อง การบริหารแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าโดยผู้ประกอบการคนไทยในจังหวัดสมุทรสาครมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าโดยผู้ประกอบการคนไทย ในจังหวัดสมุทรสาคร 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าโดยผู้ประกอบการคนไทย ในจังหวัดสมุทรสาคร 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่มีผลกับการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าโดยผู้ประกอบการคนไทย ในจังหวัดสมุทรสาคร เป็นการวิจัยผสานวิธี (mixed methods methodology approach) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าจำนวน 90,000 คน (ข้อมูลสถิติจำนวนประชากร, 2560) คำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของยามาเน่ (Yamane, 2014) ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ผลการวิจัยพบว่าการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าโดยผู้ประกอบการคนไทยในจังหวัดสมุทรสาคร ในภาพรวมอยู่ในระดับมากในรายข้ออยู่ในระดับมาก ส่วนปัจจัยที่มีผลต่อการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าโดยผู้ประกอบการคนไทย ในจังหวัดสมุทรสาคร พบว่า ปัจจัยด้านจิตวิทยา มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือปัจจัยด้านสังคมและเศรษฐกิจ นอกจากนี้ผลการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรพบว่าปัจจัยสิ่งแวดล้อม ปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจ ปัจจัยทางด้านจิตวิทยา กับการบริหารแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01 ข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัยการบริหารแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าโดยผู้ประกอบการคนไทย ในจังหวัดสมุทรสาคร ควรมีการกำหนดแผนแม่บทและยุทธศาสตร์ในการบริหารงานแรงงานต่างด้าวให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากในแต่ละพื้นที่มีบริบทที่แตกต่างกันคือ 1) รัฐควรสนับสนุนให้มีการคุ้มครองแรงงานต่างด้าวโดยเฉพาะในเรื่องอัตราค่าจ้างสำหรับแรงงานต่างด้าวที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย 2) รัฐควรมีการจัดการฐานข้อมูลแรงงานต่างด้าวอย่างทั่วถึง โดยมีมาตรการในแง่ของกฎหมาย Curricular : MPA/DPA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27944 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607975 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-06 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available 32002000607974 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-06 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. รูปแบบการจัดการท่องเที่ยวชุมชนต้นแบบ จังหวัดลำปาง / รัชฎาภรณ์ ทองแป้น / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : รูปแบบการจัดการท่องเที่ยวชุมชนต้นแบบ จังหวัดลำปาง Original title : Prototype of Community Tourism Management Pattern in Lampang Province Material Type: printed text Authors: รัชฎาภรณ์ ทองแป้น, Author ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: ix, 187 น. Layout: ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-07
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การท่องเที่ยว -- การจัดการ -- ลำปาง
[LCSH]ชุมชนต้นแบบKeywords: รูปแบบการจัดการ,
ชุมชนต้นแบบAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาบริบทของชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบ จังหวัดลำปาง 2) เพื่อศึกษาศักยภาพของชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบ จังหวัดลำปาง 3) เพื่อศึกษาปัจจัยความสำเร็จในการบริหารจัดการชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบ จังหวัดลำปาง
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยผู้วิจัยได้อาศัยวิธีดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการศึกษาเอกสาร และสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลหลักที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ประกอบด้วย ผู้นำชุมชน ชาวบ้าน นักท่องเที่ยวและภาคีที่เกี่ยวข้องกับชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบทั้ง 2 ชุมชน คือชุมชนบ้านป่าเหมี้ยง ตำบลแจ้ซ้อน อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปางจำนวน 15 คน และชุมชนบ้านสามขา ตำบลหัวเสือ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปางจำนวน 15 คน รวมทั้งสิ้น 30 คน รวมทั้งสนทนากลุ่ม ผู้มีส่วนได้เสียในการบริหารจัดการชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบ ประกอบด้วย ผู้นำชุมชนจำนวนบ้านป่าเหมี้ยงจำนวน 3 คน ผู้นำชุมชนจำนวนบ้านสามขาจำนวน 3 คน ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบจำนวน 6 คน และนักท่องเที่ยวจำนวน 6 คน รวมทั้งสิ้น 18 คน หลังจากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ประเด็นจากการสัมภาษณ์ สนทนากลุ่ม และมีการอภิปรายผลการวิจัย
ผลการวิจัยพบว่า
1) บริบทชุมชนท่องเที่ยวจังหวัดลำปางทั้งสองชุมชนมีสภาพภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมคือตั้งอยู่ในสภาพภูมิประเทศที่สวยงาม อากาศดี มีทรัพยากรการท่องเที่ยวที่หลากหลาย ด้านประชากรคนในชุมชนเป็นกลุ่มคนเมืองเหมือนกัน มีภาษา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อเดียวกันจึงทำให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข สภาพสังคมเศรษฐกิจ ชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบเป็นหมู่บ้านที่ยังคงอัตลักษณ์ของชุมชนดั้งเดิมไว้ วิถีชีวิตคนของคนในชุมชนเป็นสังคมแบบเกษตรกรรม รายได้หลักของคนในชุมชนมาจากภาคเกษตรกรรมนอกจากนี้ชุมชนยังมีภูมิปัญญาท้องถิ่น วัฒนธรรมวิถีชีวิตที่โดดเด่นสามารถดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวในชุมชนได้
2) ชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบ จังหวัดลำปางมีศักยภาพในการดำเนินงานด้านการท่องเที่ยว ด้วยบริบทความพร้อมของชุมชนที่มีศักยภาพทั้งด้านทรัพยากรการท่องเที่ยว การเข้าถึงชุมชน สิ่งอำนวยความสะดวก ความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยว และด้านการจัดการท่องเที่ยวจึงทำให้ชุมชนทั้งสองประสบความสำเร็จในการเป็นชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบดังมีรางวัลที่ช่วยการันตีความสำเร็จของชุมชน และยังได้รับคัดเลือกให้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวต้นแบบของจังหวัดลำปางตามโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนต้นแบบเพื่อพัฒนาเชื่อมโยงการท่องเที่ยวภาคเหนือ
3) ปัจจัยความสำเร็จในการบริหารจัดการชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบ จังหวัดลำปาง ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบดังนี้ (1) ชุมชนมีอัตลักษณ์ชุมชนที่โดดเด่น (2) มีกฎระเบียบที่กำหนดไว้เป็นบรรทัดฐานในการอยู่ร่วมกัน (3) การมีส่วนร่วมของชุมชนในทุกขั้นตอนของการพัฒนา (4) ชุมชนมีขนาดเล็ก การบริหารจัดการง่าย (5) ชุมชนมีความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวทั้งด้านที่พัก ที่จอดรถ รวมถึงรูปแบบกิจกรรมการท่องเที่ยว (6) มีการกระจายผลประโยชน์ในชุมชนอย่างเป็นธรรม (7) การเข้าถึงชุมชนได้อย่างสะดวกสบายและมีการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวบริเวณใกล้เคียง (8) ชุมชุนมีทรัพยากรการท่องเที่ยวที่หลากหลายและอุดมสมบูรณ์ (9) แกนนำชุมชนหรือผู้นําชุมชน มีความเข้มแข็งเป็นที่ยอมรับของสมาชิกชุมชน (10) มีภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมเข้ามาให้การสนับสนุน เช่นเรื่องงบประมาณ เรื่องการประชาสัมพันธ์ (11) ชุมชนมีภูมิปัญญาท้องถิ่นให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาเรียนรู้ (12) ชุมชนได้มีการกำหนดรูปแบบกิจกรรมและโปรแกรมการท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวได้เลือกตามความสนใจ (13) ชุมชนมีสิ่งอำนวยความสะดวกไว้รองรับนักท่องเที่ยวอย่างเพียงพอ ซึ่งข้อมูลและข้อค้นพบจากการศึกษา พบว่า ชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบทั้งสองชุมชนเป็นชุมชนที่มีการพัฒนามาเป็นระยะเวลานานทำให้ชุมชนประสบความสำเร็จในด้านการท่องเที่ยว การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบ ชุมชน หน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามาทำงานร่วมกับชุมชน ต้องมองถึงศักยภาพของชุมชน คนในชุมชนต้องมีส่วนร่วมกันอนุรักษ์อัตลักษณ์ของชุมชนและภูมิปัญญาท้องถิ่นCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27945 SIU THE-T. รูปแบบการจัดการท่องเที่ยวชุมชนต้นแบบ จังหวัดลำปาง = Prototype of Community Tourism Management Pattern in Lampang Province [printed text] / รัชฎาภรณ์ ทองแป้น, Author ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - ix, 187 น. : ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-07
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การท่องเที่ยว -- การจัดการ -- ลำปาง
[LCSH]ชุมชนต้นแบบKeywords: รูปแบบการจัดการ,
ชุมชนต้นแบบAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาบริบทของชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบ จังหวัดลำปาง 2) เพื่อศึกษาศักยภาพของชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบ จังหวัดลำปาง 3) เพื่อศึกษาปัจจัยความสำเร็จในการบริหารจัดการชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบ จังหวัดลำปาง
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยผู้วิจัยได้อาศัยวิธีดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพโดยการศึกษาเอกสาร และสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลหลักที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ประกอบด้วย ผู้นำชุมชน ชาวบ้าน นักท่องเที่ยวและภาคีที่เกี่ยวข้องกับชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบทั้ง 2 ชุมชน คือชุมชนบ้านป่าเหมี้ยง ตำบลแจ้ซ้อน อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปางจำนวน 15 คน และชุมชนบ้านสามขา ตำบลหัวเสือ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปางจำนวน 15 คน รวมทั้งสิ้น 30 คน รวมทั้งสนทนากลุ่ม ผู้มีส่วนได้เสียในการบริหารจัดการชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบ ประกอบด้วย ผู้นำชุมชนจำนวนบ้านป่าเหมี้ยงจำนวน 3 คน ผู้นำชุมชนจำนวนบ้านสามขาจำนวน 3 คน ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบจำนวน 6 คน และนักท่องเที่ยวจำนวน 6 คน รวมทั้งสิ้น 18 คน หลังจากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ประเด็นจากการสัมภาษณ์ สนทนากลุ่ม และมีการอภิปรายผลการวิจัย
ผลการวิจัยพบว่า
1) บริบทชุมชนท่องเที่ยวจังหวัดลำปางทั้งสองชุมชนมีสภาพภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมคือตั้งอยู่ในสภาพภูมิประเทศที่สวยงาม อากาศดี มีทรัพยากรการท่องเที่ยวที่หลากหลาย ด้านประชากรคนในชุมชนเป็นกลุ่มคนเมืองเหมือนกัน มีภาษา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อเดียวกันจึงทำให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข สภาพสังคมเศรษฐกิจ ชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบเป็นหมู่บ้านที่ยังคงอัตลักษณ์ของชุมชนดั้งเดิมไว้ วิถีชีวิตคนของคนในชุมชนเป็นสังคมแบบเกษตรกรรม รายได้หลักของคนในชุมชนมาจากภาคเกษตรกรรมนอกจากนี้ชุมชนยังมีภูมิปัญญาท้องถิ่น วัฒนธรรมวิถีชีวิตที่โดดเด่นสามารถดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวในชุมชนได้
2) ชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบ จังหวัดลำปางมีศักยภาพในการดำเนินงานด้านการท่องเที่ยว ด้วยบริบทความพร้อมของชุมชนที่มีศักยภาพทั้งด้านทรัพยากรการท่องเที่ยว การเข้าถึงชุมชน สิ่งอำนวยความสะดวก ความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยว และด้านการจัดการท่องเที่ยวจึงทำให้ชุมชนทั้งสองประสบความสำเร็จในการเป็นชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบดังมีรางวัลที่ช่วยการันตีความสำเร็จของชุมชน และยังได้รับคัดเลือกให้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวต้นแบบของจังหวัดลำปางตามโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนต้นแบบเพื่อพัฒนาเชื่อมโยงการท่องเที่ยวภาคเหนือ
3) ปัจจัยความสำเร็จในการบริหารจัดการชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบ จังหวัดลำปาง ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบดังนี้ (1) ชุมชนมีอัตลักษณ์ชุมชนที่โดดเด่น (2) มีกฎระเบียบที่กำหนดไว้เป็นบรรทัดฐานในการอยู่ร่วมกัน (3) การมีส่วนร่วมของชุมชนในทุกขั้นตอนของการพัฒนา (4) ชุมชนมีขนาดเล็ก การบริหารจัดการง่าย (5) ชุมชนมีความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวทั้งด้านที่พัก ที่จอดรถ รวมถึงรูปแบบกิจกรรมการท่องเที่ยว (6) มีการกระจายผลประโยชน์ในชุมชนอย่างเป็นธรรม (7) การเข้าถึงชุมชนได้อย่างสะดวกสบายและมีการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวบริเวณใกล้เคียง (8) ชุมชุนมีทรัพยากรการท่องเที่ยวที่หลากหลายและอุดมสมบูรณ์ (9) แกนนำชุมชนหรือผู้นําชุมชน มีความเข้มแข็งเป็นที่ยอมรับของสมาชิกชุมชน (10) มีภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมเข้ามาให้การสนับสนุน เช่นเรื่องงบประมาณ เรื่องการประชาสัมพันธ์ (11) ชุมชนมีภูมิปัญญาท้องถิ่นให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาเรียนรู้ (12) ชุมชนได้มีการกำหนดรูปแบบกิจกรรมและโปรแกรมการท่องเที่ยวให้นักท่องเที่ยวได้เลือกตามความสนใจ (13) ชุมชนมีสิ่งอำนวยความสะดวกไว้รองรับนักท่องเที่ยวอย่างเพียงพอ ซึ่งข้อมูลและข้อค้นพบจากการศึกษา พบว่า ชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบทั้งสองชุมชนเป็นชุมชนที่มีการพัฒนามาเป็นระยะเวลานานทำให้ชุมชนประสบความสำเร็จในด้านการท่องเที่ยว การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบ ชุมชน หน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามาทำงานร่วมกับชุมชน ต้องมองถึงศักยภาพของชุมชน คนในชุมชนต้องมีส่วนร่วมกันอนุรักษ์อัตลักษณ์ของชุมชนและภูมิปัญญาท้องถิ่นCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27945 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607973 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-07 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available 32002000607972 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-07 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของรูปแบบการปราบปรามยาเสพติดในเขตภาคเหนือตอนบน / ธานี ตันจันทร์กูล / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของรูปแบบการปราบปรามยาเสพติดในเขตภาคเหนือตอนบน Original title : Influencing Factors Upon the Achievement of Narcotic Prevention and Suppression Pattern in the Upper Northern Thailand Material Type: printed text Authors: ธานี ตันจันทร์กูล, Author ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: viii, 194 น. Layout: ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-08
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ยาเสพติด -- การป้องกัน -- ภาคเหนือ Keywords: การปราบปรามยาเสพติด,
ภาคเหนือตอนบนAbstract: งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสถานการณ์เกี่ยวกับยาเสพติดในเขตภาคเหนือตอนบน 2) ศึกษารูปแบบการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในเขตภาคเหนือตอนบน 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของรูปแบบการปราบปรามยาเสพติดในเขตภาคเหนือตอนบน และ 4) เพื่อศึกษารูปแบบการปราบปรามยาเสพติดที่ประสบความสำเร็จในเขตภาคเหนือตอนบน
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยผู้วิจัยได้อาศัยวิธีดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพโดยศึกษาเอกสาร และสัมภาษณ์เชิงลึกเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 4 นาย และ ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จำนวน 4 คน และสนทนากลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่และมีความรับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจำนวน 6 นาย และการสนทนากลุ่มผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดจำนวน 6 คน รวมทั้งสิ้น 20 คน ใช้การสังเกตการณ์ควบคู่ไปกับการลงพื้นที่เก็บข้อมูล หลังจากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ประเด็นจากการสัมภาษณ์รวมถึงการสนทนากลุ่ม และมีการอภิปรายผลการวิจัย
ผลการวิจัยพบว่า
1) สถานการณ์ยาเสพติดรุนแรงขึ้นทุกด้าน ทั้งด้านการผลิตที่สามารถผลิตได้มากขึ้นเพราะมีเครื่องมือที่ทันสมัยและแหล่งผลิตรายใหญ่อยู่บริเวณรัฐฉาน สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่าและบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ สถานการณ์ด้านลักลอบนำเข้ายาเสพติดกลุ่มคนที่ลักลอบนำเข้ายาเสพติดเข้าสู่ประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มชนเผ่า ที่อาศัยอยู่ตามแนวตะเข็บชายแดนในภาคเหนือมีทั้งในระดับสั่งการและลำเลียงนำเข้ายาเสพติดเข้าสู่ประเทศไทยมีทั้งหมดหกกลุ่มคือกลุ่มมูเซอ กลุ่มลีซอ กลุ่มจีนฮ่อ กลุ่มอาข่า กลุ่มม้งและกลุ่มว้า สถานการณ์ ด้านการรับพักยาเสพติดแหล่งพักยาแหล่งใหญ่ ก่อนนำเข้าสู่ชายแดนประเทศไทย ก็จะมีแหล่งพักยาเสพติดอยู่ที่ สปป. ลาว ได้แก่แหล่งพักคอยคิงส์โรมัน เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป. ลาว และเมื่อเข้ามายังพื้นที่ชายแดนประเทศไทย จะเก็บพักในบ้าน หรือโกดังขนาดใหญ่ในชายแดนไทย สถานการณ์ด้านการขายยาเสพติดกลุ่มที่นักค้ายารายใหญ่ในภาคเหนือตอนบนมีหลายกลุ่ม กลุ่มหลัก คือ กลุ่มพันโทจะลอโบ่ บ้านแม่ฟ้าหลวง กลุ่มพันโทยี่เซและกลุ่มว้า สำหรับสถานณ์การเสพยาเสพติดที่มีการนิยมเสพยาเสพติดมากที่สุดคือยาบ้า โดยกลุ่มผู้เสพยาเสพติดมากที่สุดคือกลุ่มผู้ใช้แรงงาน
2) รูปแบบการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในเขตภาคเหนือตอนบน มีหลากหลายวิธีซึ่งผู้กระทำความผิดจะปรับเปลี่ยนและคิดค้นหาวิธีใหม่เสมอเพื่อหลบเลี่ยงการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของรูปแบบการปราบปรามยาเสพติด ในเขตภาคเหนือตอนบน ได้แก่ (1) นโยบาย (2) การบังคับใช้กฎหมาย เนื่องจากยาเสพติดเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ดังนั้น กฎหมาย ข้อบังคับหรือมาตรการทางสังคม จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถนำมาใช้ในการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดได้ในกรณีที่มีความจำเป็น (3) งบประมาณ (4) การจัดการแบบองค์รวม (5) การมีประสบการณ์ (6) เทคโนโลยี (7) ทีมงาน (8) การถ่ายทอดหรือส่งต่อความรู้ (9) ภาคีเครือข่ายที่ต้องทำงาน (10) สายลับหรือสายข่าว ร่วมกัน ที่คอยสอดส่องเป็นหูเป็นตาและแจ้งเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ (11) การสร้างขวัญและกำลังใจ ในการทำงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อการปราบปรามยาเสพติดในเขตภาคเหนือตอนบนทั้งสิ้นCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27946 SIU THE-T. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของรูปแบบการปราบปรามยาเสพติดในเขตภาคเหนือตอนบน = Influencing Factors Upon the Achievement of Narcotic Prevention and Suppression Pattern in the Upper Northern Thailand [printed text] / ธานี ตันจันทร์กูล, Author ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - viii, 194 น. : ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-08
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ยาเสพติด -- การป้องกัน -- ภาคเหนือ Keywords: การปราบปรามยาเสพติด,
ภาคเหนือตอนบนAbstract: งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสถานการณ์เกี่ยวกับยาเสพติดในเขตภาคเหนือตอนบน 2) ศึกษารูปแบบการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในเขตภาคเหนือตอนบน 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของรูปแบบการปราบปรามยาเสพติดในเขตภาคเหนือตอนบน และ 4) เพื่อศึกษารูปแบบการปราบปรามยาเสพติดที่ประสบความสำเร็จในเขตภาคเหนือตอนบน
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยผู้วิจัยได้อาศัยวิธีดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพโดยศึกษาเอกสาร และสัมภาษณ์เชิงลึกเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวน 4 นาย และ ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จำนวน 4 คน และสนทนากลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่และมีความรับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจำนวน 6 นาย และการสนทนากลุ่มผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดจำนวน 6 คน รวมทั้งสิ้น 20 คน ใช้การสังเกตการณ์ควบคู่ไปกับการลงพื้นที่เก็บข้อมูล หลังจากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ประเด็นจากการสัมภาษณ์รวมถึงการสนทนากลุ่ม และมีการอภิปรายผลการวิจัย
ผลการวิจัยพบว่า
1) สถานการณ์ยาเสพติดรุนแรงขึ้นทุกด้าน ทั้งด้านการผลิตที่สามารถผลิตได้มากขึ้นเพราะมีเครื่องมือที่ทันสมัยและแหล่งผลิตรายใหญ่อยู่บริเวณรัฐฉาน สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่าและบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ สถานการณ์ด้านลักลอบนำเข้ายาเสพติดกลุ่มคนที่ลักลอบนำเข้ายาเสพติดเข้าสู่ประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มชนเผ่า ที่อาศัยอยู่ตามแนวตะเข็บชายแดนในภาคเหนือมีทั้งในระดับสั่งการและลำเลียงนำเข้ายาเสพติดเข้าสู่ประเทศไทยมีทั้งหมดหกกลุ่มคือกลุ่มมูเซอ กลุ่มลีซอ กลุ่มจีนฮ่อ กลุ่มอาข่า กลุ่มม้งและกลุ่มว้า สถานการณ์ ด้านการรับพักยาเสพติดแหล่งพักยาแหล่งใหญ่ ก่อนนำเข้าสู่ชายแดนประเทศไทย ก็จะมีแหล่งพักยาเสพติดอยู่ที่ สปป. ลาว ได้แก่แหล่งพักคอยคิงส์โรมัน เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป. ลาว และเมื่อเข้ามายังพื้นที่ชายแดนประเทศไทย จะเก็บพักในบ้าน หรือโกดังขนาดใหญ่ในชายแดนไทย สถานการณ์ด้านการขายยาเสพติดกลุ่มที่นักค้ายารายใหญ่ในภาคเหนือตอนบนมีหลายกลุ่ม กลุ่มหลัก คือ กลุ่มพันโทจะลอโบ่ บ้านแม่ฟ้าหลวง กลุ่มพันโทยี่เซและกลุ่มว้า สำหรับสถานณ์การเสพยาเสพติดที่มีการนิยมเสพยาเสพติดมากที่สุดคือยาบ้า โดยกลุ่มผู้เสพยาเสพติดมากที่สุดคือกลุ่มผู้ใช้แรงงาน
2) รูปแบบการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในเขตภาคเหนือตอนบน มีหลากหลายวิธีซึ่งผู้กระทำความผิดจะปรับเปลี่ยนและคิดค้นหาวิธีใหม่เสมอเพื่อหลบเลี่ยงการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของรูปแบบการปราบปรามยาเสพติด ในเขตภาคเหนือตอนบน ได้แก่ (1) นโยบาย (2) การบังคับใช้กฎหมาย เนื่องจากยาเสพติดเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ดังนั้น กฎหมาย ข้อบังคับหรือมาตรการทางสังคม จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถนำมาใช้ในการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดได้ในกรณีที่มีความจำเป็น (3) งบประมาณ (4) การจัดการแบบองค์รวม (5) การมีประสบการณ์ (6) เทคโนโลยี (7) ทีมงาน (8) การถ่ายทอดหรือส่งต่อความรู้ (9) ภาคีเครือข่ายที่ต้องทำงาน (10) สายลับหรือสายข่าว ร่วมกัน ที่คอยสอดส่องเป็นหูเป็นตาและแจ้งเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ (11) การสร้างขวัญและกำลังใจ ในการทำงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อการปราบปรามยาเสพติดในเขตภาคเหนือตอนบนทั้งสิ้นCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27946 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607969 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-08 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available 32002000607971 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-08 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครปฐม / ศรีสุดา มีชำนาญ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครปฐม Original title : Development of the Quality of Life for the Elderly In the Local Administrative Organizations In the Nakhonpathom Province Material Type: printed text Authors: ศรีสุดา มีชำนาญ, Author Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: xi, 153 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-10
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]คุณภาพชีวิต -- การพัฒนา
[LCSH]ผู้สูงอายุ -- คุณภาพชีวิต -- นครปฐมKeywords: การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ,
คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ,
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นAbstract: การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครปฐม 2) ศึกษาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครปฐม 3) เปรียบเทียบการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครปฐม จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 4) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุกับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดนครปฐม และ 5) เสนอแนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครปฐม ผู้วิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้สูงอายุ จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้บริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอละ 3 แห่ง รวมทั้งสิ้น 21 คน ใช้การสัมภาษณ์เจาะลึกบุคคลแบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัย พบว่า การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครปฐมโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้ ด้านสภาพแวดล้อมทางสังคม ด้านสมรรถนะของหน่วยงาน ด้านความชัดเจนในเป้าหมายและวัตถุประสงค์ ด้านความพร้อมด้านทรัพยากร และด้านความร่วมมือและสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้ ด้านการบริหารจัดการระบบพัฒนาคุณภาพชีวิต ด้านการอยู่ร่วมกันและการเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านองค์กรด้านผู้สูงอายุ ด้านสุขภาพอนามัย และด้านการส่งเสริมอาชีพหรือรายได้ของผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา และรายได้ต่อเดือนต่างกันมีความคิดเห็นต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครปฐมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนอาชีพ ไม่พบความแตกต่างกัน
การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครปฐมด้านความพร้อมด้านทรัพยากร ด้านความร่วมมือและการสนับสนุนจากหน่วยที่เกี่ยวข้อง ด้านสภาพแวดล้อมทางสังคม และด้านความชัดเจนในเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของนโยบายสามารถร่วมกันทำนายคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครปฐม ได้ร้อยละ 69.2
แนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในจังหวัดนครปฐม ได้แก่ 1) ขับเคลื่อนการดำเนินงานระบบส่งเสริมสุขภาพดูแลผู้สูงอายุระยะยาวเพื่อการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะติดบ้านและติดเตียง 2) จัดตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุเพื่อให้กลุ่มผู้สูงอายุที่ติดสังคมได้มีกิจกรรมร่วมกัน 3) จัดตั้งกองทุนผู้สูงอายุเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ และ 4) การมอบหมายให้มีหน่วยงานภายในขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ดูแลรับผิดชอบงานผู้สูงอายุโดยตรง เช่น กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมและกองสวัสดิการสังคม
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครปฐม ได้แก่ 1) จัดให้มีจำนวนบุคลากรที่เพียงพอในการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ 2) สร้างความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับผู้นำท้องที่ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ 3) ให้ความสำคัญกับการศึกษาสภาพสังคมและวิถีการดำรงชีวิตของคนในพื้นที่ และ 4) กำหนดเป้าหมายในการปฏิบัติงานด้านผู้สูงอายุให้มีความสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในระดับชาติCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27947 SIU THE-T. การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครปฐม = Development of the Quality of Life for the Elderly In the Local Administrative Organizations In the Nakhonpathom Province [printed text] / ศรีสุดา มีชำนาญ, Author . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - xi, 153 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-10
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]คุณภาพชีวิต -- การพัฒนา
[LCSH]ผู้สูงอายุ -- คุณภาพชีวิต -- นครปฐมKeywords: การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ,
คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ,
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นAbstract: การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครปฐม 2) ศึกษาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครปฐม 3) เปรียบเทียบการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครปฐม จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 4) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุกับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดนครปฐม และ 5) เสนอแนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครปฐม ผู้วิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้สูงอายุ จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้บริหารขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอละ 3 แห่ง รวมทั้งสิ้น 21 คน ใช้การสัมภาษณ์เจาะลึกบุคคลแบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัย พบว่า การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครปฐมโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้ ด้านสภาพแวดล้อมทางสังคม ด้านสมรรถนะของหน่วยงาน ด้านความชัดเจนในเป้าหมายและวัตถุประสงค์ ด้านความพร้อมด้านทรัพยากร และด้านความร่วมมือและสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยดังนี้ ด้านการบริหารจัดการระบบพัฒนาคุณภาพชีวิต ด้านการอยู่ร่วมกันและการเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านองค์กรด้านผู้สูงอายุ ด้านสุขภาพอนามัย และด้านการส่งเสริมอาชีพหรือรายได้ของผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา และรายได้ต่อเดือนต่างกันมีความคิดเห็นต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครปฐมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนอาชีพ ไม่พบความแตกต่างกัน
การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครปฐมด้านความพร้อมด้านทรัพยากร ด้านความร่วมมือและการสนับสนุนจากหน่วยที่เกี่ยวข้อง ด้านสภาพแวดล้อมทางสังคม และด้านความชัดเจนในเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของนโยบายสามารถร่วมกันทำนายคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครปฐม ได้ร้อยละ 69.2
แนวทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในจังหวัดนครปฐม ได้แก่ 1) ขับเคลื่อนการดำเนินงานระบบส่งเสริมสุขภาพดูแลผู้สูงอายุระยะยาวเพื่อการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะติดบ้านและติดเตียง 2) จัดตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุเพื่อให้กลุ่มผู้สูงอายุที่ติดสังคมได้มีกิจกรรมร่วมกัน 3) จัดตั้งกองทุนผู้สูงอายุเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ และ 4) การมอบหมายให้มีหน่วยงานภายในขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ดูแลรับผิดชอบงานผู้สูงอายุโดยตรง เช่น กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมและกองสวัสดิการสังคม
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดนครปฐม ได้แก่ 1) จัดให้มีจำนวนบุคลากรที่เพียงพอในการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ 2) สร้างความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับผู้นำท้องที่ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ 3) ให้ความสำคัญกับการศึกษาสภาพสังคมและวิถีการดำรงชีวิตของคนในพื้นที่ และ 4) กำหนดเป้าหมายในการปฏิบัติงานด้านผู้สูงอายุให้มีความสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในระดับชาติCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27947 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607966 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-10 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available 32002000607963 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-10 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การบริหารงานคุณภาพของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดลำปาง / ณัฐชัย อินทราย / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : การบริหารงานคุณภาพของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดลำปาง Original title : Quality Management of Local Government Administrators in Lampang Province Material Type: printed text Authors: ณัฐชัย อินทราย, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: vii, 122 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-11
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น -- การบริหาร -- ลำปาง Keywords: การบริหารงานคุณภาพ,
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) คุณลักษณะของผู้บริการ พฤติกรรมการบริหารงานคุณภาพของผู้บริหาร และประสิทธิผลการบริหารงานของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดลำปาง (2) อิทธิพลของคุณลักษณะผู้บริหารและพฤติกรรมการบริหารงานคุณภาพของผู้บริหารต่อประสิทธิผลการบริหารงานของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดลำปาง และ (3) เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดลำปาง
การศึกษาครั้งนี้ ใช้วิธีการวิจัยแบบผสานวิธี ประชากร ประกอบด้วย (1) การวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรในการศึกษาวิจัย คือ บุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดลำปาง ที่ปฏิบัติงานอยู่ในปี พ.ศ. 2561 สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดลำปาง จำนวน 103 แห่ง รวมทั้งสิ้น 6,668 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ความคลาดเคลื่อน 5% ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 416 คน (2) การวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยได้เลือกผู้ให้ข้อมูลแบบเจาะจง เพื่อทำการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 12 คน
ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณลักษณะของผู้บริหาร พฤติกรรมการบริหารงานคุณภาพของผู้บริหาร และประสิทธผลการบริหารงานของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดลำปาง
อยู่ในระดับมาก ระดับปานกลาง และระดับปานกลาง ตามลำดับ 2) คุณลักษณะของผู้บริหารและพฤติกรรมการบริหารงานคุณภาพของผู้บริหารมีอิทธิพลทางบวกต่อประสิทธิผลการบริหารงานของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ 3) ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดลำปาง คือ ด้านทิศทางและการกำหนดนโยบาย ด้านการจัดการ
ด้านการเงินและงบประมาณ ด้านการจัดการเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง ด้านการติดตามและควบคุมงาน และด้านการประเมินและการจัดทำรายงานCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27948 SIU THE-T. การบริหารงานคุณภาพของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดลำปาง = Quality Management of Local Government Administrators in Lampang Province [printed text] / ณัฐชัย อินทราย, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - vii, 122 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-11
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น -- การบริหาร -- ลำปาง Keywords: การบริหารงานคุณภาพ,
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) คุณลักษณะของผู้บริการ พฤติกรรมการบริหารงานคุณภาพของผู้บริหาร และประสิทธิผลการบริหารงานของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดลำปาง (2) อิทธิพลของคุณลักษณะผู้บริหารและพฤติกรรมการบริหารงานคุณภาพของผู้บริหารต่อประสิทธิผลการบริหารงานของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดลำปาง และ (3) เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดลำปาง
การศึกษาครั้งนี้ ใช้วิธีการวิจัยแบบผสานวิธี ประชากร ประกอบด้วย (1) การวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรในการศึกษาวิจัย คือ บุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดลำปาง ที่ปฏิบัติงานอยู่ในปี พ.ศ. 2561 สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดลำปาง จำนวน 103 แห่ง รวมทั้งสิ้น 6,668 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ความคลาดเคลื่อน 5% ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 416 คน (2) การวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยได้เลือกผู้ให้ข้อมูลแบบเจาะจง เพื่อทำการสัมภาษณ์เชิงลึก จำนวน 12 คน
ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณลักษณะของผู้บริหาร พฤติกรรมการบริหารงานคุณภาพของผู้บริหาร และประสิทธผลการบริหารงานของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดลำปาง
อยู่ในระดับมาก ระดับปานกลาง และระดับปานกลาง ตามลำดับ 2) คุณลักษณะของผู้บริหารและพฤติกรรมการบริหารงานคุณภาพของผู้บริหารมีอิทธิพลทางบวกต่อประสิทธิผลการบริหารงานของผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ 3) ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดลำปาง คือ ด้านทิศทางและการกำหนดนโยบาย ด้านการจัดการ
ด้านการเงินและงบประมาณ ด้านการจัดการเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง ด้านการติดตามและควบคุมงาน และด้านการประเมินและการจัดทำรายงานCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27948 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607970 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-11 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available 32002000607968 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-11 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง / นริดา อินนาค
Collection Title: SIU THE-T Title : การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง Original title : Quality of Life Development of the Elderly at Lampang Province Material Type: printed text Authors: นริดา อินนาค, Author Pagination: xi, 154 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-12
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]คุณภาพชีวิต -- การพัฒนา
[LCSH]คุณภาพชีวิต -- ผู้สูงอายุ -- ลำปางKeywords: การพัฒนา, คุณภาพชีวิต, ผู้สูงอายุ Abstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อประสิทธิผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง และ 4) เพื่อศึกษาปัญหา อุปสรรค และความต้องการของผู้สูงอายุเพื่อประสิทธิผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง ระเบียบวิธีวิจัยเป็นแบบผสานวิธี ประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณ โดยการวิจัยเชิงสำรวจ เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากผู้สูงอายุที่อาศัยในจังหวัดลำปาง จำนวน 400 คน เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถาม เป็นคำถามปลายปิด สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และค่าการถดถอยเชิงพหุคูณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์ เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูล จำนวน 20 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณา
ผลการวิจัยพบว่า
1) ประสิทธิผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการศึกษาเรียนรู้ตลอดชีวิต มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านสุขภาพและอนามัยผู้สูงอายุ และด้านส่งเสริมการมีงานทำและความมั่นคงทางรายได้ ตามลำดับ 2) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อประสิทธิผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง พบว่า ตัวแปรอิสระทั้ง 4 มีความสัมพันธ์ทางบวกกับประสิทธิผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง เมื่อพิจารณาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เรียงจากมากไปหาน้อย พบว่า ปัจจัยการสนับสนุนจากครอบครัวผู้สูงอายุ มีความสัมพันธ์ในระดับมาก รองลงมาปัจจัยการสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความสัมพันธ์ในระดับมาก อันดับที่สามปัจจัยการสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง มีความสัมพันธ์ในระดับปานกลาง และปัจจัยการสนับสุนจากชุมชนและสังคมมีความสัมพันธ์ระดับต่ำ ตามลำดับ
3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง ประกอบด้วย 4 ปัจจัย คือ ปัจจัยการสนับสนุนจากครอบครัวผู้สูงอายุปัจจัยการสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปัจจัยการสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง และปัจจัยการสนับสนุนจากชุมชนและสังคม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 สามารถพยากรณ์ประสิทธิผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุได้รัอยละ 72.70 ในเชิงบวก
4) ปัญหา อุปสรรค และความต้องการของผู้สูงอายุเพื่อประสิทธิผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง คือ การสนับสนุนให้ผู้สูงอายุระยะต้น ให้ทำงานตามความถนัดของตนเอง การปรับปรุงนโยบายด้านสาธารณสุข การบริการทางการแพทย์ การอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ สำหรับผู้สูงอายุ และผู้สูงอายุต้องการได้รับเบี้ยยังชีพเพิ่มขึ้นเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตตนเองให้ดีขึ้นCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27949 SIU THE-T. การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง = Quality of Life Development of the Elderly at Lampang Province [printed text] / นริดา อินนาค, Author . - [s.d.] . - xi, 154 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-12
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]คุณภาพชีวิต -- การพัฒนา
[LCSH]คุณภาพชีวิต -- ผู้สูงอายุ -- ลำปางKeywords: การพัฒนา, คุณภาพชีวิต, ผู้สูงอายุ Abstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาระดับประสิทธิผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อประสิทธิผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง และ 4) เพื่อศึกษาปัญหา อุปสรรค และความต้องการของผู้สูงอายุเพื่อประสิทธิผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง ระเบียบวิธีวิจัยเป็นแบบผสานวิธี ประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณ โดยการวิจัยเชิงสำรวจ เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากผู้สูงอายุที่อาศัยในจังหวัดลำปาง จำนวน 400 คน เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถาม เป็นคำถามปลายปิด สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และค่าการถดถอยเชิงพหุคูณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์ เชิงลึก ผู้ให้ข้อมูล จำนวน 20 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณา
ผลการวิจัยพบว่า
1) ประสิทธิผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการศึกษาเรียนรู้ตลอดชีวิต มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมา คือ ด้านสุขภาพและอนามัยผู้สูงอายุ และด้านส่งเสริมการมีงานทำและความมั่นคงทางรายได้ ตามลำดับ 2) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อประสิทธิผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง พบว่า ตัวแปรอิสระทั้ง 4 มีความสัมพันธ์ทางบวกกับประสิทธิผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง เมื่อพิจารณาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เรียงจากมากไปหาน้อย พบว่า ปัจจัยการสนับสนุนจากครอบครัวผู้สูงอายุ มีความสัมพันธ์ในระดับมาก รองลงมาปัจจัยการสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความสัมพันธ์ในระดับมาก อันดับที่สามปัจจัยการสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง มีความสัมพันธ์ในระดับปานกลาง และปัจจัยการสนับสุนจากชุมชนและสังคมมีความสัมพันธ์ระดับต่ำ ตามลำดับ
3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง ประกอบด้วย 4 ปัจจัย คือ ปัจจัยการสนับสนุนจากครอบครัวผู้สูงอายุปัจจัยการสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปัจจัยการสนับสนุนจากรัฐบาลกลาง และปัจจัยการสนับสนุนจากชุมชนและสังคม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 สามารถพยากรณ์ประสิทธิผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุได้รัอยละ 72.70 ในเชิงบวก
4) ปัญหา อุปสรรค และความต้องการของผู้สูงอายุเพื่อประสิทธิผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในจังหวัดลำปาง คือ การสนับสนุนให้ผู้สูงอายุระยะต้น ให้ทำงานตามความถนัดของตนเอง การปรับปรุงนโยบายด้านสาธารณสุข การบริการทางการแพทย์ การอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ สำหรับผู้สูงอายุ และผู้สูงอายุต้องการได้รับเบี้ยยังชีพเพิ่มขึ้นเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตตนเองให้ดีขึ้นCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27949 SIU THE-T. การประเมินความสำเร็จตามโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดฉะเชิงเทรา / ศิรพงศ์ โภคินวงศ์หิรัญ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : การประเมินความสำเร็จตามโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดฉะเชิงเทรา Original title : Assessing the Success of the Newborn Child care subsidy Program of the Local Government Organization in Chachoengsao Province Material Type: printed text Authors: ศิรพงศ์ โภคินวงศ์หิรัญ, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: xii, 193 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-09
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ความสำเร็จ
[LCSH]องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น -- ฉะเชิงเทรา
[LCSH]เงินอุดหนุนKeywords: การนำนโยบายสู่การปฏิบัติ, เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น Abstract: การวิจัยเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการปฏิบัติโครงการและปัจจัยเชิงนโยบายโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด 2) เพื่อศึกษาความสำเร็จของสภาพการปฏิบัติโครงการและปัจจัยเชิงนโยบายโครงการ ที่ส่งผลต่อโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดไปปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดฉะเชิงเทรา การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้แบบผสานวิธี (Mixed-methods Research) โดยใช้การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยเก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม โดยการสุ่มจากผู้ปฏิบัติงาน คือพนักงานท้องถิ่น และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ได้กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 400 คน สถิติใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการปฏิบัติโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้ง 4 ด้าน โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก 2. ปัจจัยเชิงนโยบายโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดไปปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง 6 ด้าน โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก และ ระดับความสำเร็จในการนำนโยบายโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดไปปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้ง 2 ด้าน โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก จากการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการนำนโยบายโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดไปปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ ด้านนโยบายของรัฐ (x1), ด้านการบริหาร(x4), ด้านกฎหมาย(x2), ด้านวิถีชีวิต(x3),สามารถอธิบายความผันแปรของความสำเร็จในการนำนโยบายไปปฏิบัติ ได้ร้อยละ 78 (R = 0.78) และด้านการนำระเบียบไปปฏิบัติ(x8) ด้านการบูรณาการการทำงาน(x10) ด้านการให้ความรู้ความเข้าใจ(x7) ด้านการตรวจสอบโครงการ(x9) และด้านการนำนโยบายไปปฏิบัติ (x6) สามารถอธิบายความผันแปรของความสำเร็จในการนำนโยบายไปปฏิบัติ ได้ร้อยละ 52 (R = 0.52) ส่งผลต่อความสำเร็จในการนำนโยบายโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดไปปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดฉะเชิงเทรา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สมมติฐาน ยอมรับได้
ความสำเร็จในการนำนโยบายโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดไปปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1) ด้านความพึงพอใจของประชาชน คือขั้นตอนเป็นไปตามที่ระเบียบกำหนด ความสะดวกรวดเร็วในการให้บริการแต่ละขั้นตอน ความเป็นธรรมของการบริการ เช่น เรียงตามลำดับก่อนหลัง มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน แบบฟอร์มมีความชัดเจน และมีตัวอย่างการกรอกแบบฟอร์มหรือคำร้อง เจ้าหน้าที่มีความรู้ ความสามารถในการให้บริการ ช่วยแก้ปัญหาได้ และเอาใจใส่ กระตือรือร้น และความพร้อมในการให้บริการ มีช่องทางการรับฟังความคิดเห็นต่อการให้บริการ เช่น ตู้รับฟังความคิดเห็น เว็บไซต์มีการประชาสัมพันธ์การให้บริการ เช่น แผ่นพับ ป้ายประชาสัมพันธ์ มีสื่อประชาสัมพันธ์/คู่มือและเอกสารให้ความรู้ โดยจัดให้มีสายด่วน ในการสอบถามข้อมูล มีการการแจ้งแผนผังขั้นตอนและผู้ให้บริการ การจัดทำป้ายข้อความ ป้ายประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการให้บริการมีความชัดเจน เข้าใจง่าย มีการใช้วัสดุ อุปกรณ์สำหรับการให้บริการมีความทันสมัย การให้บริการเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด และข้อที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ เจ้าหน้าที่ให้บริการต่อผู้รับบริการเหมือนกันทุกราย โดยไม่เลือกปฏิบัติ 2) ด้านการสร้างทุนมนุษย์ที่ยั่งยืน นั้นเป็นการลงทุนในทุนมนุษย์ที่จะช่วยบำรุงรักษาคุณค่าและเพิ่มค่าทุนมนุษย์ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดสรรทรัพยากร และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และความเป็นธรรมในการกระจายรายได้ นโยบายนี้เป็นการสร้างทุนมนุษย์และมีความสำคัญต่อกำลังคนมาก โครงการเกิดผลดีต่อสังคมในด้านการช่วยเพิ่มคุณภาพให้กับทุนมนุษย์ และสามารถประเมินค่าทางเศรษฐกิจด้านต้นทุนได้ในอนาคต ทำให้โครงการนี้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณชนอย่างมากโดยวัดค่าเป็นตัวเงินไม่ได้เพราะเกิดประโยชน์กับระบบเศรษฐกิจ สังคม ที่มีคุณภาพCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27957 SIU THE-T. การประเมินความสำเร็จตามโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดฉะเชิงเทรา = Assessing the Success of the Newborn Child care subsidy Program of the Local Government Organization in Chachoengsao Province [printed text] / ศิรพงศ์ โภคินวงศ์หิรัญ, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - xii, 193 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-09
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ความสำเร็จ
[LCSH]องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น -- ฉะเชิงเทรา
[LCSH]เงินอุดหนุนKeywords: การนำนโยบายสู่การปฏิบัติ, เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น Abstract: การวิจัยเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการปฏิบัติโครงการและปัจจัยเชิงนโยบายโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด 2) เพื่อศึกษาความสำเร็จของสภาพการปฏิบัติโครงการและปัจจัยเชิงนโยบายโครงการ ที่ส่งผลต่อโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดไปปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดฉะเชิงเทรา การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้แบบผสานวิธี (Mixed-methods Research) โดยใช้การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยเก็บข้อมูลจากแบบสอบถาม โดยการสุ่มจากผู้ปฏิบัติงาน คือพนักงานท้องถิ่น และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ได้กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 400 คน สถิติใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการปฏิบัติโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้ง 4 ด้าน โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก 2. ปัจจัยเชิงนโยบายโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดไปปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้ง 6 ด้าน โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก และ ระดับความสำเร็จในการนำนโยบายโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดไปปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้ง 2 ด้าน โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก จากการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการนำนโยบายโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดไปปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ ด้านนโยบายของรัฐ (x1), ด้านการบริหาร(x4), ด้านกฎหมาย(x2), ด้านวิถีชีวิต(x3),สามารถอธิบายความผันแปรของความสำเร็จในการนำนโยบายไปปฏิบัติ ได้ร้อยละ 78 (R = 0.78) และด้านการนำระเบียบไปปฏิบัติ(x8) ด้านการบูรณาการการทำงาน(x10) ด้านการให้ความรู้ความเข้าใจ(x7) ด้านการตรวจสอบโครงการ(x9) และด้านการนำนโยบายไปปฏิบัติ (x6) สามารถอธิบายความผันแปรของความสำเร็จในการนำนโยบายไปปฏิบัติ ได้ร้อยละ 52 (R = 0.52) ส่งผลต่อความสำเร็จในการนำนโยบายโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดไปปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดฉะเชิงเทรา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สมมติฐาน ยอมรับได้
ความสำเร็จในการนำนโยบายโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดไปปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1) ด้านความพึงพอใจของประชาชน คือขั้นตอนเป็นไปตามที่ระเบียบกำหนด ความสะดวกรวดเร็วในการให้บริการแต่ละขั้นตอน ความเป็นธรรมของการบริการ เช่น เรียงตามลำดับก่อนหลัง มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน แบบฟอร์มมีความชัดเจน และมีตัวอย่างการกรอกแบบฟอร์มหรือคำร้อง เจ้าหน้าที่มีความรู้ ความสามารถในการให้บริการ ช่วยแก้ปัญหาได้ และเอาใจใส่ กระตือรือร้น และความพร้อมในการให้บริการ มีช่องทางการรับฟังความคิดเห็นต่อการให้บริการ เช่น ตู้รับฟังความคิดเห็น เว็บไซต์มีการประชาสัมพันธ์การให้บริการ เช่น แผ่นพับ ป้ายประชาสัมพันธ์ มีสื่อประชาสัมพันธ์/คู่มือและเอกสารให้ความรู้ โดยจัดให้มีสายด่วน ในการสอบถามข้อมูล มีการการแจ้งแผนผังขั้นตอนและผู้ให้บริการ การจัดทำป้ายข้อความ ป้ายประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการให้บริการมีความชัดเจน เข้าใจง่าย มีการใช้วัสดุ อุปกรณ์สำหรับการให้บริการมีความทันสมัย การให้บริการเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด และข้อที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ เจ้าหน้าที่ให้บริการต่อผู้รับบริการเหมือนกันทุกราย โดยไม่เลือกปฏิบัติ 2) ด้านการสร้างทุนมนุษย์ที่ยั่งยืน นั้นเป็นการลงทุนในทุนมนุษย์ที่จะช่วยบำรุงรักษาคุณค่าและเพิ่มค่าทุนมนุษย์ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดสรรทรัพยากร และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และความเป็นธรรมในการกระจายรายได้ นโยบายนี้เป็นการสร้างทุนมนุษย์และมีความสำคัญต่อกำลังคนมาก โครงการเกิดผลดีต่อสังคมในด้านการช่วยเพิ่มคุณภาพให้กับทุนมนุษย์ และสามารถประเมินค่าทางเศรษฐกิจด้านต้นทุนได้ในอนาคต ทำให้โครงการนี้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณชนอย่างมากโดยวัดค่าเป็นตัวเงินไม่ได้เพราะเกิดประโยชน์กับระบบเศรษฐกิจ สังคม ที่มีคุณภาพCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27957 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607967 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-09 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available 32002000607965 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-09 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การบริหารการปฏิบัติงานของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 / ระวี หนูสี / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : การบริหารการปฏิบัติงานของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 Original title : Administration of Immigration Police Operations Immigration Division 6 Material Type: printed text Authors: ระวี หนูสี, Author ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: x, 182 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-14
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การบริหารงานบุคคล
[LCSH]ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองKeywords: การบริหารการปฏิบัติงาน,
ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง,
กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6Abstract: การวิจัยเรื่องการบริหารการปฏิบัติงานของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง6 มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารการปฏิบัติงานของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการให้บริการของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 3) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยที่มีผลต่อการบริหารการปฏิบัติงานของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 จำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคล 4) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการให้บริการ ของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กับปัจจัยที่มีผลต่อการบริหารการปฏิบัติงานของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 ระเบียบวิธีการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Methods Research)โดยผู้วิจัยนำวิธีการ วิจัยเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ กล่าวคือผู้วิจัยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพก่อนร่วมกัน เพื่อให้ได้คำตอบตามวัตถุประสงค์ในแต่ละข้อ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเชิงปริมาณคือ ข้าราชการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 6 จำนวน 400 คน และกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเชิงคุณภาพ จำนวน 30 คน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ความถี่ ค่าพิสัย ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐาน โดยมีสถิติที่ใช้ ได้แก่ t – test, F – test และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ Pearson’s product correlation
ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารการปฏิบัติงานของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 ด้านการบริหาร ด้านการอำนวยความยุติธรรม ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยในราชอาณาจักร ด้านการรองรับประชาคมอาเซียน ด้านการบริการคนเข้าเมือง และด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม มีการบริหารการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมากในทุกด้าน 2)พฤติกรรมการให้บริการของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 ด้านความรับผิดชอบต่อหน้าที่ด้านกระบวนการให้บริการ และด้านสภาพแวดล้อมของการบริการ มีพฤติกรรมการให้บริการอยู่ในระดับมากในทุกด้าน 3) ปัจจัยส่วนบุคคล ด้านเพศ ไม่ส่งผลต่อการบริหารการปฏิบัติงานของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 ส่วนปัจจัยส่วนบุคคล ด้านอายุ ส่งผลต่อการบริหารจัดการการปฏิบัติงาน ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยในราชอาณาจักร แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ปัจจัยส่วนบุคคล ด้านระดับการศึกษา ส่งผลต่อการบริหารการปฏิบัติงานด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ด้านการบริการคนเข้าเมือง และด้านการอำนวยความยุติธรรม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุราชการส่งผลต่อการบริหารการปฏิบัติงาน ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยในราชอาณาจักร และด้านการบริหาร แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 4) พฤติกรรมการให้บริการ ด้านความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ด้านกระบวนการให้บริการ และด้านสภาพแวดล้อมของการบริการกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารการปฏิบัติงานมีความสัมพันธ์กันในระดับต่ำมาก ทุกด้านCurricular : GE/MPA/DPA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27959 SIU THE-T. การบริหารการปฏิบัติงานของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 = Administration of Immigration Police Operations Immigration Division 6 [printed text] / ระวี หนูสี, Author ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - x, 182 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-14
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การบริหารงานบุคคล
[LCSH]ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองKeywords: การบริหารการปฏิบัติงาน,
ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง,
กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6Abstract: การวิจัยเรื่องการบริหารการปฏิบัติงานของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง6 มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารการปฏิบัติงานของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 2) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการให้บริการของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 3) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยที่มีผลต่อการบริหารการปฏิบัติงานของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 จำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคล 4) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการให้บริการ ของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กับปัจจัยที่มีผลต่อการบริหารการปฏิบัติงานของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 ระเบียบวิธีการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Methods Research)โดยผู้วิจัยนำวิธีการ วิจัยเชิงคุณภาพ และเชิงปริมาณ กล่าวคือผู้วิจัยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพก่อนร่วมกัน เพื่อให้ได้คำตอบตามวัตถุประสงค์ในแต่ละข้อ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเชิงปริมาณคือ ข้าราชการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 6 จำนวน 400 คน และกลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเชิงคุณภาพ จำนวน 30 คน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ความถี่ ค่าพิสัย ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐาน โดยมีสถิติที่ใช้ ได้แก่ t – test, F – test และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ Pearson’s product correlation
ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารการปฏิบัติงานของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 ด้านการบริหาร ด้านการอำนวยความยุติธรรม ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยในราชอาณาจักร ด้านการรองรับประชาคมอาเซียน ด้านการบริการคนเข้าเมือง และด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม มีการบริหารการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมากในทุกด้าน 2)พฤติกรรมการให้บริการของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 ด้านความรับผิดชอบต่อหน้าที่ด้านกระบวนการให้บริการ และด้านสภาพแวดล้อมของการบริการ มีพฤติกรรมการให้บริการอยู่ในระดับมากในทุกด้าน 3) ปัจจัยส่วนบุคคล ด้านเพศ ไม่ส่งผลต่อการบริหารการปฏิบัติงานของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 ส่วนปัจจัยส่วนบุคคล ด้านอายุ ส่งผลต่อการบริหารจัดการการปฏิบัติงาน ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยในราชอาณาจักร แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ปัจจัยส่วนบุคคล ด้านระดับการศึกษา ส่งผลต่อการบริหารการปฏิบัติงานด้านการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ด้านการบริการคนเข้าเมือง และด้านการอำนวยความยุติธรรม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุราชการส่งผลต่อการบริหารการปฏิบัติงาน ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยในราชอาณาจักร และด้านการบริหาร แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 4) พฤติกรรมการให้บริการ ด้านความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ด้านกระบวนการให้บริการ และด้านสภาพแวดล้อมของการบริการกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารการปฏิบัติงานมีความสัมพันธ์กันในระดับต่ำมาก ทุกด้านCurricular : GE/MPA/DPA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27959 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607962 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-14 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000607964 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-14 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ปัจจัยที่มีต่อผลสัมฤทธิ์การบริหารจัดการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ตามแนวทางยุทธศาสตร์ชาติ กรณีศึกษา จังหวัดปทุมธานี / ชัยพร โทนทอง / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : ปัจจัยที่มีต่อผลสัมฤทธิ์การบริหารจัดการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ตามแนวทางยุทธศาสตร์ชาติ กรณีศึกษา จังหวัดปทุมธานี Original title : Factors Affecting the Achievement of National Village and Urban Community’s Fund in Line with the National Strategy: A Case of Pathum Thani Province Material Type: printed text Authors: ชัยพร โทนทอง, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: x, 234 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-16
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง -- ไทย -- ปทุมธานี -- การบริหาร
[LCSH]ยุทธศาสตร์Keywords: กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง,
ผลสัมฤทธิ์,
ยุทธศาสตร์ชาติCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27960 SIU THE-T. ปัจจัยที่มีต่อผลสัมฤทธิ์การบริหารจัดการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ตามแนวทางยุทธศาสตร์ชาติ กรณีศึกษา จังหวัดปทุมธานี = Factors Affecting the Achievement of National Village and Urban Community’s Fund in Line with the National Strategy: A Case of Pathum Thani Province [printed text] / ชัยพร โทนทอง, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - x, 234 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-16
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง -- ไทย -- ปทุมธานี -- การบริหาร
[LCSH]ยุทธศาสตร์Keywords: กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง,
ผลสัมฤทธิ์,
ยุทธศาสตร์ชาติCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27960 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607959 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-16 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000607961 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-16 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การกำกับดูแลกิจการที่มีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย / เบญจพร โมกขะเวส
Collection Title: SIU THE-T Title : การกำกับดูแลกิจการที่มีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย Original title : Corporate Governance Affects on Financial Performance of the Listed Companies on the Stock Exchange of Thailand Material Type: printed text Authors: เบญจพร โมกขะเวส, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีย์ เสวกวัชรี, Associated Name Pagination: x, 271 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2018-09
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2561Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การกำกับดูแลกิจการ
[LCSH]ตลาดหลักทรัพย์ -- ไทยKeywords: การกำกับดูแลกิจการ,
ขนาดคณะกรรมการบริษัท,
ความเป็นอิสระของประธานกรรมการ,
ผลการดำเนินงานทางการเงิน,
ผู้บริหารระดับสูงไม่มีการควบรวมตำแหน่ง,
มูลค่าของกิจการ,
ระดับคะแนนการกำกับดูแลกิจการAbstract: งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงผลของการกำกับดูแลกิจการที่มีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยวัดผลการดำเนินงาน 2 ด้าน คือ 1) ผลการดำเนินงานทางการเงินวัดค่าโดยใช้อัตราส่วนกำไรสุทธิ อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมและอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น และ2) ผลการดำเนินงานทางการตลาดวัดค่าโดยใช้มูลค่าของกิจการ (Tobin’s Q) กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย 188 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีระดับคะแนนการกำกับดูแลกิจการในระดับดีเลิศ ระดับดีมาก ระดับดีและระดับที่ต่ำกว่าระดับดี ติดต่อกันระหว่างปี 2551-2560 ซึ่งเป็นการวิจัยแบบผสม (mixed methods research) นั่นคือ เป็นทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (quantitative research) โดยใช้การวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุเพื่อทดสอบสมมติฐาน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01 และ 0.05 และขั้นต่อไปคือการวิจัยเชิงคุณภาพ (quality research) โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหาร (in-depth interview)
ผลการศึกษาพบว่าระดับคะแนนการกำกับดูแลกิจการ ความเป็นอิสระของประธานกรรมการ ขนาดคณะกรรมการบริษัทและผู้บริหารระดับสูงไม่มีการควบรวมตำแหน่งมีผลต่อผลการดำเนินงานของบริษัทซึ่งวัดค่าจากผลการดำเนินงานทางการเงินโดยใช้อัตราส่วนกำไรสุทธิ อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมและอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ขณะที่สัดส่วนกรรมการอิสระไม่มีผลต่ออัตราส่วนกำไรสุทธิ อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมและอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น นอกจากนี้ยังพบว่าระดับคะแนนการกำกับดูแลกิจการ ความเป็นอิสระของประธานกรรมการ สัดส่วนกรรมการอิสระและผู้บริหารระดับสูงไม่มีการควบรวมตำแหน่งมีผลต่อผลการดำเนินงานของบริษัทซึ่งวัดค่าจากผลการดำเนินงานทางการตลาดโดยใช้มูลค่าของกิจการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ขณะที่ขนาดคณะกรรมการบริษัทไม่มีผลต่อมูลค่าของกิจการ ทั้งนี้ แนวทางการพัฒนาผลของการกำกับดูแลกิจการที่มีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ควรมุ่งเน้น คือ 1) ควรพัฒนาการกำกับดูแลกิจการที่ดีควรให้สอดคล้องกับสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลง 2) ควรมีการส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนไทยมีนโยบายเกี่ยวกับโครงสร้างคณะกรรมการอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม 3) คณะกรรมการควรมีภาวะผู้นำ วิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและหลากหลายมิติ คุณลักษณะ คุณสมบัติที่หลากหลาย การปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นอิสระจากฝ่ายบริหารจัดการ 4) ต้องมีความรับผิดชอบในการให้บริการลูกค้าในการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องไว้อย่างครบถ้วน 5) คณะกรรมการควรมีการกำหนดนโยบายให้ความสำคัญกับการต่อต้านการคอรัปชั่นภายในองค์กรในทุกระดับชั้นของการดำเนินการ 6) คณะกรรมการควรกำหนดนโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างชัดเจนและใช้เป็นแนวทางยึดถือปฏิบัติเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้บริษัทสามารถบรรลุตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ สร้างความมั่งคั่งและการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่บริษัทCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27962 SIU THE-T. การกำกับดูแลกิจการที่มีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย = Corporate Governance Affects on Financial Performance of the Listed Companies on the Stock Exchange of Thailand [printed text] / เบญจพร โมกขะเวส, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีย์ เสวกวัชรี, Associated Name . - [s.d.] . - x, 271 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2018-09
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2561
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การกำกับดูแลกิจการ
[LCSH]ตลาดหลักทรัพย์ -- ไทยKeywords: การกำกับดูแลกิจการ,
ขนาดคณะกรรมการบริษัท,
ความเป็นอิสระของประธานกรรมการ,
ผลการดำเนินงานทางการเงิน,
ผู้บริหารระดับสูงไม่มีการควบรวมตำแหน่ง,
มูลค่าของกิจการ,
ระดับคะแนนการกำกับดูแลกิจการAbstract: งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงผลของการกำกับดูแลกิจการที่มีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยวัดผลการดำเนินงาน 2 ด้าน คือ 1) ผลการดำเนินงานทางการเงินวัดค่าโดยใช้อัตราส่วนกำไรสุทธิ อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมและอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น และ2) ผลการดำเนินงานทางการตลาดวัดค่าโดยใช้มูลค่าของกิจการ (Tobin’s Q) กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย 188 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีระดับคะแนนการกำกับดูแลกิจการในระดับดีเลิศ ระดับดีมาก ระดับดีและระดับที่ต่ำกว่าระดับดี ติดต่อกันระหว่างปี 2551-2560 ซึ่งเป็นการวิจัยแบบผสม (mixed methods research) นั่นคือ เป็นทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (quantitative research) โดยใช้การวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุเพื่อทดสอบสมมติฐาน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01 และ 0.05 และขั้นต่อไปคือการวิจัยเชิงคุณภาพ (quality research) โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหาร (in-depth interview)
ผลการศึกษาพบว่าระดับคะแนนการกำกับดูแลกิจการ ความเป็นอิสระของประธานกรรมการ ขนาดคณะกรรมการบริษัทและผู้บริหารระดับสูงไม่มีการควบรวมตำแหน่งมีผลต่อผลการดำเนินงานของบริษัทซึ่งวัดค่าจากผลการดำเนินงานทางการเงินโดยใช้อัตราส่วนกำไรสุทธิ อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมและอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ขณะที่สัดส่วนกรรมการอิสระไม่มีผลต่ออัตราส่วนกำไรสุทธิ อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมและอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น นอกจากนี้ยังพบว่าระดับคะแนนการกำกับดูแลกิจการ ความเป็นอิสระของประธานกรรมการ สัดส่วนกรรมการอิสระและผู้บริหารระดับสูงไม่มีการควบรวมตำแหน่งมีผลต่อผลการดำเนินงานของบริษัทซึ่งวัดค่าจากผลการดำเนินงานทางการตลาดโดยใช้มูลค่าของกิจการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ขณะที่ขนาดคณะกรรมการบริษัทไม่มีผลต่อมูลค่าของกิจการ ทั้งนี้ แนวทางการพัฒนาผลของการกำกับดูแลกิจการที่มีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ควรมุ่งเน้น คือ 1) ควรพัฒนาการกำกับดูแลกิจการที่ดีควรให้สอดคล้องกับสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลง 2) ควรมีการส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนไทยมีนโยบายเกี่ยวกับโครงสร้างคณะกรรมการอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม 3) คณะกรรมการควรมีภาวะผู้นำ วิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและหลากหลายมิติ คุณลักษณะ คุณสมบัติที่หลากหลาย การปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นอิสระจากฝ่ายบริหารจัดการ 4) ต้องมีความรับผิดชอบในการให้บริการลูกค้าในการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องไว้อย่างครบถ้วน 5) คณะกรรมการควรมีการกำหนดนโยบายให้ความสำคัญกับการต่อต้านการคอรัปชั่นภายในองค์กรในทุกระดับชั้นของการดำเนินการ 6) คณะกรรมการควรกำหนดนโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างชัดเจนและใช้เป็นแนวทางยึดถือปฏิบัติเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้บริษัทสามารถบรรลุตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ สร้างความมั่งคั่งและการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่บริษัทCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27962 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607986 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-09 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000607983 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-09 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. PhD-MIC. การขนส่งอัจฉริยะสำหรับพนักงานอัจฉริยะ (กรณีปัญหาในการรับพนักงาน) / ภราดร คงมณี / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : PhD-MIC. การขนส่งอัจฉริยะสำหรับพนักงานอัจฉริยะ (กรณีปัญหาในการรับพนักงาน) Original title : The Smart Transportation for Smart Labor: The Worker Pickup Problems Material Type: printed text Authors: ภราดร คงมณี, Author ; วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ, Associated Name ; สุชาย ธนวเสถียร, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: x, 99 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOLA-PhD-MIC-2019-01
Thesis. [PhD-MIC [ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาสื่อ สารสนเทศและการสื่อสาร]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การขนส่ง
[LCSH]รถยนต์ -- นวัตกรรมทางเทคโนโลยี
[LCSH]ระบบขนส่งอัจฉริยะKeywords: พนักงานอัจฉริยะ,
การขนส่งอัจฉริยะ,
ปัญหาในการรับพนักงาน,
รถบัสอัจฉริยะAbstract: การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและหารูปแบบการสื่อสารผ่านเทคโนโลยีสื่อสังคม หรือ Social Media บนโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนโดยการใช้โปรแกรมทดลอง “Where ever” เป็นเครื่องมือในการหาความสัมพันธ์ระหว่างการเดินทางของพนักงานที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมและการรับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อสังคม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้บริการรถรับส่งพนักงานที่โรงงานเป็นผู้จัด ซึ่งจะทำให้พนักงานสามารถติดตามการเดินทางของรถรับส่งและคาดการณ์เวลาที่รถจะมารับยังจุดนัดหมาย ทำให้พนักงานขึ้นรถได้ตามเวลาที่กำหนดโดยใช้เวลาในการรอรถน้อยที่สุด
ผลจากการทดลองโดยใช้กลุ่มตัวอย่างของพนักงานที่ใช้บริการรถรับส่งเป็นประจำจำนวน 360 คน ตามทฤษฎีของ Taro Yamane พบว่าผลการวิจัยเป็นไปตามสมมติฐานที่ได้ตั้งไว้ว่าพนักงานสามารถใช้และเข้าถึงสื่อสังคมผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน มีความต้องการความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกด้านการให้บริการรถรับส่งที่ทันสมัย สามารถใช้การพัฒนารูปแบบการสื่อสารบนโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ให้เกิดความสะดวกและปลอดภัยในการใช้บริการรถรับส่ง เพื่อการเดินทางมาทำงาน
สิ่งที่ได้จากการวิจัยสามารถนำเสนอรูปแบบจำลอง หรือ Model “We Wer” สำหรับพนักงานอัจฉริยะในการเพิ่มประสิทธิภาพและการแก้ปัญหาการให้บริการรถรับส่งโดยมีพนักงานผู้ใช้งานสื่อสังคมที่สามารถใช้เทคโนโลยีการสื่อสารผ่านอุปกรณ์สมัยใหม่ อาทิ สมาร์โฟน แท็บเล็ต เพื่อเข้าถึงการให้บริการรถได้อย่างสะดวกและรวดเร็วCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27963 SIU THE-T. PhD-MIC. การขนส่งอัจฉริยะสำหรับพนักงานอัจฉริยะ (กรณีปัญหาในการรับพนักงาน) = The Smart Transportation for Smart Labor: The Worker Pickup Problems [printed text] / ภราดร คงมณี, Author ; วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ, Associated Name ; สุชาย ธนวเสถียร, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - x, 99 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOLA-PhD-MIC-2019-01
Thesis. [PhD-MIC [ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาสื่อ สารสนเทศและการสื่อสาร]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การขนส่ง
[LCSH]รถยนต์ -- นวัตกรรมทางเทคโนโลยี
[LCSH]ระบบขนส่งอัจฉริยะKeywords: พนักงานอัจฉริยะ,
การขนส่งอัจฉริยะ,
ปัญหาในการรับพนักงาน,
รถบัสอัจฉริยะAbstract: การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและหารูปแบบการสื่อสารผ่านเทคโนโลยีสื่อสังคม หรือ Social Media บนโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนโดยการใช้โปรแกรมทดลอง “Where ever” เป็นเครื่องมือในการหาความสัมพันธ์ระหว่างการเดินทางของพนักงานที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมและการรับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อสังคม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้บริการรถรับส่งพนักงานที่โรงงานเป็นผู้จัด ซึ่งจะทำให้พนักงานสามารถติดตามการเดินทางของรถรับส่งและคาดการณ์เวลาที่รถจะมารับยังจุดนัดหมาย ทำให้พนักงานขึ้นรถได้ตามเวลาที่กำหนดโดยใช้เวลาในการรอรถน้อยที่สุด
ผลจากการทดลองโดยใช้กลุ่มตัวอย่างของพนักงานที่ใช้บริการรถรับส่งเป็นประจำจำนวน 360 คน ตามทฤษฎีของ Taro Yamane พบว่าผลการวิจัยเป็นไปตามสมมติฐานที่ได้ตั้งไว้ว่าพนักงานสามารถใช้และเข้าถึงสื่อสังคมผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน มีความต้องการความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกด้านการให้บริการรถรับส่งที่ทันสมัย สามารถใช้การพัฒนารูปแบบการสื่อสารบนโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน ให้เกิดความสะดวกและปลอดภัยในการใช้บริการรถรับส่ง เพื่อการเดินทางมาทำงาน
สิ่งที่ได้จากการวิจัยสามารถนำเสนอรูปแบบจำลอง หรือ Model “We Wer” สำหรับพนักงานอัจฉริยะในการเพิ่มประสิทธิภาพและการแก้ปัญหาการให้บริการรถรับส่งโดยมีพนักงานผู้ใช้งานสื่อสังคมที่สามารถใช้เทคโนโลยีการสื่อสารผ่านอุปกรณ์สมัยใหม่ อาทิ สมาร์โฟน แท็บเล็ต เพื่อเข้าถึงการให้บริการรถได้อย่างสะดวกและรวดเร็วCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27963 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607478 SIU THE-T: SOLA-PhD-MIC-2019-01 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000607477 SIU THE-T: SOLA-PhD-MIC-2019-01 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การยอมรับนวัตกรรมอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งของผู้สูงวัยที่ต้องการใช้แพลตฟอร์มแอนดรอยด์เพื่อดูแลสุขภาพ : กรณีศึกษาผู้สูงวัยในจังหวัดสมุทรปราการ / ปัญจรัตน์ หาญพานิช / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : การยอมรับนวัตกรรมอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งของผู้สูงวัยที่ต้องการใช้แพลตฟอร์มแอนดรอยด์เพื่อดูแลสุขภาพ : กรณีศึกษาผู้สูงวัยในจังหวัดสมุทรปราการ Original title : Adoption of Internet of Things by the Elderly for Health Care for Health Care Android Platform: Case Study of Aging in Samutprakarn province Material Type: printed text Authors: ปัญจรัตน์ หาญพานิช, Author ; วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ, Associated Name ; ปาลพล รอดลอยทุกข์, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: xi, 72 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOLA-PhD-MIC-2019-02
Thesis. [PhD-MIC [ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาสื่อ สารสนเทศและการสื่อสาร]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]นวัตกรรม
[LCSH]ผู้สูงอายุ -- สุขภาพและอนามัย -- สมุทรปราการKeywords: สูงวัย, เบบี้บูมเมอร์, สุขภาพ, อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง, แอนดรอยด์, การยอมรับ Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อทราบถึงพฤติกรรมในการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารของ
ผู้สูงวัยในจังหวัดสมุทรปราการ 2) เพื่อทราบถึงความต้องการในการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งของผู้สูงวัยในจังหวัดสมุทรปราการ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยที่ต่อการยอมรับการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งของผู้สูงวัยในจังหวัดสมุทรปราการ 4) เพื่อทราบถึงความต้องการใช้แพลตฟอร์มแอนดรอยด์เพื่อดูแลสุขภาพสำหรับผู้สูงวัย โดยกลุ่มตัวอย่างคือประชากรผู้สูงวัยทั้งเพศชายและเพศหญิง ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปที่อาศัยอยู่ใน 23 อำเภอของจังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 400 คน
ผลของการศึกษาพบว่า 1) ทราบถึงพฤติกรรมในการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารของผู้สูงวัยในจังหวัดสมุทรปราการ พบว่าผู้สูงอายุส่วนมากมีการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารแบบมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบเป็นครั้งคราว คิดเป็นร้อยละ 38.0 รองลงมาคือใช้เทคโนโลยีการสื่อสารแต่ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เนื่องจากกลัวสิ้นเปลือง 2) พบความต้องการในการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งของผู้สูงวัยในจังหวัดสมุทรปราการ อยู่ในระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 75.6 3) พบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่มีผลต่อการยอมรับการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งของผู้สูงวัยในจังหวัดสมุทรปราการ พบว่าไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ การศึกษา อาชีพ รายได้ และสุขภาพ ไม่ใช่ปัจจัยที่จะทำให้ผู้สูงวัยมีการยอมรับการใช้เทคโนโลยี และจากการสัมภาษณ์ผู้สูงวัยทำให้ผู้วิจัยพบว่าปัจจัยที่มีผลต่อการยอมรับการใช้เทคโนโลยี คือ ลูก-หลานที่เป็นผู้จัดหา และจัดการให้ผู้สูงวัยได้ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง 4) ทราบถึงความต้องการใช้แพลตฟอร์มแอนดรอยด์เพื่อดูแลสุขภาพสำหรับผู้สูงวัย คือต้องการให้แพลตฟอร์มแอนดรอยด์มีระบบแจ้งเตือนไปยังญาติเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน และความต้องการให้มีระบบเตือนความจำ เช่น วันเกิด ทานยา ทานข้าว นัดหมาย ซึ่งจากการสัมภาษณ์ พบว่าผู้สูงวัยบางท่านเริ่มมีสุขภาพไม่ค่อยดี จึงทำให้เกิดความกังวลว่าเมื่อมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นก็ขอให้มีการแจ้งเตือนไปบอกเพื่อจะได้รีบพาไปพบแพทย์ และผู้สูงวัยบางท่านอาจจะมีอาการหลงลืม ต้องการตัวช่วยในเรื่องของการแจ้งเตือน
จากสมมุติฐานในการวิจัย พบว่า 1) ระดับความรู้และความเข้าใจของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งมีความสัมพันธ์กับการยอมรับการใช้แพลตฟอร์มแอนดรอยด์เพื่อดูแลสุขภาพได้มากขึ้นนั้น พบว่าผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตของผู้สูงวัยด้านการศึกษา ไม่มีผลต่อการยอมรับการใช้แพลตฟอร์มแอนดรอยด์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ รายได้ และสุขภาพ มีความสัมพันธ์กับการยอมรับนวัตกรรมเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งในการใช้แพลตฟอร์มแอนดรอยด์เพื่อดูแลสุขภาพพบว่าผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตของผู้สูงวัยเพศ อายุ การศึกษา อาชีพ รายได้ และสุขภาพ ไม่ได้มีผลต่อการใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนและเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) ผู้สูงอายุที่มีพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟน และอินเทอร์เน็ต มีการยอมรับเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งในการใช้แพลตฟอร์มแอนดรอยด์เพื่อดูแลสุขภาพ พบว่าผู้สูงอายุที่มีพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟน และอินเทอร์เน็ตมีการยอมรับ และให้ความเชื่อมั่นในเทคโนโลยี ตามผลการวิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มผู้สูงวัยที่มีการยอมรับเทคโนโลยี Internet of Things กับระดับการยอมรับ โดยใช้สถิติ Chi-Square Test (X 2) ด้วยวิธีของ Pearson Chi-Square และค่า Exact ในการเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้วยค่า Chi-Square ตามวิธีของ Pearson พบว่าเป็นความถี่ที่คาดหวังที่
มีค่าน้อยกว่า 5 ซึ่งมีอยู่จำนวน 2 เซลล์คิดเป็น 33.3% ของเซลล์ทั้งหมด และค่าความถี่ที่คาดหวังต่ำสุดคือ 2.27 4) กลุ่มผู้สูงอายุที่ยอมรับเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งมีความต้องการใช้แพลตฟอร์มแอนดรอยด์เพื่อดูแลสุขภาพในวัตถุประสงค์ในการพูดคุยมากที่สุด จากการวิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบความแตกต่างของความพึงพอใจความต้องการใช้แพลตฟอร์มเพื่อดูแลสุขภาพในรูปแบบต่าง ๆ ได้ทำการจำแนกตามเพศเอาไว้ พบว่าค่า P-value ของความต้องการให้มีการแจ้งเตือนไปยังญาติเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินกับตนเอง = 0.87 > 0.05 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และความต้องการให้มีระบบเตือนความจำ เช่น วันเกิด ทานยา ทานข้าว นัดหมาย = 0.83 > 0.05 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27964 SIU THE-T. การยอมรับนวัตกรรมอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งของผู้สูงวัยที่ต้องการใช้แพลตฟอร์มแอนดรอยด์เพื่อดูแลสุขภาพ : กรณีศึกษาผู้สูงวัยในจังหวัดสมุทรปราการ = Adoption of Internet of Things by the Elderly for Health Care for Health Care Android Platform: Case Study of Aging in Samutprakarn province [printed text] / ปัญจรัตน์ หาญพานิช, Author ; วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ, Associated Name ; ปาลพล รอดลอยทุกข์, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - xi, 72 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOLA-PhD-MIC-2019-02
Thesis. [PhD-MIC [ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาสื่อ สารสนเทศและการสื่อสาร]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]นวัตกรรม
[LCSH]ผู้สูงอายุ -- สุขภาพและอนามัย -- สมุทรปราการKeywords: สูงวัย, เบบี้บูมเมอร์, สุขภาพ, อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง, แอนดรอยด์, การยอมรับ Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อทราบถึงพฤติกรรมในการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารของ
ผู้สูงวัยในจังหวัดสมุทรปราการ 2) เพื่อทราบถึงความต้องการในการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งของผู้สูงวัยในจังหวัดสมุทรปราการ 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยที่ต่อการยอมรับการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งของผู้สูงวัยในจังหวัดสมุทรปราการ 4) เพื่อทราบถึงความต้องการใช้แพลตฟอร์มแอนดรอยด์เพื่อดูแลสุขภาพสำหรับผู้สูงวัย โดยกลุ่มตัวอย่างคือประชากรผู้สูงวัยทั้งเพศชายและเพศหญิง ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปที่อาศัยอยู่ใน 23 อำเภอของจังหวัดสมุทรปราการ จำนวน 400 คน
ผลของการศึกษาพบว่า 1) ทราบถึงพฤติกรรมในการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารของผู้สูงวัยในจังหวัดสมุทรปราการ พบว่าผู้สูงอายุส่วนมากมีการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารแบบมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบเป็นครั้งคราว คิดเป็นร้อยละ 38.0 รองลงมาคือใช้เทคโนโลยีการสื่อสารแต่ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เนื่องจากกลัวสิ้นเปลือง 2) พบความต้องการในการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งของผู้สูงวัยในจังหวัดสมุทรปราการ อยู่ในระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 75.6 3) พบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่มีผลต่อการยอมรับการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งของผู้สูงวัยในจังหวัดสมุทรปราการ พบว่าไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ การศึกษา อาชีพ รายได้ และสุขภาพ ไม่ใช่ปัจจัยที่จะทำให้ผู้สูงวัยมีการยอมรับการใช้เทคโนโลยี และจากการสัมภาษณ์ผู้สูงวัยทำให้ผู้วิจัยพบว่าปัจจัยที่มีผลต่อการยอมรับการใช้เทคโนโลยี คือ ลูก-หลานที่เป็นผู้จัดหา และจัดการให้ผู้สูงวัยได้ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง 4) ทราบถึงความต้องการใช้แพลตฟอร์มแอนดรอยด์เพื่อดูแลสุขภาพสำหรับผู้สูงวัย คือต้องการให้แพลตฟอร์มแอนดรอยด์มีระบบแจ้งเตือนไปยังญาติเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน และความต้องการให้มีระบบเตือนความจำ เช่น วันเกิด ทานยา ทานข้าว นัดหมาย ซึ่งจากการสัมภาษณ์ พบว่าผู้สูงวัยบางท่านเริ่มมีสุขภาพไม่ค่อยดี จึงทำให้เกิดความกังวลว่าเมื่อมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นก็ขอให้มีการแจ้งเตือนไปบอกเพื่อจะได้รีบพาไปพบแพทย์ และผู้สูงวัยบางท่านอาจจะมีอาการหลงลืม ต้องการตัวช่วยในเรื่องของการแจ้งเตือน
จากสมมุติฐานในการวิจัย พบว่า 1) ระดับความรู้และความเข้าใจของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งมีความสัมพันธ์กับการยอมรับการใช้แพลตฟอร์มแอนดรอยด์เพื่อดูแลสุขภาพได้มากขึ้นนั้น พบว่าผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตของผู้สูงวัยด้านการศึกษา ไม่มีผลต่อการยอมรับการใช้แพลตฟอร์มแอนดรอยด์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 2) เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ รายได้ และสุขภาพ มีความสัมพันธ์กับการยอมรับนวัตกรรมเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งในการใช้แพลตฟอร์มแอนดรอยด์เพื่อดูแลสุขภาพพบว่าผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตของผู้สูงวัยเพศ อายุ การศึกษา อาชีพ รายได้ และสุขภาพ ไม่ได้มีผลต่อการใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนและเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 3) ผู้สูงอายุที่มีพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟน และอินเทอร์เน็ต มีการยอมรับเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งในการใช้แพลตฟอร์มแอนดรอยด์เพื่อดูแลสุขภาพ พบว่าผู้สูงอายุที่มีพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟน และอินเทอร์เน็ตมีการยอมรับ และให้ความเชื่อมั่นในเทคโนโลยี ตามผลการวิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มผู้สูงวัยที่มีการยอมรับเทคโนโลยี Internet of Things กับระดับการยอมรับ โดยใช้สถิติ Chi-Square Test (X 2) ด้วยวิธีของ Pearson Chi-Square และค่า Exact ในการเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้วยค่า Chi-Square ตามวิธีของ Pearson พบว่าเป็นความถี่ที่คาดหวังที่
มีค่าน้อยกว่า 5 ซึ่งมีอยู่จำนวน 2 เซลล์คิดเป็น 33.3% ของเซลล์ทั้งหมด และค่าความถี่ที่คาดหวังต่ำสุดคือ 2.27 4) กลุ่มผู้สูงอายุที่ยอมรับเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งมีความต้องการใช้แพลตฟอร์มแอนดรอยด์เพื่อดูแลสุขภาพในวัตถุประสงค์ในการพูดคุยมากที่สุด จากการวิเคราะห์ข้อมูลเปรียบเทียบความแตกต่างของความพึงพอใจความต้องการใช้แพลตฟอร์มเพื่อดูแลสุขภาพในรูปแบบต่าง ๆ ได้ทำการจำแนกตามเพศเอาไว้ พบว่าค่า P-value ของความต้องการให้มีการแจ้งเตือนไปยังญาติเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินกับตนเอง = 0.87 > 0.05 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และความต้องการให้มีระบบเตือนความจำ เช่น วันเกิด ทานยา ทานข้าว นัดหมาย = 0.83 > 0.05 มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27964 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607479 SIU THE-T: SOLA-PhD-MIC-2019-02 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000607480 SIU THE-T: SOLA-PhD-MIC-2019-02 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ผลสัมฤทธิ์การบริหารพรรคการเมืองของไทย : กรณีศึกษาพรรคเพื่อไทย / ณรงค์ รุ่งธนวงศ์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2020
Collection Title: SIU THE-T Title : ผลสัมฤทธิ์การบริหารพรรคการเมืองของไทย : กรณีศึกษาพรรคเพื่อไทย Original title : The Achievement of Thai Political Parties Administration: A Case of Pheu Thai Party Material Type: printed text Authors: ณรงค์ รุ่งธนวงศ์, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2020 Pagination: viii, 196 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-19
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การบริหาร
[LCSH]พรรคการเมือง -- ไทย
[LCSH]พรรคเพื่อไทยKeywords: ผลสัมฤทธิ์ การบริหารจัดการพรรคการเมืองของไทย, พรรคเพื่อไทย Abstract: การวิจัยเรื่อง การบริหารจัดการพรรคการเมืองของไทย: กรณีศึกษาพรรคเพื่อไทยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในของพรรคการเมืองกับผลสัมฤทธิ์การบริหารพรรคการเมืองของไทย 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในของพรรคการเมืองต่อผลสัมฤทธิ์การบริหารพรรคการเมืองของไทยและ 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบการบริหารจัดการพรรคการเมืองไทยที่เหมาะสม การวิจัยใช้แนวทางการผสมผสานด้วยการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถาม และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informants) ผู้บริหารพรรคและกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย จำนวน 8 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง
ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยภายนอกของพรรคการเมืองในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงลำดับจากมาไปน้อย คือ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านการเมืองและ ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ส่วนปัจจัยภายในโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน เรียงลำดับจากมาไปน้อย คือ ด้านบุคลากร ด้านกฎข้อบังคับ ด้านงบประมาณ และด้านสถานที่ตามลำดับ ผลสัมฤทธิ์การบริหารจัดการพรรคการเมืองของไทยในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน เรียงลำดับจากมาไปน้อย คือ การพัฒนาความเป็นสถาบันทางการเมือง การพัฒนาโครงสร้างทางการเมือง การพัฒนาคุณลักษณะที่เหมาะสมของผู้นำและสมาชิกพรรค การพัฒนาบทบาทและความสำคัญของพรรคการเมือง และ การพัฒนาเสถียรภาพทางการเมืองตามลำดับ การทดสอบสมมติฐานการวิจัย พบว่า ปัจจัยภายนอก ด้านสังคม เศรษฐกิจและการเมืองของพรรคเพื่อไทยมีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์การบริหารพรรคการเมืองของไทยในระดับสูงและ ปัจจัยภายในด้านบุคลากร ด้านงบประมาณ ด้านสถานที่และด้านกฎข้อบังคับของพรรคเพื่อไทยมีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์การบริหารพรรคการเมืองของไทยในระดับสูงและโดยการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ (Multiple Regression) พบว่า ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกมีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์การบริหารพรรคการเมืองของไทยร้อยละ 71.20 (r2=.712)Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28026 SIU THE-T. ผลสัมฤทธิ์การบริหารพรรคการเมืองของไทย : กรณีศึกษาพรรคเพื่อไทย = The Achievement of Thai Political Parties Administration: A Case of Pheu Thai Party [printed text] / ณรงค์ รุ่งธนวงศ์, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020 . - viii, 196 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-19
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การบริหาร
[LCSH]พรรคการเมือง -- ไทย
[LCSH]พรรคเพื่อไทยKeywords: ผลสัมฤทธิ์ การบริหารจัดการพรรคการเมืองของไทย, พรรคเพื่อไทย Abstract: การวิจัยเรื่อง การบริหารจัดการพรรคการเมืองของไทย: กรณีศึกษาพรรคเพื่อไทยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในของพรรคการเมืองกับผลสัมฤทธิ์การบริหารพรรคการเมืองของไทย 2) เพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในของพรรคการเมืองต่อผลสัมฤทธิ์การบริหารพรรคการเมืองของไทยและ 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบการบริหารจัดการพรรคการเมืองไทยที่เหมาะสม การวิจัยใช้แนวทางการผสมผสานด้วยการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถาม และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informants) ผู้บริหารพรรคและกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย จำนวน 8 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง
ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยภายนอกของพรรคการเมืองในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงลำดับจากมาไปน้อย คือ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านการเมืองและ ด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ส่วนปัจจัยภายในโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน เรียงลำดับจากมาไปน้อย คือ ด้านบุคลากร ด้านกฎข้อบังคับ ด้านงบประมาณ และด้านสถานที่ตามลำดับ ผลสัมฤทธิ์การบริหารจัดการพรรคการเมืองของไทยในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน เรียงลำดับจากมาไปน้อย คือ การพัฒนาความเป็นสถาบันทางการเมือง การพัฒนาโครงสร้างทางการเมือง การพัฒนาคุณลักษณะที่เหมาะสมของผู้นำและสมาชิกพรรค การพัฒนาบทบาทและความสำคัญของพรรคการเมือง และ การพัฒนาเสถียรภาพทางการเมืองตามลำดับ การทดสอบสมมติฐานการวิจัย พบว่า ปัจจัยภายนอก ด้านสังคม เศรษฐกิจและการเมืองของพรรคเพื่อไทยมีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์การบริหารพรรคการเมืองของไทยในระดับสูงและ ปัจจัยภายในด้านบุคลากร ด้านงบประมาณ ด้านสถานที่และด้านกฎข้อบังคับของพรรคเพื่อไทยมีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์การบริหารพรรคการเมืองของไทยในระดับสูงและโดยการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ (Multiple Regression) พบว่า ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกมีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์การบริหารพรรคการเมืองของไทยร้อยละ 71.20 (r2=.712)Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28026 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607430 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-19 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available 32002000607432 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-19 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. แนวทางการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต / วิภาวรรณ หอมหวลดี / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2020
Collection Title: SIU THE-T Title : แนวทางการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต Original title : Guidelines for School Administration according to Good Governance Principles under Phuket Primary Educational Service Area Office, Phuket Province Material Type: printed text Authors: วิภาวรรณ หอมหวลดี, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2020 Pagination: x, 161 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-02
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ธรรมาภิบาล
[LCSH]สถานศึกษา -- ภูเก็ต -- การศึกษาขั้นประถมKeywords: หลักธรรมาภิบาล, สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวทางการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษากับแนวทางการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต และ 3) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต
การวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed-Method Research) ระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยผู้วิจัยได้อาศัยวิธีดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การวิจัยภาคสนามจากการสัมภาษณ์เชิงลึก จาก 3 อำเภอของจังหวัดภูเก็ต ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอถลาง อำเภอกะทู้ รวมจำนวน 30 คน ประกอบกับการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร และกลุ่มตัวอย่างข้าราชการครูในเขตพื้นที่ศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 269 คน จากจำนวนข้าราชการครู 866 คน โดยการใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson product-moment correlation coefficient) ควบคู่กับการสำรวจข้อมูลจากการศึกษาค้นคว้าทางเอกสาร
ผลการวิจัยพบว่า
1) แนวทางการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ =3.99, S.D=0.90)
2) ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษากับแนวทางการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ พบว่า การบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษามีความสัมพันธ์กับแนวทางการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต โดยมีค่า r=0.865 (p<0.01) ซึ่งแสดงว่ามีความสัมพันธ์กันในระดับสูงอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
3) ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต พบว่า ส่วนใหญ่ประสบปัญหาด้านการปรับปรุง รวบรวมข้อมูลสารสนเทศของสถานศึกษาอย่างเป็นปัจจุบัน ร้อยละ 25.3 รองลงมาคือ ด้านผู้บริหารสถานศึกษาไม่มีการรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ในการตัดสินใจแก้ปัญหาสำคัญร่วมกันจากบุคคลทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา ร้อยละ 17.8 ซึ่งข้อมูลและข้อค้นพบที่ได้จากการศึกษาจะนำไปใช้เป็นแนวทางสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาและผู้เกี่ยวข้องทุกระดับที่รับผิดชอบในการจัดการศึกษานำหลักธรรมาภิบาลไปใช้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดต่อไปCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28042 SIU THE-T. แนวทางการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต = Guidelines for School Administration according to Good Governance Principles under Phuket Primary Educational Service Area Office, Phuket Province [printed text] / วิภาวรรณ หอมหวลดี, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020 . - x, 161 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-02
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2020
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ธรรมาภิบาล
[LCSH]สถานศึกษา -- ภูเก็ต -- การศึกษาขั้นประถมKeywords: หลักธรรมาภิบาล, สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวทางการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษากับแนวทางการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต และ 3) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต
การวิจัยเป็นการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed-Method Research) ระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยผู้วิจัยได้อาศัยวิธีดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การวิจัยภาคสนามจากการสัมภาษณ์เชิงลึก จาก 3 อำเภอของจังหวัดภูเก็ต ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอถลาง อำเภอกะทู้ รวมจำนวน 30 คน ประกอบกับการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร และกลุ่มตัวอย่างข้าราชการครูในเขตพื้นที่ศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 269 คน จากจำนวนข้าราชการครู 866 คน โดยการใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือ สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson product-moment correlation coefficient) ควบคู่กับการสำรวจข้อมูลจากการศึกษาค้นคว้าทางเอกสาร
ผลการวิจัยพบว่า
1) แนวทางการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ =3.99, S.D=0.90)
2) ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษากับแนวทางการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ พบว่า การบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษามีความสัมพันธ์กับแนวทางการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต โดยมีค่า r=0.865 (p<0.01) ซึ่งแสดงว่ามีความสัมพันธ์กันในระดับสูงอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
3) ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต พบว่า ส่วนใหญ่ประสบปัญหาด้านการปรับปรุง รวบรวมข้อมูลสารสนเทศของสถานศึกษาอย่างเป็นปัจจุบัน ร้อยละ 25.3 รองลงมาคือ ด้านผู้บริหารสถานศึกษาไม่มีการรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ในการตัดสินใจแก้ปัญหาสำคัญร่วมกันจากบุคคลทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา ร้อยละ 17.8 ซึ่งข้อมูลและข้อค้นพบที่ได้จากการศึกษาจะนำไปใช้เป็นแนวทางสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาและผู้เกี่ยวข้องทุกระดับที่รับผิดชอบในการจัดการศึกษานำหลักธรรมาภิบาลไปใช้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดต่อไปCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=28042 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607389 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-02 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available 32002000607391 SIU THE-T: IPAG-DPA-2020-02 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available