From this page you can:
Home |
Author details
Author ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา
Available item(s) by this author
Add the result to your basket Make a suggestion Refine your search Apply to external sourcesSIU THE-T. รูปแบบการบริหารจัดการที่ส่งผลต่อความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล / รุ่งนภา กุลภักดี / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2017
Collection Title: SIU THE-T Title : รูปแบบการบริหารจัดการที่ส่งผลต่อความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล Original title : Management Model Affecting the Success in Nursing Education Institutions Material Type: printed text Authors: รุ่งนภา กุลภักดี, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีย์ เสวกวัชรี, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2017 Pagination: xii, 255 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2017-10
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2560Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การบริหารจัดการ
[LCSH]ผู้นำ -- คุณลักษณะKeywords: ความสำเร็จของสถาบัน,
การบริหารจัดการ,
คุณลักษณะผู้นำ,
สถาบันการศึกษาพยาบาลAbstract: การวิจัยเชิงพรรณนานี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่เกี่ยวข้องระหว่างคุณลักษณะผู้นำและการบริหารจัดการสถาบันที่ส่งผลต่อความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล และกำหนดรูปแบบการบริหารจัดการที่ส่งผลต่อความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล กลุ่มตัวอย่างคณบดี/ผู้อำนวยการและอาจารย์พยาบาลปฏิบัติหน้าที่บริหารงานของสถาบันการศึกษาพยาบาลในการวิจัยเชิงปริมาณ จำนวน 365 คน และการวิจัยเชิงคุณภาพ จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ ใช้สถิติเชิงพรรณนาได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ สถิติวิเคราะห์เส้นทางอิทธิพล (path analysis) สถิติการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (structural equation modeling : SEM) และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (content analysis)
ผลการวิจัยพบว่า คุณลักษณะผู้นำของผู้บริหารมีอิทธิพลทางตรงกับการบริหารจัดการ (DE=1.18) และคุณลักษณะผู้นำของผู้บริหารมีอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมกับความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล (DE=-.52, IE=1.67) ส่วนการบริหารจัดการมีอิทธิพลทางตรงกับความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล (DE=1.42) และโมเดลสมการโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่เกี่ยวข้องระหว่างคุณลักษณะผู้นำของผู้บริหารและการบริหารจัดการที่ส่งผลต่อความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาลที่พัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (χ2=5.909, df=6, P=.433, CMIN/df=.985, GFI=.996, AGFI=.976, RMSEA=.000) ซึ่งสามารถอธิบายผลสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาลได้ร้อยละ 54.10 ผลการวิจัยเชิงคุณภาพสอดคล้องกับเชิงปริมาณในทุกมิติ และเสนอแนะให้พัฒนาคุณลักษณะผู้นำของผู้บริหารที่เอื้อต่อความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล รวมทั้งการรวมกลุ่มกันเป็นเครือข่ายเพื่อพัฒนาศักยภาพและกำหนดทิศทางการพัฒนาร่วมกันในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับสถาบันการศึกษาพยาบาลCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27547 SIU THE-T. รูปแบบการบริหารจัดการที่ส่งผลต่อความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล = Management Model Affecting the Success in Nursing Education Institutions [printed text] / รุ่งนภา กุลภักดี, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีย์ เสวกวัชรี, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017 . - xii, 255 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: SOM-DBA-2017-10
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2560
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การบริหารจัดการ
[LCSH]ผู้นำ -- คุณลักษณะKeywords: ความสำเร็จของสถาบัน,
การบริหารจัดการ,
คุณลักษณะผู้นำ,
สถาบันการศึกษาพยาบาลAbstract: การวิจัยเชิงพรรณนานี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์หาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่เกี่ยวข้องระหว่างคุณลักษณะผู้นำและการบริหารจัดการสถาบันที่ส่งผลต่อความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล และกำหนดรูปแบบการบริหารจัดการที่ส่งผลต่อความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล กลุ่มตัวอย่างคณบดี/ผู้อำนวยการและอาจารย์พยาบาลปฏิบัติหน้าที่บริหารงานของสถาบันการศึกษาพยาบาลในการวิจัยเชิงปริมาณ จำนวน 365 คน และการวิจัยเชิงคุณภาพ จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ ใช้สถิติเชิงพรรณนาได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ สถิติวิเคราะห์เส้นทางอิทธิพล (path analysis) สถิติการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (structural equation modeling : SEM) และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (content analysis)
ผลการวิจัยพบว่า คุณลักษณะผู้นำของผู้บริหารมีอิทธิพลทางตรงกับการบริหารจัดการ (DE=1.18) และคุณลักษณะผู้นำของผู้บริหารมีอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมกับความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล (DE=-.52, IE=1.67) ส่วนการบริหารจัดการมีอิทธิพลทางตรงกับความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล (DE=1.42) และโมเดลสมการโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่เกี่ยวข้องระหว่างคุณลักษณะผู้นำของผู้บริหารและการบริหารจัดการที่ส่งผลต่อความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาลที่พัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (χ2=5.909, df=6, P=.433, CMIN/df=.985, GFI=.996, AGFI=.976, RMSEA=.000) ซึ่งสามารถอธิบายผลสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาลได้ร้อยละ 54.10 ผลการวิจัยเชิงคุณภาพสอดคล้องกับเชิงปริมาณในทุกมิติ และเสนอแนะให้พัฒนาคุณลักษณะผู้นำของผู้บริหารที่เอื้อต่อความสำเร็จของสถาบันการศึกษาพยาบาล รวมทั้งการรวมกลุ่มกันเป็นเครือข่ายเพื่อพัฒนาศักยภาพและกำหนดทิศทางการพัฒนาร่วมกันในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับสถาบันการศึกษาพยาบาลCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27547 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000596674 SIU THE-T: SOM-DBA-2017-10 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000596682 SIU THE-T: SOM-DBA-2017-10 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU IS-T. รูปแบบความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการตำรวจ: กรณีศึกษาสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ / นันทวรรณ จันทาเทพ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2016
Collection Title: SIU IS-T Title : รูปแบบความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการตำรวจ: กรณีศึกษาสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ Original title : Organizational Commitment of Thai Police Officers: Case Studies of the office of the Police Commission Royal Thai Police Material Type: printed text Authors: นันทวรรณ จันทาเทพ, Author ; อาภากร พลเทียร, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2016 Pagination: viii, 114 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU IS-T: SOM-MBA-2016-02
Independent Study. [MS[MBA]]--Shinawatra University, 2016.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ข้าราชการ -- การทำงาน
[LCSH]ความผูกพันต่อองค์การ -- การศึกษาเฉพาะกรณี
[LCSH]ตำรวจ -- ไทยKeywords: ความผูกพัน
องค์กรAbstract: การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อการศึกษารูปแบบความผูกพันต่อองค์กรของข้าราชการตำรวจ กรณีศึกษา สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา คือข้าราชการตำรวจสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 143 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม (มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คือสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์คุณลักษณะของประชากร ใช้สถิติวิเคราะห์ t-test เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปร 2 ตัวแปร และใช้สถิติวิเคราะห์ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson’s Correlation Coefficient) เพื่อทดสอบความสัมพันธ์เชิงเส้นระหว่างตัวแปรเชิงปริมาณ 2 ตัวแปร
ผลการศึกษาพบว่า
1) คุณลักษณะของประชากรพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 31 – 40 ปี สถานภาพโสด การศึกษาระดับปริญญาตรี ตำแหน่งส่วนใหญ่เป็น รองสารวัตร – สารวัตร อัตราเงินเดือน อยู่ระหว่าง 15,001 – 25,000 บาท ระยะเวลาในการปฏิบัติงาน 6 - 15 ปี และสายงานด้านงานอำนวยการ
2) ความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพโดยรวมของปัจจัยแรงจูงใจในการทำงานของข้าราชการตำรวจ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่ในระดับมาก และมีค่าเฉลี่ยของของปัจจัยแรงจูงใจด้านความก้าวหน้าในตำแหน่งงานอยู่ในระดับสูงสุด รองลงมาคือด้านลักษณะงานที่ปฏิบัติและด้านการได้รับการยอมรับตามลำดับ และปัจจัยความผูกพันต่อองค์กรของข้าราชการตำรวจ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่ในระดับมาก และมีค่าเฉลี่ยของของปัจจัยความผูกพันต่อองค์กรด้านจิตใจอยู่ในระดับสูงสุด รองลงมาคือด้านการคงอยู่กับองค์กรและด้านบรรทัดฐานตามลำดับ
3) การทดสอบความสัมพันธ์ของปัจจัยคุณลักษณะประชากรต่อปัจจัยความผูกพันต่อองค์กรของข้าราชการตำรวจ พบว่าปัจจัยคุณลักษณะประชากร ด้านเพศ อายุ สถานภาพ ระดับการศึกษา ตำแหน่ง อัตราเงินเดือน และสายงาน ที่แตกต่างกันแต่มีความผูกพันต่อองค์กรที่ไม่แตกต่างกัน และปัจจัยแรงจูงใจในการทำงานของข้าราชการตำรวจมีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อปัจจัยความผูกพันต่อองค์กรของข้าราชการตำรวจ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์ความสัมพันธ์เท่ากับ 0.762Curricular : BBA/GE/MBA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26486 SIU IS-T. รูปแบบความผูกพันต่อองค์การของข้าราชการตำรวจ: กรณีศึกษาสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ = Organizational Commitment of Thai Police Officers: Case Studies of the office of the Police Commission Royal Thai Police [printed text] / นันทวรรณ จันทาเทพ, Author ; อาภากร พลเทียร, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016 . - viii, 114 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU IS-T: SOM-MBA-2016-02
Independent Study. [MS[MBA]]--Shinawatra University, 2016.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ข้าราชการ -- การทำงาน
[LCSH]ความผูกพันต่อองค์การ -- การศึกษาเฉพาะกรณี
[LCSH]ตำรวจ -- ไทยKeywords: ความผูกพัน
องค์กรAbstract: การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อการศึกษารูปแบบความผูกพันต่อองค์กรของข้าราชการตำรวจ กรณีศึกษา สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา คือข้าราชการตำรวจสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 143 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม (มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คือสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ที่นำมาใช้ในการวิเคราะห์คุณลักษณะของประชากร ใช้สถิติวิเคราะห์ t-test เพื่อทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปร 2 ตัวแปร และใช้สถิติวิเคราะห์ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson’s Correlation Coefficient) เพื่อทดสอบความสัมพันธ์เชิงเส้นระหว่างตัวแปรเชิงปริมาณ 2 ตัวแปร
ผลการศึกษาพบว่า
1) คุณลักษณะของประชากรพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 31 – 40 ปี สถานภาพโสด การศึกษาระดับปริญญาตรี ตำแหน่งส่วนใหญ่เป็น รองสารวัตร – สารวัตร อัตราเงินเดือน อยู่ระหว่าง 15,001 – 25,000 บาท ระยะเวลาในการปฏิบัติงาน 6 - 15 ปี และสายงานด้านงานอำนวยการ
2) ความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพโดยรวมของปัจจัยแรงจูงใจในการทำงานของข้าราชการตำรวจ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่ในระดับมาก และมีค่าเฉลี่ยของของปัจจัยแรงจูงใจด้านความก้าวหน้าในตำแหน่งงานอยู่ในระดับสูงสุด รองลงมาคือด้านลักษณะงานที่ปฏิบัติและด้านการได้รับการยอมรับตามลำดับ และปัจจัยความผูกพันต่อองค์กรของข้าราชการตำรวจ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่ในระดับมาก และมีค่าเฉลี่ยของของปัจจัยความผูกพันต่อองค์กรด้านจิตใจอยู่ในระดับสูงสุด รองลงมาคือด้านการคงอยู่กับองค์กรและด้านบรรทัดฐานตามลำดับ
3) การทดสอบความสัมพันธ์ของปัจจัยคุณลักษณะประชากรต่อปัจจัยความผูกพันต่อองค์กรของข้าราชการตำรวจ พบว่าปัจจัยคุณลักษณะประชากร ด้านเพศ อายุ สถานภาพ ระดับการศึกษา ตำแหน่ง อัตราเงินเดือน และสายงาน ที่แตกต่างกันแต่มีความผูกพันต่อองค์กรที่ไม่แตกต่างกัน และปัจจัยแรงจูงใจในการทำงานของข้าราชการตำรวจมีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อปัจจัยความผูกพันต่อองค์กรของข้าราชการตำรวจ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์ความสัมพันธ์เท่ากับ 0.762Curricular : BBA/GE/MBA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26486 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000591535 SIU IS-T: SOM-MBA-2016-02 c.1 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ลักษณะของธุรกิจครอบครัวที่ยั่งยืน / ปานรพร บุญเมฆ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : ลักษณะของธุรกิจครอบครัวที่ยั่งยืน Original title : Characteristics of Sustainable Family Business Material Type: printed text Authors: ปานรพร บุญเมฆ, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: viii, 160 p. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาคุณลักษณะของธุรกิจครอบครัวไทยโดยศึกษาปัจจัยและองค์ประกอบที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจได้ประสบผลความสำเร็จและมีความยั่งยืน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเจ้าของหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าของของบริษัทที่เป็นธุรกิจครอบครัวที่จดทะเบียนในจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ผลการวิจัยพบว่า ความเป็นหนึ่งเดียวของสมาชิกในครอบครัว การมีคณะกรรมการครอบครัว
(สภาครอบครัว) กฎระเบียบ (ธรรมนูญครอบครัว) การใช้มืออาชีพที่เป็นบุคคลภายนอกเข้าร่วมงาน ความเป็นสากลของธุรกิจ (มีธุรกรรมทางธุรกิจกับต่างประเทศ) มีหลักธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการธุรกิจ และการมีสัมพันธภาพที่ดีกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เป็นองค์ประกอบสำคัญที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จในการประกอบธุรกิจตลอดทั้งมีผลต่อความยั่งยืนของธุรกิจครอบครัวของไทย
นอกจากนี้ผลการวิจัยด้านคุณลักษณะพบว่าธุรกิจครอบครัวที่ประสบความสำเร็จและมีความยั่งยืนที่ทำการศึกษาในครั้งนี้มีการประยุกต์ใช้หลักการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลมีการประกาศให้พนักงานรับทราบ บริษัทปฏิบัติตามกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์และกฎระเบียบของครอบครัว ไม่เน้นการใช้เงินทุนจากสถาบันการเงินในการดำเนินธุรกิจปกติยกเว้นการใช้เงินทุนในระยะสั้น บริษัทมีกระบวนการในการคัดเลือกทายาทผู้สืบทอดธุรกิจที่ชัดเจน มีการฝึกอบรมทายาทให้เกิดการซึมซับวัฒนธรรมและค่านิยมขององค์การที่เป็นธุรกิจของครอบครัว สนับสนุนให้ทายาทเริ่มทำงานภายในหรือภายนอกธุรกิจของครอบครัว มีการมอบหมายให้ทายาทผู้ที่จะรับสืบทอดธุรกิจเริ่มทำงานในองค์การเริ่มตั้งแต่ตำแหน่งขั้นต้นก่อนเข้ารับตำแหน่งในระดับสูงเพื่อให้เกิดการยอมรับในหมู่พนักงานLanguages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การบริหารจัดการ
[LCSH]ธุรกิจครอบครัวKeywords: คุณลักษณะ
ความยั่งยืน
ธุรกิจครอบครัวCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27706 SIU THE-T. ลักษณะของธุรกิจครอบครัวที่ยั่งยืน = Characteristics of Sustainable Family Business [printed text] / ปานรพร บุญเมฆ, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - viii, 160 p. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาคุณลักษณะของธุรกิจครอบครัวไทยโดยศึกษาปัจจัยและองค์ประกอบที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจได้ประสบผลความสำเร็จและมีความยั่งยืน เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเจ้าของหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าของของบริษัทที่เป็นธุรกิจครอบครัวที่จดทะเบียนในจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ผลการวิจัยพบว่า ความเป็นหนึ่งเดียวของสมาชิกในครอบครัว การมีคณะกรรมการครอบครัว
(สภาครอบครัว) กฎระเบียบ (ธรรมนูญครอบครัว) การใช้มืออาชีพที่เป็นบุคคลภายนอกเข้าร่วมงาน ความเป็นสากลของธุรกิจ (มีธุรกรรมทางธุรกิจกับต่างประเทศ) มีหลักธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการธุรกิจ และการมีสัมพันธภาพที่ดีกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เป็นองค์ประกอบสำคัญที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จในการประกอบธุรกิจตลอดทั้งมีผลต่อความยั่งยืนของธุรกิจครอบครัวของไทย
นอกจากนี้ผลการวิจัยด้านคุณลักษณะพบว่าธุรกิจครอบครัวที่ประสบความสำเร็จและมีความยั่งยืนที่ทำการศึกษาในครั้งนี้มีการประยุกต์ใช้หลักการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลมีการประกาศให้พนักงานรับทราบ บริษัทปฏิบัติตามกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์และกฎระเบียบของครอบครัว ไม่เน้นการใช้เงินทุนจากสถาบันการเงินในการดำเนินธุรกิจปกติยกเว้นการใช้เงินทุนในระยะสั้น บริษัทมีกระบวนการในการคัดเลือกทายาทผู้สืบทอดธุรกิจที่ชัดเจน มีการฝึกอบรมทายาทให้เกิดการซึมซับวัฒนธรรมและค่านิยมขององค์การที่เป็นธุรกิจของครอบครัว สนับสนุนให้ทายาทเริ่มทำงานภายในหรือภายนอกธุรกิจของครอบครัว มีการมอบหมายให้ทายาทผู้ที่จะรับสืบทอดธุรกิจเริ่มทำงานในองค์การเริ่มตั้งแต่ตำแหน่งขั้นต้นก่อนเข้ารับตำแหน่งในระดับสูงเพื่อให้เกิดการยอมรับในหมู่พนักงาน
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การบริหารจัดการ
[LCSH]ธุรกิจครอบครัวKeywords: คุณลักษณะ
ความยั่งยืน
ธุรกิจครอบครัวCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27706 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000597367 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-01 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000597359 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-01 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ลักษณะองค์การที่เป็นเลิศที่มีต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย / รัฐนันท์ พงศ์วิริทธิ์ธร / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : ลักษณะองค์การที่เป็นเลิศที่มีต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย Original title : Characteristics of Excellence Performance Organization that Influencing the Performance of Small and Medium Enterprise in Northern Region of Thailand Material Type: printed text Authors: รัฐนันท์ พงศ์วิริทธิ์ธร, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; วิไลพร เลาหโกศล, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: xii, 266 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2018-03
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2561Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ธุรกิจขนาดกลาง
[LCSH]ธุรกิจขนาดย่อมKeywords: ลักษณะองค์กรที่เป็นเลิศ,
ผลการดำเนินงาน,
ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม,
ภาคเหนือของประเทศไทยAbstract: งานวิจัยครั้งนี้เพื่อทราบถึงลักษณะองค์การที่เป็นเลิศที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย จากประชากรและกลุ่มตัวอย่างของผู้ประกอบการธุรกิจในเขตพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยทั้งหมด 17 จังหวัด ซึ่งกลุ่มตัวที่ทำการคัดเลือกโดยใช้วิธีการเลือกตัวอย่างแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็น (Nonprobability Sampling) การสุ่มเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เนื่องจากข้อมูลในการประกอบธุรกิจมีความสำคัญและต้องให้ผู้ประกอบการสมัครใจ จำนวน 400 ราย โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิตเชิงพรรณา ได้แก่ การหาค่าเฉลี่ยร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Arithmetic Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการทดสอบสมมติฐาน (Hypothesis Testing) ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปซึ่งทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปร สำหรับกำหนดการวัดการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว One-Way ANOVA และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์ (Correlation Coefficient)
ผลการวิจัยพบว่า ลักษณะองค์การที่เป็นเลิศของธุรกิจธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ในภาพรวมสอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริงในระดับมาก (x̄ = 3.910) เมื่อพิจารณารายด้านทั้ง 6 ด้าน มีความสอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริงในระดับมากทุกด้านได้แก่ 1.) การนำองค์การ (การกำกับดูแลองค์การ) (x̄ = 3.865) 2.) การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ) (x̄ = 4.062) 3.) การมุ่งเน้นลูกค้า (x̄ = 3.723) 4.) การวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้ (x̄ = 3.967) 5.) การมุ่งเน้นบุคลากร (x̄ = 4.130) และ 6.) การมุ่งเน้นการปฏิบัติการ (x̄ = 3.715) ผลการดำเนินงานด้านผลลัพธ์ด้านการเงินของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ในภาพรวมอยู่ในระดับที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเป้าหมาย (x̄ = 3.752) เมื่อพิจารณารายข้ออยู่ในระดับที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเป้าหมายทุกข้อ ได้แก่ อัตราการขยายตัวปีล่าสุดของความสามารถในการชำระหนี้ (Leverage Ratio) (x̄ = 4.305) อัตราการขยายตัวปีล่าสุดของผลตอบแทนต่อนักลงทุน (ROI) (x̄ = 4.245) และอัตราการขยายตัวปีล่าสุดของผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) (x̄ = 3.925)
การทดสอบสมมติฐานของการวิจัยพบว่า ลักษะทางประชากรศาสตร์ที่แตกต่างกันทางด้าน อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน และกลุ่มประเภทของธุรกิจ มีค่าเฉลี่ยระดับความสอดคล้องต่อลักษณะขององค์การที่เป็นเลิศที่ไม่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามจะมีความแตกกันของลักษณะขององค์การที่เป็นเลิศจำแนกตามตำแหน่งงาน ส่วนลักษณะองค์การที่เป็นเลิศของธุรกิจธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทยนั้น พบว่า การนำองค์การ (r= 0.610, Sig.= 0.000) การวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้ (r= -0.160, Sig. = 0.001) การมุ่งเน้นบุคลากร (r= -0.156, Sig. = 0.002) มีความสัมพันธ์ต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งการวางแผนเชิงกลยุทธ์ (r= -0.001, Sig. = 0.997) การมุ่งเน้นลูกค้า (r= -0.090, Sig. = 0.071) และการมุ่งเน้นการปฏิบัติการ (r= 0.077, Sig. = 0.124) ไม่มีความสัมพันธ์ต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย
นอกจากนี้การนำงานวิจัยไปพัฒนาลักษณะองค์การที่เป็นเลิศที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ควรมุ่งเน้น การนำองค์กร ซึ่งผู้นำขององค์การได้ชี้นำ ในการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับเป้าหมายและสามารถสื่อสารภายในองค์การได้ทั้งองค์การ โดยมีระบบการกำกับดูแลองค์การ ด้านกฎหมาย จริยธรรม และความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งการตั้งเป้าหมายของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการควบคุม ติดตาม ประเมินผล เพื่อให้เป็นองค์กรแห่งความเป็นเลิศนั้น ควรต้องลดความสัมพันธ์เชิงลบหรือเป็นผลทางลบที่จะทำให้องค์การไม่เป็นองค์การแห่งความเป็นเลิศ โดยต้องมีการทบทวนเป้าหมาย การปรับเปลี่ยนแผนงานให้มีความหยืดหยุ่นหรือทันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจหรือเน้นการวางแผนงาน แผนคน แผนปฏิบัติ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์การ ซึ่งต้องมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ในตำแหน่งหน้าที่ของบุคลากร เพื่อให้การสร้างความหยืดหยุ่นในตำแหน่งงานCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27838 SIU THE-T. ลักษณะองค์การที่เป็นเลิศที่มีต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย = Characteristics of Excellence Performance Organization that Influencing the Performance of Small and Medium Enterprise in Northern Region of Thailand [printed text] / รัฐนันท์ พงศ์วิริทธิ์ธร, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; วิไลพร เลาหโกศล, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - xii, 266 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2018-03
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2561
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ธุรกิจขนาดกลาง
[LCSH]ธุรกิจขนาดย่อมKeywords: ลักษณะองค์กรที่เป็นเลิศ,
ผลการดำเนินงาน,
ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม,
ภาคเหนือของประเทศไทยAbstract: งานวิจัยครั้งนี้เพื่อทราบถึงลักษณะองค์การที่เป็นเลิศที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย จากประชากรและกลุ่มตัวอย่างของผู้ประกอบการธุรกิจในเขตพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยทั้งหมด 17 จังหวัด ซึ่งกลุ่มตัวที่ทำการคัดเลือกโดยใช้วิธีการเลือกตัวอย่างแบบไม่ใช้ความน่าจะเป็น (Nonprobability Sampling) การสุ่มเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เนื่องจากข้อมูลในการประกอบธุรกิจมีความสำคัญและต้องให้ผู้ประกอบการสมัครใจ จำนวน 400 ราย โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิตเชิงพรรณา ได้แก่ การหาค่าเฉลี่ยร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Arithmetic Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และการทดสอบสมมติฐาน (Hypothesis Testing) ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปซึ่งทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปร สำหรับกำหนดการวัดการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว One-Way ANOVA และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์ (Correlation Coefficient)
ผลการวิจัยพบว่า ลักษณะองค์การที่เป็นเลิศของธุรกิจธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ในภาพรวมสอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริงในระดับมาก (x̄ = 3.910) เมื่อพิจารณารายด้านทั้ง 6 ด้าน มีความสอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริงในระดับมากทุกด้านได้แก่ 1.) การนำองค์การ (การกำกับดูแลองค์การ) (x̄ = 3.865) 2.) การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ) (x̄ = 4.062) 3.) การมุ่งเน้นลูกค้า (x̄ = 3.723) 4.) การวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้ (x̄ = 3.967) 5.) การมุ่งเน้นบุคลากร (x̄ = 4.130) และ 6.) การมุ่งเน้นการปฏิบัติการ (x̄ = 3.715) ผลการดำเนินงานด้านผลลัพธ์ด้านการเงินของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ในภาพรวมอยู่ในระดับที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเป้าหมาย (x̄ = 3.752) เมื่อพิจารณารายข้ออยู่ในระดับที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเป้าหมายทุกข้อ ได้แก่ อัตราการขยายตัวปีล่าสุดของความสามารถในการชำระหนี้ (Leverage Ratio) (x̄ = 4.305) อัตราการขยายตัวปีล่าสุดของผลตอบแทนต่อนักลงทุน (ROI) (x̄ = 4.245) และอัตราการขยายตัวปีล่าสุดของผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) (x̄ = 3.925)
การทดสอบสมมติฐานของการวิจัยพบว่า ลักษะทางประชากรศาสตร์ที่แตกต่างกันทางด้าน อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน และกลุ่มประเภทของธุรกิจ มีค่าเฉลี่ยระดับความสอดคล้องต่อลักษณะขององค์การที่เป็นเลิศที่ไม่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามจะมีความแตกกันของลักษณะขององค์การที่เป็นเลิศจำแนกตามตำแหน่งงาน ส่วนลักษณะองค์การที่เป็นเลิศของธุรกิจธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทยนั้น พบว่า การนำองค์การ (r= 0.610, Sig.= 0.000) การวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้ (r= -0.160, Sig. = 0.001) การมุ่งเน้นบุคลากร (r= -0.156, Sig. = 0.002) มีความสัมพันธ์ต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งการวางแผนเชิงกลยุทธ์ (r= -0.001, Sig. = 0.997) การมุ่งเน้นลูกค้า (r= -0.090, Sig. = 0.071) และการมุ่งเน้นการปฏิบัติการ (r= 0.077, Sig. = 0.124) ไม่มีความสัมพันธ์ต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย
นอกจากนี้การนำงานวิจัยไปพัฒนาลักษณะองค์การที่เป็นเลิศที่มีอิทธิพลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ควรมุ่งเน้น การนำองค์กร ซึ่งผู้นำขององค์การได้ชี้นำ ในการกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ และกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับเป้าหมายและสามารถสื่อสารภายในองค์การได้ทั้งองค์การ โดยมีระบบการกำกับดูแลองค์การ ด้านกฎหมาย จริยธรรม และความรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งการตั้งเป้าหมายของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการควบคุม ติดตาม ประเมินผล เพื่อให้เป็นองค์กรแห่งความเป็นเลิศนั้น ควรต้องลดความสัมพันธ์เชิงลบหรือเป็นผลทางลบที่จะทำให้องค์การไม่เป็นองค์การแห่งความเป็นเลิศ โดยต้องมีการทบทวนเป้าหมาย การปรับเปลี่ยนแผนงานให้มีความหยืดหยุ่นหรือทันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจหรือเน้นการวางแผนงาน แผนคน แผนปฏิบัติ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์การ ซึ่งต้องมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ในตำแหน่งหน้าที่ของบุคลากร เพื่อให้การสร้างความหยืดหยุ่นในตำแหน่งงานCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27838 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000598191 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-03 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598225 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-03 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. วิธีการแข่งขันของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองระดับเทศบาลตำบล อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง / ฉัตรชัย เล็กบุญแถม / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : วิธีการแข่งขันของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองระดับเทศบาลตำบล อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง Original title : Competitive Strategies of Political Interest Groups at Subdistrict Municipality Level, Nikhompattana, District, Rayong Material Type: printed text Authors: ฉัตรชัย เล็กบุญแถม, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: ix, 133 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-07
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การปกครองท้องถิ่น Keywords: การเมืองระดับท้องถิ่น,
กลุ่มผลประโยชน์,
รูปแบบ,
วิธีการการแข่งขันAbstract: วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการแข่งขันของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองในระดับเทศบาลตำบล และศึกษาการใช้เครื่องมือที่กลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองนำมาใช้ในการแข่งขันทางการเมืองในระดับเทศบาลตำบลโดยใช้อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง เป็นกรณีศึกษา วิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้สัมภาษณ์เชิงลึกเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มผู้นำชุมชน กลุ่มสตรีแม่บ้าน กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มพ่อค้า/แม่ค้า และกลุ่มข้าราชการในพื้นที่เทศบาลตำบลมะขามคู่ เทศบาลตำบลมาบข่า และเทศบาลตำบลมาบข่าพัฒนา อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง จำนวน 110 คน
ผลการวิจัย พบว่า องค์ประกอบที่ทำให้กลุ่มนักการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการมีนโยบายที่ชัดเจน และสามารถตอบสนองความต้องการของชาวบ้านในพื้นที่ รู้และเข้าใจปัญหาเป็นอย่างดี โดยการเข้ามีส่วนร่วมกิจกรรมในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง มีความเป็นเครือญาติกับคนในพื้นที่มีความสัมพันธ์อันดีตลอดมา และยังมีพรรคการเมืองระดับชาติคอยให้การสนับสนุนให้ความช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ นอกจากนี้พบว่ามีการสร้างความนิยมจากประชาชนโดยการเข้าไปช่วยเหลือโครงการต่างๆ ส่งเสริมและเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชนอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนและร่วมผลักดันกิจกรรมใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์กับชุมชนอย่างต่อเนื่อง การเป็นกันเองกับชาวบ้านเหมือนญาติพี่น้อง ไม่แบ่งกลุ่มหรือประเภท โดยเฉพาะในเรื่องผลประโยชน์แอบแฝง และการปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนทุกภาคส่วน สำหรับปัจจัยที่มีอิทธิพลส่งผลต่อลักษณะการต่อสู้ทางการเมืองของกลุ่มผลประโยชน์ผลการวิจัยพบว่ามีลักษณะการต่อสู้ในรูปแบบของการเข้าพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นในเรื่องตัวบุคคล บทบาททางการเมือง นโยบาย การปกป้องผลประโยชน์ ตลอดจนความสัมพันธ์ โดยมีกลุ่มชาวบ้านคอยช่วยเหลือและอำนวยความสะดวก เร่งกระทำในเรื่องของประชานิยมของการแข่งขัน และเป็นไปในลักษณะของการลงพื้นที่หาเสียงโดยใช้ความสัมพันธ์เชิงเครือญาติ ซึ่งต่างฝ่ายต่างให้เครือญาติและเพื่อนๆ ช่วยเหลือเพื่อขอคะแนนเสียงจากประชาชนในพื้นที่ และที่สำคัญกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นได้ใช้ความสัมพันธ์ที่ดี เพื่อขอความช่วยเหลือจากนักการเมืองระดับประเทศเพื่อให้การสนับสนุน
ผลการวิจัยเกี่ยวกับรูปแบบและลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองในเขตพื้นที่ พบว่า มีการสร้างสัมพันธภาพของกลุ่มนักการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งและกลุ่มนักการเมืองที่แพ้การเลือกตั้ง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อบทบาทของกลุ่มองค์กรต่างๆ ของประชาชนในการรับสนับสนุนของกลุ่มนักการเมืองที่ชนะในการเลือกตั้งและกลุ่มนักการเมืองที่แพ้การเลือกตั้ง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อบทบาทความสำคัญของคุณสมบัติ และนโยบายของผู้สมัครรับเลือกตั้ง และผลจากบทบาทของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง ในเขตพื้นที่เทศบาลที่ พบว่า การสร้างบทบาทของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองในเขตพื้นที่ส่งผลบวกมากกว่าผลลบCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27842 SIU THE-T. วิธีการแข่งขันของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองระดับเทศบาลตำบล อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง = Competitive Strategies of Political Interest Groups at Subdistrict Municipality Level, Nikhompattana, District, Rayong [printed text] / ฉัตรชัย เล็กบุญแถม, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - ix, 133 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-07
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การปกครองท้องถิ่น Keywords: การเมืองระดับท้องถิ่น,
กลุ่มผลประโยชน์,
รูปแบบ,
วิธีการการแข่งขันAbstract: วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการแข่งขันของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองในระดับเทศบาลตำบล และศึกษาการใช้เครื่องมือที่กลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองนำมาใช้ในการแข่งขันทางการเมืองในระดับเทศบาลตำบลโดยใช้อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง เป็นกรณีศึกษา วิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้สัมภาษณ์เชิงลึกเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มผู้นำชุมชน กลุ่มสตรีแม่บ้าน กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มพ่อค้า/แม่ค้า และกลุ่มข้าราชการในพื้นที่เทศบาลตำบลมะขามคู่ เทศบาลตำบลมาบข่า และเทศบาลตำบลมาบข่าพัฒนา อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง จำนวน 110 คน
ผลการวิจัย พบว่า องค์ประกอบที่ทำให้กลุ่มนักการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการมีนโยบายที่ชัดเจน และสามารถตอบสนองความต้องการของชาวบ้านในพื้นที่ รู้และเข้าใจปัญหาเป็นอย่างดี โดยการเข้ามีส่วนร่วมกิจกรรมในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง มีความเป็นเครือญาติกับคนในพื้นที่มีความสัมพันธ์อันดีตลอดมา และยังมีพรรคการเมืองระดับชาติคอยให้การสนับสนุนให้ความช่วยเหลือในเรื่องต่างๆ นอกจากนี้พบว่ามีการสร้างความนิยมจากประชาชนโดยการเข้าไปช่วยเหลือโครงการต่างๆ ส่งเสริมและเข้าร่วมกิจกรรมของชุมชนอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนและร่วมผลักดันกิจกรรมใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์กับชุมชนอย่างต่อเนื่อง การเป็นกันเองกับชาวบ้านเหมือนญาติพี่น้อง ไม่แบ่งกลุ่มหรือประเภท โดยเฉพาะในเรื่องผลประโยชน์แอบแฝง และการปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนทุกภาคส่วน สำหรับปัจจัยที่มีอิทธิพลส่งผลต่อลักษณะการต่อสู้ทางการเมืองของกลุ่มผลประโยชน์ผลการวิจัยพบว่ามีลักษณะการต่อสู้ในรูปแบบของการเข้าพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นในเรื่องตัวบุคคล บทบาททางการเมือง นโยบาย การปกป้องผลประโยชน์ ตลอดจนความสัมพันธ์ โดยมีกลุ่มชาวบ้านคอยช่วยเหลือและอำนวยความสะดวก เร่งกระทำในเรื่องของประชานิยมของการแข่งขัน และเป็นไปในลักษณะของการลงพื้นที่หาเสียงโดยใช้ความสัมพันธ์เชิงเครือญาติ ซึ่งต่างฝ่ายต่างให้เครือญาติและเพื่อนๆ ช่วยเหลือเพื่อขอคะแนนเสียงจากประชาชนในพื้นที่ และที่สำคัญกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นได้ใช้ความสัมพันธ์ที่ดี เพื่อขอความช่วยเหลือจากนักการเมืองระดับประเทศเพื่อให้การสนับสนุน
ผลการวิจัยเกี่ยวกับรูปแบบและลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองในเขตพื้นที่ พบว่า มีการสร้างสัมพันธภาพของกลุ่มนักการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งและกลุ่มนักการเมืองที่แพ้การเลือกตั้ง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อบทบาทของกลุ่มองค์กรต่างๆ ของประชาชนในการรับสนับสนุนของกลุ่มนักการเมืองที่ชนะในการเลือกตั้งและกลุ่มนักการเมืองที่แพ้การเลือกตั้ง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อบทบาทความสำคัญของคุณสมบัติ และนโยบายของผู้สมัครรับเลือกตั้ง และผลจากบทบาทของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมือง ในเขตพื้นที่เทศบาลที่ พบว่า การสร้างบทบาทของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองในเขตพื้นที่ส่งผลบวกมากกว่าผลลบCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27842 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000598266 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-07 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598233 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-07 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU IS-T. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อกระบวนการซื้อสินค้าออนไลน์ ของผู้บริโภคสำนักงานตึกช้าง / สินี อินชูพงษ์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2016
Collection Title: SIU IS-T Title : ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อกระบวนการซื้อสินค้าออนไลน์ ของผู้บริโภคสำนักงานตึกช้าง Original title : Researching for Factors that Effect to Buying Online Products of Consumers from Elephants Tower Building Material Type: printed text Authors: สินี อินชูพงษ์, Author ; อาภากร พลเทียร, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2016 Pagination: ix, 82 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU IS-T: SOM-MBA-2016-07
Independent Study. [MS[MBA]]--Shinawatra University, 2016.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การเลือกซื้อสินค้า
[LCSH]ผู้บริโภค -- พฤติกรรม
[LCSH]สินค้าออนไลน์Keywords: ซื้อสินค้าออนไลน์ Abstract: การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาปัจจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการเลือกสินค้าผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของผู้บริโภคสำนักงานตึกช้าง 2. เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด (4ps) ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของผู้บริโภคสำนักงานตึกช้าง จำแนกตามปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคล
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ผู้บริโภคสำนักงานตึกช้าง(พนักงานบริษัท) จำนวน 150 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งเป็นชั้นภูมิเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภคสำนักงานตึกช้าง แบ่งออกเป็น 4 ส่วนคือแบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคล แบบสอบถามด้านปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด แบบสอบถามด้านปัจจัยภาพลักษณ์และตราสินค้า และข้อเสนอแนะสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ ค่าร้อยละ(Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าส่วนเบี่ยงแบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ค่าสถิติ (t-test) ชนิดวิเคราะห์ทางเดียว (One-Way Anova) และการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่ายแบบ Pearson Product Moment Coefficient
ผลวิจัยพบว่า
ปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดมีระดับการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภคสำนักงานตึกช้างด้านช่องทางการจัดจำหน่ายอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือส่งเสริมการตลาดอยู่ในระดับมาก ด้านผลิตภัณฑ์และด้านราคาเรียงมาตามลำดับ ปัจจัยด้านภาพลักษณ์ตราสินค้ามีระดับการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภคสำนักงานตึกช้างอยู่ในระดับมาก
ปัจจัยด้านการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภคสำนักงานตึกช้างในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ระดับมากที่สุดคือด้านการประเมินทางเลือกกับด้านการตัดสินใจซื้อ รองลงมาคือด้านการค้นหาข้อมูลCurricular : BBA/GE/MBA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26492 SIU IS-T. ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อกระบวนการซื้อสินค้าออนไลน์ ของผู้บริโภคสำนักงานตึกช้าง = Researching for Factors that Effect to Buying Online Products of Consumers from Elephants Tower Building [printed text] / สินี อินชูพงษ์, Author ; อาภากร พลเทียร, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016 . - ix, 82 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU IS-T: SOM-MBA-2016-07
Independent Study. [MS[MBA]]--Shinawatra University, 2016.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การเลือกซื้อสินค้า
[LCSH]ผู้บริโภค -- พฤติกรรม
[LCSH]สินค้าออนไลน์Keywords: ซื้อสินค้าออนไลน์ Abstract: การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาปัจจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการเลือกสินค้าผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของผู้บริโภคสำนักงานตึกช้าง 2. เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด (4ps) ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของผู้บริโภคสำนักงานตึกช้าง จำแนกตามปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคล
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ผู้บริโภคสำนักงานตึกช้าง(พนักงานบริษัท) จำนวน 150 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งเป็นชั้นภูมิเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภคสำนักงานตึกช้าง แบ่งออกเป็น 4 ส่วนคือแบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคล แบบสอบถามด้านปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด แบบสอบถามด้านปัจจัยภาพลักษณ์และตราสินค้า และข้อเสนอแนะสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ ค่าร้อยละ(Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าส่วนเบี่ยงแบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ค่าสถิติ (t-test) ชนิดวิเคราะห์ทางเดียว (One-Way Anova) และการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์อย่างง่ายแบบ Pearson Product Moment Coefficient
ผลวิจัยพบว่า
ปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดมีระดับการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภคสำนักงานตึกช้างด้านช่องทางการจัดจำหน่ายอยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือส่งเสริมการตลาดอยู่ในระดับมาก ด้านผลิตภัณฑ์และด้านราคาเรียงมาตามลำดับ ปัจจัยด้านภาพลักษณ์ตราสินค้ามีระดับการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภคสำนักงานตึกช้างอยู่ในระดับมาก
ปัจจัยด้านการตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภคสำนักงานตึกช้างในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ระดับมากที่สุดคือด้านการประเมินทางเลือกกับด้านการตัดสินใจซื้อ รองลงมาคือด้านการค้นหาข้อมูลCurricular : BBA/GE/MBA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26492 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000591600 SIU IS-T: SOM-MBA-2016-07 c.1 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. องค์ประกอบของคุณภาพการให้บริการที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของบริษัทรักษาความปลอดภัยในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคกลาง / ศิร์รัฐ ภิรมย์บวรภักดิ์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : องค์ประกอบของคุณภาพการให้บริการที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของบริษัทรักษาความปลอดภัยในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคกลาง Original title : Elements of Service Quality Influencing on the Success of Security Service Companies in the Industrial Estates in the Central Region Material Type: printed text Authors: ศิร์รัฐ ภิรมย์บวรภักดิ์, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: xii, 120 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2019-01
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การบริการ
[LCSH]ธุรกิจรักษาความปลอดภัย -- การให้บริการKeywords: การบริการ,
ความสำเร็จ,
ธุรกิจรักษาความปลอดภัยAbstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบของการให้บริการที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของธุรกิจรักษาความปลอดภัย ในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคกลาง ทำการเก็บข้อมูลจากผู้จัดการบริษัทผู้ใช้บริการรักษาความปลอดภัยในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคกลาง จำนวน 400 คน ด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา และใช้สถิติเชิงอนุมานในการทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปร โดยยอมรับสมมุติฐานที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05
ผลการวิจัยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการ โดยอยู่ในตำแหน่งปัจจุบันมากกว่า 1 ถึง 5 ปี ทำงานอยู่ในธุรกิจประเภทอุตสาหกรรมการผลิต โดยบริษัทจดทะเบียนมาแล้วมากกว่า 10 ปี มีจำนวนพนักงานทำงานในกิจการจำนวน 101 - 500 คน ผลจากการวิจัยในครั้งนี้พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับขนาดของบริษัทรักษาความปลอดภัยในระดับมากที่สุด รองลงมาพบว่ามีการให้ความความสำคัญกับจำนวนพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทผู้ให้บริการ และการรับผิดชอบต่อความเสียหายว่ามีผลต่อความสำเร็จของการบริการ ส่วนความสำคัญด้านคุณลักษณะของบริษัทผู้ให้บริการรักษาความปลอดภัย พบว่า ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของบริษัทผู้ให้บริการรักษาความปลอดภัยในภาพรวมมีความสำคัญอยู่ในระดับมากที่สุดเช่นกัน โดยพบว่า ชื่อเสียงของเจ้าของธุรกิจมีความสำคัญเป็นอันดับแรก รองลงมาคือหน่วยงานที่เคยใช้บริการสำหรับนำมาใช้ในการอ้างอิง การได้รับการรับรองโดยสถาบันต่างๆ เรียงตามลำดับ การฝึกอบรมและการพัฒนาบุคลากร การได้รับการรับรองมาตรฐาน และประสบการณ์ของบริษัทผู้ให้บริการในธุรกิจรักษาความปลอดภัย เรียงตามลำดับ ส่วนด้านประสิทธิภาพในการให้บริการที่นำไปสู่ความสำเร็จผลการวิจัยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากเป็นอันดับแรก ตามด้วยความไว้วางใจ ประสิทธิภาพของการตอบสนองต่อเหตุการณ์ และความน่าเชื่อถือของการให้บริการจากบริษัทรักษาความปลอดภัย ส่วนด้านส่วนประสมการตลาดที่มีผลต่อความสำเร็จในการให้บริการพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับกระบวนการจัดการด้านการให้บริการมากเป็นอันดับแรก รองลงมาเป็นภาพลักษณ์ที่ปรากฏต่อสายตาผู้รับบริการ ผลิตภัณฑ์หรือบริการ อัตราค่าบริการ ช่องทางการจัดจำหน่าย การสื่อสารการตลาด และความน่าเชื่อถือของบุคลากรCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27930 SIU THE-T. องค์ประกอบของคุณภาพการให้บริการที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของบริษัทรักษาความปลอดภัยในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคกลาง = Elements of Service Quality Influencing on the Success of Security Service Companies in the Industrial Estates in the Central Region [printed text] / ศิร์รัฐ ภิรมย์บวรภักดิ์, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - xii, 120 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2019-01
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การบริการ
[LCSH]ธุรกิจรักษาความปลอดภัย -- การให้บริการKeywords: การบริการ,
ความสำเร็จ,
ธุรกิจรักษาความปลอดภัยAbstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบของการให้บริการที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของธุรกิจรักษาความปลอดภัย ในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคกลาง ทำการเก็บข้อมูลจากผู้จัดการบริษัทผู้ใช้บริการรักษาความปลอดภัยในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคกลาง จำนวน 400 คน ด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา และใช้สถิติเชิงอนุมานในการทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปร โดยยอมรับสมมุติฐานที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05
ผลการวิจัยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการ โดยอยู่ในตำแหน่งปัจจุบันมากกว่า 1 ถึง 5 ปี ทำงานอยู่ในธุรกิจประเภทอุตสาหกรรมการผลิต โดยบริษัทจดทะเบียนมาแล้วมากกว่า 10 ปี มีจำนวนพนักงานทำงานในกิจการจำนวน 101 - 500 คน ผลจากการวิจัยในครั้งนี้พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับขนาดของบริษัทรักษาความปลอดภัยในระดับมากที่สุด รองลงมาพบว่ามีการให้ความความสำคัญกับจำนวนพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทผู้ให้บริการ และการรับผิดชอบต่อความเสียหายว่ามีผลต่อความสำเร็จของการบริการ ส่วนความสำคัญด้านคุณลักษณะของบริษัทผู้ให้บริการรักษาความปลอดภัย พบว่า ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของบริษัทผู้ให้บริการรักษาความปลอดภัยในภาพรวมมีความสำคัญอยู่ในระดับมากที่สุดเช่นกัน โดยพบว่า ชื่อเสียงของเจ้าของธุรกิจมีความสำคัญเป็นอันดับแรก รองลงมาคือหน่วยงานที่เคยใช้บริการสำหรับนำมาใช้ในการอ้างอิง การได้รับการรับรองโดยสถาบันต่างๆ เรียงตามลำดับ การฝึกอบรมและการพัฒนาบุคลากร การได้รับการรับรองมาตรฐาน และประสบการณ์ของบริษัทผู้ให้บริการในธุรกิจรักษาความปลอดภัย เรียงตามลำดับ ส่วนด้านประสิทธิภาพในการให้บริการที่นำไปสู่ความสำเร็จผลการวิจัยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากเป็นอันดับแรก ตามด้วยความไว้วางใจ ประสิทธิภาพของการตอบสนองต่อเหตุการณ์ และความน่าเชื่อถือของการให้บริการจากบริษัทรักษาความปลอดภัย ส่วนด้านส่วนประสมการตลาดที่มีผลต่อความสำเร็จในการให้บริการพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับกระบวนการจัดการด้านการให้บริการมากเป็นอันดับแรก รองลงมาเป็นภาพลักษณ์ที่ปรากฏต่อสายตาผู้รับบริการ ผลิตภัณฑ์หรือบริการ อัตราค่าบริการ ช่องทางการจัดจำหน่าย การสื่อสารการตลาด และความน่าเชื่อถือของบุคลากรCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27930 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000598761 SIU THE-T: SOM-DBA-2019-01 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598738 SIU THE-T: SOM-DBA-2019-01 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU IS-T. องค์ประกอบในการประสานงานที่มีผลต่อประสิทธิผลในการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่ทำการปกครองอำเภอ จังหวัดสตูล / สายทิพย์ บุญวิโรจน์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2017
Collection Title: SIU IS-T Title : องค์ประกอบในการประสานงานที่มีผลต่อประสิทธิผลในการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่ทำการปกครองอำเภอ จังหวัดสตูล Original title : Liaison Elements Influencing on Work Effectiveness of District Administrative Officers in Satul Province Material Type: printed text Authors: สายทิพย์ บุญวิโรจน์, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; ประยุทธ์ สวัสดิ์เรียวกุล, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2017 Pagination: vii, 62 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU IS-T: IPAG-MPA-2017-25
[MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การประสานงาน
[LCSH]ที่ทำการปกครองอำเภอสตูล
[LCSH]เจ้าหน้าที่ที่ทำการปกครองอำเภอ -- การทำงานKeywords: การประสานงาน,
ประสิทธิผลAbstract: วัตถุประสงค์ของการศึกษาค้นคว้าอิสระในครั้งนี้เพื่อศึกษาระดับปัญหาขององค์ประกอบใน การประสานงานที่มีผลต่อประสิทธิผลในการทำงาน และหาแนวทางแก้ปัญหาในการประสานงานของเจ้าหน้าที่ที่ทำการปกครองอำเภอ จังหวัดสตูล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ เจ้าหน้าที่ที่ทำการปกครองอำเภอ จังหวัดสตูล จำนวน 7 อำเภอ จำนวนทั้งสิ้น 132 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ใช้สถิติเชิงพรรณนาในการวิเคราะห์ข้อมูล
ผลการวิจัย พบว่า ในภาพรวมองค์ประกอบในการประสานงานมีอิทธิพลต่อประสิทธิผลในการทำงาน ของผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นทุกด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นองค์ประกอบพบว่า องค์ประกอบที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ นโยบายอยู่ในระดับมาก ด้านบุคคลอยู่ในระดับมาก ด้านการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก ผู้ตอบแบบสอบถามให้ข้อเสนอแนะแนวทางการประสานงานที่มีผลต่อประสิทธิผลในการทำงาน พบว่า ควรให้ความสำคัญต่อนโยบายการดำเนินงาน และการประสานนโยบายการดำเนินงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ด้านบุคคล ควรศึกษาการดำเนินงานให้เข้าใจและจัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อชี้แจงเป้าหมายของการดำเนินงาน จัดประชุมวางแผนการดำเนินงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และควรส่งหนังสือชี้แจงการดำเนินงานให้เจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบก่อนเริ่มดำเนินงานCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26906 SIU IS-T. องค์ประกอบในการประสานงานที่มีผลต่อประสิทธิผลในการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่ทำการปกครองอำเภอ จังหวัดสตูล = Liaison Elements Influencing on Work Effectiveness of District Administrative Officers in Satul Province [printed text] / สายทิพย์ บุญวิโรจน์, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; ประยุทธ์ สวัสดิ์เรียวกุล, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017 . - vii, 62 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU IS-T: IPAG-MPA-2017-25
[MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การประสานงาน
[LCSH]ที่ทำการปกครองอำเภอสตูล
[LCSH]เจ้าหน้าที่ที่ทำการปกครองอำเภอ -- การทำงานKeywords: การประสานงาน,
ประสิทธิผลAbstract: วัตถุประสงค์ของการศึกษาค้นคว้าอิสระในครั้งนี้เพื่อศึกษาระดับปัญหาขององค์ประกอบใน การประสานงานที่มีผลต่อประสิทธิผลในการทำงาน และหาแนวทางแก้ปัญหาในการประสานงานของเจ้าหน้าที่ที่ทำการปกครองอำเภอ จังหวัดสตูล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ เจ้าหน้าที่ที่ทำการปกครองอำเภอ จังหวัดสตูล จำนวน 7 อำเภอ จำนวนทั้งสิ้น 132 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ใช้สถิติเชิงพรรณนาในการวิเคราะห์ข้อมูล
ผลการวิจัย พบว่า ในภาพรวมองค์ประกอบในการประสานงานมีอิทธิพลต่อประสิทธิผลในการทำงาน ของผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นทุกด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นองค์ประกอบพบว่า องค์ประกอบที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ นโยบายอยู่ในระดับมาก ด้านบุคคลอยู่ในระดับมาก ด้านการดำเนินงานอยู่ในระดับมาก ผู้ตอบแบบสอบถามให้ข้อเสนอแนะแนวทางการประสานงานที่มีผลต่อประสิทธิผลในการทำงาน พบว่า ควรให้ความสำคัญต่อนโยบายการดำเนินงาน และการประสานนโยบายการดำเนินงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ด้านบุคคล ควรศึกษาการดำเนินงานให้เข้าใจและจัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อชี้แจงเป้าหมายของการดำเนินงาน จัดประชุมวางแผนการดำเนินงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และควรส่งหนังสือชี้แจงการดำเนินงานให้เจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบก่อนเริ่มดำเนินงานCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26906 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000593937 SIU IS-T: IPAG-MPA-2017-25 c.1 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available 32002000593960 SIU IS-T: IPAG-MPA-2017-25 c.2 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available SIU IS-T. อิทธิพลของบรรจุภัณฑ์มีผลต่อการซื้อเครื่องสำอางของพนักงานต้อนรับหญิงบนเครื่องบินสายการบินไทย / สรัญธร พัธนพันธุ์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU IS-T Title : อิทธิพลของบรรจุภัณฑ์มีผลต่อการซื้อเครื่องสำอางของพนักงานต้อนรับหญิงบนเครื่องบินสายการบินไทย Original title : Influencing Package towards Purchasing Cosmetics of Thai Airways Air Hostess Material Type: printed text Authors: สรัญธร พัธนพันธุ์, Author ; มณฑิรา ชุนลิ้ม, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: x, 74 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU IS-T: SOM-MBA-2019-03
Independent Study. [MS[MBA]]--Shinawatra University, 2019.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ผู้บริโภค -- การตัดสินใจ
[LCSH]พฤติกรรมผู้บริโภค
[LCSH]เครื่องสำอาง -- บรรจุภัณฑ์Keywords: พฤติกรรมผู้บริโภค,
การตัดสินใจซื้อ,
ภาพลักษณ์ตราสินค้า,
บรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของบรรจุภัณฑ์มีผลต่อการซื้อเครื่องสำอางของพนักงานต้อนรับหญิงบนเครื่องบินสายการบินไทย ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ พนักงานต้อนรับหญิงบนเครื่องบินสายการบินไทย ใช้สูตรการคำนวณของ W.G.Cochran ได้จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามที่ทางผู้วิจัยได้สร้างขึ้นประกอบด้วย 4 ส่วน คือ 1) ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม 2) ข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยด้านพฤติกรรมผู้บริโภคต่อการตัดสินใจและระดับการตัดสินใจซื้อเครื่องสำอาง 3) ข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยภาพลักษณ์ตราสินค้าต่อการตัดสินใจและระดับการตัดสินใจซื้อเครื่องสำอาง 4) ข้อมูลเกี่ยวกับอิทธิพลของบรรจุภัณฑ์ในการซื้อเครื่องสำอางต่อการตัดสินใจและระดับการตัดสินใจซื้อเครื่องสำอาง 5) ข้อเสนอแนะของผู้ตอบแบบสอบถาม
ผลการวิจัยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มี อายุ 36 – 40 ปี มีระดับการศึกษาปริญญาตรี มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 50,000 - 60,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องสำอางแต่ละครั้งโดยเฉลี่ย 1,000 - 5,000 บาท ในด้านปัจจัยพฤติกรรมผู้บริโภคด้านส่วนประสมการตลาดให้ความสำคัญในระดับมากที่สุดในด้านราคา รองลงมาเป็นด้านผลิตภัณฑ์ ด้านการส่งเสริมการตลาด และด้านช่องทางในการจัดจำหน่าย ตามลำดับ ปัจจัยพฤติกรรมผู้บริโภคในด้านการตอบสนองของผู้ซื้อและลักษณะของผู้ซื้อ (ปัจจัยด้านจิตวิทยา) ให้ความสำคัญในระดับมากที่สุดโดยสูงสุดในด้านการตอบสนองของผู้ซื้อ รองลงมาลักษณะของผู้ซื้อ (ปัจจัยด้านจิตวิทยา) ในด้านกระบวนการตัดสินใจมีการตัดสินใจในระดับมากที่สุดในด้านการตัดสินใจซื้อ รองลงมาด้านพฤติกรรมภายหลังการซื้อ ด้านการประเมินทางเลือก ด้านการรับรู้ปัญหา และด้านการค้นหาข้อมูล ปัจจัยภาพลักษณ์และตราสินค้าในการซื้อเครื่องสำอางมีผลต่อการตัดสินใจในระดับมากที่สุดโดยสูงสุด ตราสินค้ามีความน่าเชื่อถือมีมาตรฐานรองรับจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อ.ย. ในด้านอิทธิพลของบรรจุภัณฑ์ในการซื้อเครื่องสำอางมีผลต่อการตัดสินใจในระดับมากที่สุด มีการตัดสินใจสูงสุดในด้านรูปทรงของบรรจุภัณฑ์สามารถสร้างความเป็นเอกลักษณ์ของสินค้าได้
ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ปัจจัยลักษณะส่วนบุคคลด้านระดับการศึกษามีผลต่ออิทธิพลของบรรจุภัณฑ์ในการซื้อเครื่องสำอางแตกต่างกัน โดยกลุ่มพนักงานต้อนรับหญิงบนเครื่องบินสายการบินไทยระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีจะให้ความสำคัญต่ออิทธิพลของบรรจุภัณฑ์ในการซื้อเครื่องสำอางต่ำกว่ากลุ่มพนักงานต้อนรับหญิงบนเครื่องบินสายการบินไทยระดับการศึกษาปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก ปัจจัยพฤติกรรมผู้บริโภคในด้านส่วนประสมการตลาดของเครื่องสำอางมีความสัมพันธ์เชิงบวกต่ออิทธิพลของบรรจุภัณฑ์ในการซื้อเครื่องสำอาง โดยด้านการส่งเสริมการตลาดมีความสัมพันธ์สูงสุด รองลงมาเป็นด้านช่องทางในการจัดจำหน่าย ด้านราคา และด้านผลิตภัณฑ์ตามลำดับ ปัจจัยพฤติกรรมผู้บริโภคในการซื้อเครื่องสำอางมีความสัมพันธ์กับอิทธิพลของบรรจุภัณฑ์ในการซื้อเครื่องสำอาง โดยด้านการตอบสนองของผู้ซื้อและลักษณะของผู้ซื้อ (ปัจจัยด้านจิตวิทยา) มีความสัมพันธ์เชิงบวกโดยด้านการตอบสนองของผู้ซื้อมีความสัมพันธ์สูงสุด รองลงมาด้านลักษณะของผู้ซื้อ (ปัจจัยด้านจิตวิทยา) และด้านกระบวนการตัดสินใจซื้อมีความสัมพันธ์เชิงบวกต่ออิทธิพลของบรรจุภัณฑ์ในการซื้อเครื่องสำอาง โดยด้านพฤติกรรมภายหลังการซื้อมีความสัมพันธ์สูงสุด รองลงมาเป็นด้านการประเมินทางเลือก ด้านการค้นหาข้อมูล ด้านการตัดสินใจซื้อ และด้านการรับรู้ปัญหาตามลำดับ และ ปัจจัยภาพลักษณ์ตราสินค้าเครื่องสำอางมีความสัมพันธ์เชิงบวกในต่ออิทธิพลของบรรจุภัณฑ์ในการซื้อเครื่องสำอางเช่นกันCurricular : BBA/MBA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27992 SIU IS-T. อิทธิพลของบรรจุภัณฑ์มีผลต่อการซื้อเครื่องสำอางของพนักงานต้อนรับหญิงบนเครื่องบินสายการบินไทย = Influencing Package towards Purchasing Cosmetics of Thai Airways Air Hostess [printed text] / สรัญธร พัธนพันธุ์, Author ; มณฑิรา ชุนลิ้ม, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - x, 74 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU IS-T: SOM-MBA-2019-03
Independent Study. [MS[MBA]]--Shinawatra University, 2019.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ผู้บริโภค -- การตัดสินใจ
[LCSH]พฤติกรรมผู้บริโภค
[LCSH]เครื่องสำอาง -- บรรจุภัณฑ์Keywords: พฤติกรรมผู้บริโภค,
การตัดสินใจซื้อ,
ภาพลักษณ์ตราสินค้า,
บรรจุภัณฑ์เครื่องสำอางAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของบรรจุภัณฑ์มีผลต่อการซื้อเครื่องสำอางของพนักงานต้อนรับหญิงบนเครื่องบินสายการบินไทย ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ พนักงานต้อนรับหญิงบนเครื่องบินสายการบินไทย ใช้สูตรการคำนวณของ W.G.Cochran ได้จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถามที่ทางผู้วิจัยได้สร้างขึ้นประกอบด้วย 4 ส่วน คือ 1) ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม 2) ข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยด้านพฤติกรรมผู้บริโภคต่อการตัดสินใจและระดับการตัดสินใจซื้อเครื่องสำอาง 3) ข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยภาพลักษณ์ตราสินค้าต่อการตัดสินใจและระดับการตัดสินใจซื้อเครื่องสำอาง 4) ข้อมูลเกี่ยวกับอิทธิพลของบรรจุภัณฑ์ในการซื้อเครื่องสำอางต่อการตัดสินใจและระดับการตัดสินใจซื้อเครื่องสำอาง 5) ข้อเสนอแนะของผู้ตอบแบบสอบถาม
ผลการวิจัยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มี อายุ 36 – 40 ปี มีระดับการศึกษาปริญญาตรี มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 50,000 - 60,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องสำอางแต่ละครั้งโดยเฉลี่ย 1,000 - 5,000 บาท ในด้านปัจจัยพฤติกรรมผู้บริโภคด้านส่วนประสมการตลาดให้ความสำคัญในระดับมากที่สุดในด้านราคา รองลงมาเป็นด้านผลิตภัณฑ์ ด้านการส่งเสริมการตลาด และด้านช่องทางในการจัดจำหน่าย ตามลำดับ ปัจจัยพฤติกรรมผู้บริโภคในด้านการตอบสนองของผู้ซื้อและลักษณะของผู้ซื้อ (ปัจจัยด้านจิตวิทยา) ให้ความสำคัญในระดับมากที่สุดโดยสูงสุดในด้านการตอบสนองของผู้ซื้อ รองลงมาลักษณะของผู้ซื้อ (ปัจจัยด้านจิตวิทยา) ในด้านกระบวนการตัดสินใจมีการตัดสินใจในระดับมากที่สุดในด้านการตัดสินใจซื้อ รองลงมาด้านพฤติกรรมภายหลังการซื้อ ด้านการประเมินทางเลือก ด้านการรับรู้ปัญหา และด้านการค้นหาข้อมูล ปัจจัยภาพลักษณ์และตราสินค้าในการซื้อเครื่องสำอางมีผลต่อการตัดสินใจในระดับมากที่สุดโดยสูงสุด ตราสินค้ามีความน่าเชื่อถือมีมาตรฐานรองรับจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อ.ย. ในด้านอิทธิพลของบรรจุภัณฑ์ในการซื้อเครื่องสำอางมีผลต่อการตัดสินใจในระดับมากที่สุด มีการตัดสินใจสูงสุดในด้านรูปทรงของบรรจุภัณฑ์สามารถสร้างความเป็นเอกลักษณ์ของสินค้าได้
ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ปัจจัยลักษณะส่วนบุคคลด้านระดับการศึกษามีผลต่ออิทธิพลของบรรจุภัณฑ์ในการซื้อเครื่องสำอางแตกต่างกัน โดยกลุ่มพนักงานต้อนรับหญิงบนเครื่องบินสายการบินไทยระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีจะให้ความสำคัญต่ออิทธิพลของบรรจุภัณฑ์ในการซื้อเครื่องสำอางต่ำกว่ากลุ่มพนักงานต้อนรับหญิงบนเครื่องบินสายการบินไทยระดับการศึกษาปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก ปัจจัยพฤติกรรมผู้บริโภคในด้านส่วนประสมการตลาดของเครื่องสำอางมีความสัมพันธ์เชิงบวกต่ออิทธิพลของบรรจุภัณฑ์ในการซื้อเครื่องสำอาง โดยด้านการส่งเสริมการตลาดมีความสัมพันธ์สูงสุด รองลงมาเป็นด้านช่องทางในการจัดจำหน่าย ด้านราคา และด้านผลิตภัณฑ์ตามลำดับ ปัจจัยพฤติกรรมผู้บริโภคในการซื้อเครื่องสำอางมีความสัมพันธ์กับอิทธิพลของบรรจุภัณฑ์ในการซื้อเครื่องสำอาง โดยด้านการตอบสนองของผู้ซื้อและลักษณะของผู้ซื้อ (ปัจจัยด้านจิตวิทยา) มีความสัมพันธ์เชิงบวกโดยด้านการตอบสนองของผู้ซื้อมีความสัมพันธ์สูงสุด รองลงมาด้านลักษณะของผู้ซื้อ (ปัจจัยด้านจิตวิทยา) และด้านกระบวนการตัดสินใจซื้อมีความสัมพันธ์เชิงบวกต่ออิทธิพลของบรรจุภัณฑ์ในการซื้อเครื่องสำอาง โดยด้านพฤติกรรมภายหลังการซื้อมีความสัมพันธ์สูงสุด รองลงมาเป็นด้านการประเมินทางเลือก ด้านการค้นหาข้อมูล ด้านการตัดสินใจซื้อ และด้านการรับรู้ปัญหาตามลำดับ และ ปัจจัยภาพลักษณ์ตราสินค้าเครื่องสำอางมีความสัมพันธ์เชิงบวกในต่ออิทธิพลของบรรจุภัณฑ์ในการซื้อเครื่องสำอางเช่นกันCurricular : BBA/MBA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27992 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607454 SIU IS-T: SOM-MBA-2019-03 c.2 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available 32002000607453 SIU IS-T: SOM-MBA-2019-03 c.1 SIU Independent Study Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. อุปสรรคของสตรีในการได้รับการพัฒนาสู่อาชีพ ทนายความและที่ปรึกษากฎหมาย / กชมน ทิพยรัตน์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2016
Collection Title: SIU THE-T Title : อุปสรรคของสตรีในการได้รับการพัฒนาสู่อาชีพ ทนายความและที่ปรึกษากฎหมาย Original title : The Barriers of Woman’s Development in Lawyers and Legal Consultants Material Type: printed text Authors: กชมน ทิพยรัตน์, Author ; สมชาย รัตนโกมุท, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2016 Pagination: ix, 225 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2016-05
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2559Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การทำงาน -- ทัศนคติ
[LCSH]ทนายความ
[LCSH]ที่ปรึกษากฎหมายKeywords: อุปสรรคของสตรี
การพัฒนาสู่อาชีพทนายความ
ที่ปรึกษากฎหมายAbstract: การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคจากภายในและภายนอกของสตรีและ แนวทางการแก้ไขปัญหาในการประกอบอาชีพทนายความและที่ปรึกษากฎหมายของสตรี เป็นการวิจัย เชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง เป็นบุรุษและสตรีที่สำเร็จการศึกษาขั้นต่ำปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิต จำนวน 33 คน แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มทนายความทำงานในสำนักงานกฎหมาย 15 คน 2) กลุ่มที่ปรึกษากฎหมายทำงานในสำนักงานกฎหมาย 5 คน 3) กลุ่มนักกฎหมายทำงานด้านกฎหมายในองค์กรธุรกิจที่ไม่ได้ให้บริการด้านกฎหมาย 8 คน และ 4) กลุ่มที่ได้ออกจากอาชีพด้านกฎหมายในภาคเอกชนแล้ว 5 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้าง แล้วคัดเลือกนิติศาสตรบัณฑิตสตรีรายใหม่จากกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มละ 1 คน แล้วจัดสนทนากลุ่มหรือสัมภาษณ์แบบกลุ่ม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความเห็นว่า นิติศาสตรบัณฑิตสตรีส่วนมาก เลือกที่จะประกอบอาชีพด้านกฎหมายในส่วนราชการหรือองค์กรธุรกิจที่ไม่ได้ให้บริการด้านกฎหมายหรือเลือกทำงานด้านอื่นที่ไม่ได้ใช้ความรู้ด้านกฎหมาย สาเหตุที่ไม่เลือกทำงานเป็นทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมายในสำนักงานกฎหมาย เพราะมีอุปสรรคสำคัญ 2 ประการ คือ 1) อุปสรรคภายในด้านบุคลิกภาพในส่วนพฤติกรรมและทัศนคติ และอุปสรรคด้านความสามารถ ได้แก่ พฤติกรรมการไม่ชอบลักษณะงานที่ต้องเดินทาง งานที่มีความเสี่ยง งานหนักกลับบ้านดึก งานที่ไม่มีเวลาดูแลครอบครัว ทัศนคติเกี่ยวกับความไม่มั่นคงในอาชีพ ค่าตอบแทนที่ไม่แน่นอน ความสามารถในการสร้างเครือข่ายงานได้น้อย และความไม่ถนัดในงานว่าความที่เป็นศาสตร์และศิลป์ และ 2) อุปสรรคภายนอกที่เกิดจากทัศนคติและการกระทำของผู้อื่น ได้แก่ ความไม่เชื่อถือในบุคลิกภาพ การสื่อสาร การพูดของทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมายสตรี และเพศภาวะ โดยการเหมารวมทางเพศที่ยึดติดว่าเพศหญิงมีคุณค่าต่ำกว่าเพศชาย ทำให้เกิดอคติทางเพศ นำไปสู่การเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมทางเพศและเพดานกระจกที่มองไม่เห็นปิดกั้นความก้าวหน้าของสตรี
ข้อค้นพบของการวิจัยนี้ ยังพบว่า แนวทางการพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคของสตรีที่มีต่ออาชีพทนายความและที่ปรึกษากฎหมาย มี 2 ระดับ กล่าวคือ 1) ระดับสำนักงานกฎหมาย โดยมีข้อเสนอว่าการปรับสภาพแวดล้อมการทำงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับเวลาในการทำงานให้สอดคล้องกับความจำเป็นเฉพาะตัวของสตรี พร้อมกับนำจุดแข็งในเรื่องของการเตรียมคดีอย่างละเอียด การเจรจาที่ได้ผล มีความรับผิดชอบสูง ความถนัดในคดีการเงิน และคดีครอบครัวมาเสริมสร้างศักยภาพในการทำงานและ 2) ระดับประเทศ โดยมีข้อเสนอว่าควรพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน เพิ่มการฝึกปฏิบัติงานอาชีพทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมาย บุคลิกภาพ ภาษาอังกฤษ และการปรับเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับปรัชญาของเพศภาวะในระดับมหาวิทยาลัย และจัดตั้งองค์กรพิเศษเพื่อพัฒนานักกฎหมายสตรี เพื่อรองรับการให้บริการด้านกฎหมายแก่ประชาคมอาเซียนได้อย่างยั่งยืน
Curricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26566 SIU THE-T. อุปสรรคของสตรีในการได้รับการพัฒนาสู่อาชีพ ทนายความและที่ปรึกษากฎหมาย = The Barriers of Woman’s Development in Lawyers and Legal Consultants [printed text] / กชมน ทิพยรัตน์, Author ; สมชาย รัตนโกมุท, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016 . - ix, 225 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: SOM-DBA-2016-05
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2559
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การทำงาน -- ทัศนคติ
[LCSH]ทนายความ
[LCSH]ที่ปรึกษากฎหมายKeywords: อุปสรรคของสตรี
การพัฒนาสู่อาชีพทนายความ
ที่ปรึกษากฎหมายAbstract: การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคจากภายในและภายนอกของสตรีและ แนวทางการแก้ไขปัญหาในการประกอบอาชีพทนายความและที่ปรึกษากฎหมายของสตรี เป็นการวิจัย เชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง เป็นบุรุษและสตรีที่สำเร็จการศึกษาขั้นต่ำปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิต จำนวน 33 คน แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มทนายความทำงานในสำนักงานกฎหมาย 15 คน 2) กลุ่มที่ปรึกษากฎหมายทำงานในสำนักงานกฎหมาย 5 คน 3) กลุ่มนักกฎหมายทำงานด้านกฎหมายในองค์กรธุรกิจที่ไม่ได้ให้บริการด้านกฎหมาย 8 คน และ 4) กลุ่มที่ได้ออกจากอาชีพด้านกฎหมายในภาคเอกชนแล้ว 5 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้าง แล้วคัดเลือกนิติศาสตรบัณฑิตสตรีรายใหม่จากกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มละ 1 คน แล้วจัดสนทนากลุ่มหรือสัมภาษณ์แบบกลุ่ม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความเห็นว่า นิติศาสตรบัณฑิตสตรีส่วนมาก เลือกที่จะประกอบอาชีพด้านกฎหมายในส่วนราชการหรือองค์กรธุรกิจที่ไม่ได้ให้บริการด้านกฎหมายหรือเลือกทำงานด้านอื่นที่ไม่ได้ใช้ความรู้ด้านกฎหมาย สาเหตุที่ไม่เลือกทำงานเป็นทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมายในสำนักงานกฎหมาย เพราะมีอุปสรรคสำคัญ 2 ประการ คือ 1) อุปสรรคภายในด้านบุคลิกภาพในส่วนพฤติกรรมและทัศนคติ และอุปสรรคด้านความสามารถ ได้แก่ พฤติกรรมการไม่ชอบลักษณะงานที่ต้องเดินทาง งานที่มีความเสี่ยง งานหนักกลับบ้านดึก งานที่ไม่มีเวลาดูแลครอบครัว ทัศนคติเกี่ยวกับความไม่มั่นคงในอาชีพ ค่าตอบแทนที่ไม่แน่นอน ความสามารถในการสร้างเครือข่ายงานได้น้อย และความไม่ถนัดในงานว่าความที่เป็นศาสตร์และศิลป์ และ 2) อุปสรรคภายนอกที่เกิดจากทัศนคติและการกระทำของผู้อื่น ได้แก่ ความไม่เชื่อถือในบุคลิกภาพ การสื่อสาร การพูดของทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมายสตรี และเพศภาวะ โดยการเหมารวมทางเพศที่ยึดติดว่าเพศหญิงมีคุณค่าต่ำกว่าเพศชาย ทำให้เกิดอคติทางเพศ นำไปสู่การเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมทางเพศและเพดานกระจกที่มองไม่เห็นปิดกั้นความก้าวหน้าของสตรี
ข้อค้นพบของการวิจัยนี้ ยังพบว่า แนวทางการพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคของสตรีที่มีต่ออาชีพทนายความและที่ปรึกษากฎหมาย มี 2 ระดับ กล่าวคือ 1) ระดับสำนักงานกฎหมาย โดยมีข้อเสนอว่าการปรับสภาพแวดล้อมการทำงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับเวลาในการทำงานให้สอดคล้องกับความจำเป็นเฉพาะตัวของสตรี พร้อมกับนำจุดแข็งในเรื่องของการเตรียมคดีอย่างละเอียด การเจรจาที่ได้ผล มีความรับผิดชอบสูง ความถนัดในคดีการเงิน และคดีครอบครัวมาเสริมสร้างศักยภาพในการทำงานและ 2) ระดับประเทศ โดยมีข้อเสนอว่าควรพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน เพิ่มการฝึกปฏิบัติงานอาชีพทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมาย บุคลิกภาพ ภาษาอังกฤษ และการปรับเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับปรัชญาของเพศภาวะในระดับมหาวิทยาลัย และจัดตั้งองค์กรพิเศษเพื่อพัฒนานักกฎหมายสตรี เพื่อรองรับการให้บริการด้านกฎหมายแก่ประชาคมอาเซียนได้อย่างยั่งยืน
Curricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26566 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000592178 SIU THE-T: SOM-DBA-2016-05 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000592186 SIU THE-T: SOM-DBA-2016-05 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU IS-T. อุปสรรคในการปฏิบัติงาน ของตำรวจกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี / วัชรินทร์ นาคบำรุง / 2015
Collection Title: SIU IS-T Title : อุปสรรคในการปฏิบัติงาน ของตำรวจกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี Original title : Obstacles in Performing Jobs of Polices in Investigation Sub-Division of Surattani Provincial Police Material Type: printed text Authors: วัชรินทร์ นาคบำรุง, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; สมพร เพชรสงค์, Associated Name Publication Date: 2015 Pagination: vii, 74 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU IS-T: IPAG-MPA-2015-03
[MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2015.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ตำรวจ -- การปฏิบัติงาน
[LCSH]ตำรวจสืบสวน -- สุราษฎร์ธานีKeywords: อุปสรรคในการปฏิบัติงาน,
ตำรวจAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับอุปสรรคในการปฏิบัติงานของตำรวจกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี และเปรียบเทียบอุปสรรคในการปฏิบัติงานของตำรวจกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำแนกตามอายุ อายุราชการ ระดับการศึกษา และชั้นยศ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ตำรวจในกองบังคับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 82 นาย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่าที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที (t-test) ค่าเอฟ (F-test) และความแปรปรวนทางเดียว (One-Way Anova) เปรียบเทียบรายคู่ด้วยวิธีการของ LSD (LSD post hoc comparison)
ผลการวิจัยพบว่า อุปสรรคในการปฏิบัติงานของตำรวจกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในภาพรวมของผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นทุกด้านอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ รองลงมา ด้านการสืบสวนหาข่าว ด้านการเจรจาต่อรอง และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือด้านการป้องกันปราบปราม การเปรียบเทียบอุปสรรคในการปฏิบัติงานของตำรวจกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำแนกตามอายุโดยรวมไม่แตกต่างกัน และเมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านการป้องกันปราบปราม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สำหรับด้านอื่นๆ พบว่าไม่แตกต่างกัน จำแนกตามอายุราชการ พบว่า โดยรวมไม่แตกต่างกัน และเมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านการป้องกันปราบปราม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สำหรับด้านอื่นๆ พบว่าไม่แตกต่างกัน จำแนกตามระดับการศึกษา โดยภาพรวมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีเห็นว่าด้านการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติงานมากกว่าระดับปริญญาตรีขึ้นไป อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จำแนกตามระดับชั้นยศ โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ที่มียศชั้นสัญญาบัตร เห็นว่าด้านการสืบสวนหาข่าวเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติงานมากกว่าชั้นยศประทวน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และผู้ตอบแบบสอบถามที่มียศชั้นสัญญาบัตร เห็นว่าด้านการป้องกันปราบปรามเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติงานมากกว่าชั้นยศประทวน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01Curricular : MPA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26657 SIU IS-T. อุปสรรคในการปฏิบัติงาน ของตำรวจกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี = Obstacles in Performing Jobs of Polices in Investigation Sub-Division of Surattani Provincial Police [printed text] / วัชรินทร์ นาคบำรุง, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; สมพร เพชรสงค์, Associated Name . - 2015 . - vii, 74 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU IS-T: IPAG-MPA-2015-03
[MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2015.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ตำรวจ -- การปฏิบัติงาน
[LCSH]ตำรวจสืบสวน -- สุราษฎร์ธานีKeywords: อุปสรรคในการปฏิบัติงาน,
ตำรวจAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับอุปสรรคในการปฏิบัติงานของตำรวจกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี และเปรียบเทียบอุปสรรคในการปฏิบัติงานของตำรวจกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำแนกตามอายุ อายุราชการ ระดับการศึกษา และชั้นยศ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ตำรวจในกองบังคับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 82 นาย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่าที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที (t-test) ค่าเอฟ (F-test) และความแปรปรวนทางเดียว (One-Way Anova) เปรียบเทียบรายคู่ด้วยวิธีการของ LSD (LSD post hoc comparison)
ผลการวิจัยพบว่า อุปสรรคในการปฏิบัติงานของตำรวจกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในภาพรวมของผู้ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นทุกด้านอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ด้านการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ รองลงมา ด้านการสืบสวนหาข่าว ด้านการเจรจาต่อรอง และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือด้านการป้องกันปราบปราม การเปรียบเทียบอุปสรรคในการปฏิบัติงานของตำรวจกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำแนกตามอายุโดยรวมไม่แตกต่างกัน และเมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านการป้องกันปราบปราม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สำหรับด้านอื่นๆ พบว่าไม่แตกต่างกัน จำแนกตามอายุราชการ พบว่า โดยรวมไม่แตกต่างกัน และเมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านการป้องกันปราบปราม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สำหรับด้านอื่นๆ พบว่าไม่แตกต่างกัน จำแนกตามระดับการศึกษา โดยภาพรวมไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีเห็นว่าด้านการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติงานมากกว่าระดับปริญญาตรีขึ้นไป อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จำแนกตามระดับชั้นยศ โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ที่มียศชั้นสัญญาบัตร เห็นว่าด้านการสืบสวนหาข่าวเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติงานมากกว่าชั้นยศประทวน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 และผู้ตอบแบบสอบถามที่มียศชั้นสัญญาบัตร เห็นว่าด้านการป้องกันปราบปรามเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติงานมากกว่าชั้นยศประทวน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01Curricular : MPA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26657 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000593101 SIU IS-T: IPAG-MPA-2015-03 c.2 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available 32002000593077 SIU IS-T: IPAG-MPA-2015-03 c.1 SIU Independent Study Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. โอกาสและอุปสรรคในความก้าวหน้าในอาชีพของผู้บริหารสตรีในสถาบันการเงินภาครัฐ / กนกวรรณ ก่อเกิด / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : โอกาสและอุปสรรคในความก้าวหน้าในอาชีพของผู้บริหารสตรีในสถาบันการเงินภาครัฐ Original title : Opportunities and Obstacles in Women’s Advancement in Specialized Financial institutions Material Type: printed text Authors: กนกวรรณ ก่อเกิด, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: x, 113 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2019-02
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]นักบริหารสตรี
[LCSH]สถาบันการเงินของรัฐKeywords: ความสำเร็จ,
สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ,
ผู้บริหารสตรี,
โอกาสและอุปสรรคAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาโอกาสและอุปสรรคในความก้าวหน้าในอาชีพของผู้บริหารสตรี ที่ทำงานในสถาบันการเงินเฉพาะกิจของภาครัฐ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 400 คน ที่ทำงานในสถาบันการเงินเฉพาะกิจของภาครัฐ 4 แห่ง โดยใช้แบบสอบถาม แบบกึ่งโครงสร้าง และใช้สถิติเชิงอนุมานในการวิเคราะห์ตัวแปร และทดสอบสมมติฐาน
ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีสถานะภาพสมรสและอยู่ด้วยกัน งานที่ทำไม่ได้เป็นงานแรก มีประสบการทำงานทั้งหมด 15 ปีผู้ ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างงานกับครอบครัวเป็นอันดับแรก และรองลงมาคือ การรับรู้เกี่ยวกับการสนับสนุนจากองค์การ ผลจากการวิจัยพบว่าสถานภาพ ระดับการศึกษา และแผนกงานที่ทำในปัจจุบันมีผลต่อความพึงพอใจในอาชีพ นอกจากนี้พบว่ารายได้ไม่มีผลต่อความผูกพันต่อองค์การ พนักงานสามารถรับรู้ได้ถึงความมั่นคงในการทำงาน และรู้สึกถึงความผูกพันในองค์โดยไม่คิดเปลี่ยนงานแม้จะมีโอกาสก็ตาม ผลการวิจัยยังพบว่าจำนวนครั้งของการอบรมมีผลต่อความรู้สึกองค์กรสนับสนุนให้มีความก้าวหน้า ส่วนผลการทดสอบความสัมพันธ์ด้านทัศนคติที่มีต่อสตรีพบว่าเป็นอุปสรรคต่อการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27931 SIU THE-T. โอกาสและอุปสรรคในความก้าวหน้าในอาชีพของผู้บริหารสตรีในสถาบันการเงินภาครัฐ = Opportunities and Obstacles in Women’s Advancement in Specialized Financial institutions [printed text] / กนกวรรณ ก่อเกิด, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - x, 113 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2019-02
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]นักบริหารสตรี
[LCSH]สถาบันการเงินของรัฐKeywords: ความสำเร็จ,
สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ,
ผู้บริหารสตรี,
โอกาสและอุปสรรคAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาโอกาสและอุปสรรคในความก้าวหน้าในอาชีพของผู้บริหารสตรี ที่ทำงานในสถาบันการเงินเฉพาะกิจของภาครัฐ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 400 คน ที่ทำงานในสถาบันการเงินเฉพาะกิจของภาครัฐ 4 แห่ง โดยใช้แบบสอบถาม แบบกึ่งโครงสร้าง และใช้สถิติเชิงอนุมานในการวิเคราะห์ตัวแปร และทดสอบสมมติฐาน
ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีสถานะภาพสมรสและอยู่ด้วยกัน งานที่ทำไม่ได้เป็นงานแรก มีประสบการทำงานทั้งหมด 15 ปีผู้ ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างงานกับครอบครัวเป็นอันดับแรก และรองลงมาคือ การรับรู้เกี่ยวกับการสนับสนุนจากองค์การ ผลจากการวิจัยพบว่าสถานภาพ ระดับการศึกษา และแผนกงานที่ทำในปัจจุบันมีผลต่อความพึงพอใจในอาชีพ นอกจากนี้พบว่ารายได้ไม่มีผลต่อความผูกพันต่อองค์การ พนักงานสามารถรับรู้ได้ถึงความมั่นคงในการทำงาน และรู้สึกถึงความผูกพันในองค์โดยไม่คิดเปลี่ยนงานแม้จะมีโอกาสก็ตาม ผลการวิจัยยังพบว่าจำนวนครั้งของการอบรมมีผลต่อความรู้สึกองค์กรสนับสนุนให้มีความก้าวหน้า ส่วนผลการทดสอบความสัมพันธ์ด้านทัศนคติที่มีต่อสตรีพบว่าเป็นอุปสรรคต่อการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27931 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607982 SIU THE-T: SOM-DBA-2019-02 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000607981 SIU THE-T: SOM-DBA-2019-02 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU Thesis. ความสัมพันธ์ระหว่างความจงรักภักดีกับการคงอยู่ของพนักงาน ธนาคารพาณิชย์ไทย / พรทิวา บัญชาพัฒนศักดา / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2017
Collection Title: SIU Thesis Title : ความสัมพันธ์ระหว่างความจงรักภักดีกับการคงอยู่ของพนักงาน ธนาคารพาณิชย์ไทย Original title : Relationships between Loyalty and Employee Retaining of Thai Commercial Banks’ Employees Material Type: printed text Authors: พรทิวา บัญชาพัฒนศักดา, Author ; เพชรรัตน์ โล้วิชากรติกุล, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2017 General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2017-08
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2560Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ธนาคารพาณิชย์ -- พนักงาน Keywords: ความจงรักภักดี,
การคงอยู่,
พนักงานธนาคารพาณิชย์Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความจงรักภักดีกับการคงอยู่ของพนักงานธนาคารพาณิชย์ไทย เครื่องมือวิจัยคือแบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างคือ พนักงานของธนาคารพาณิชย์ไทย จำนวน 400 คน ด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิตามสัดส่วน วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาเพื่อหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานการวิเคราะห์ค่าความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการวิเคราะห์การถดถอย (Regression analysis) ในการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรและทดสอบสมมุติฐาน
ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 36 - 40 ปี มีรายได้รวมเฉลี่ยต่อเดือน 15,001 - 30,000 บาท การศึกษาระดับปริญญาโท สถานภาพสมรส ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ มีอายุงานในงานปัจจุบันอยู่ในช่วง 2 - 4 ปี และมีอายุงานรวมกับการทำงานที่ธนาคารพาณิชย์อื่นๆ 6 - 10 ปี ผลการวิจัยยังพบว่าปัจจัยแวดล้อมในการทำงาน ปัจจัยการสร้างแรงจูงใจ ปัจจัยการบริหารองค์กร ปัจจัยค่านิยมร่วม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับสูง เรียงตามลำดับ ส่วนเรื่องความจงรักภักดีด้านจิตใจพบว่าพนักงานมีความเต็มใจทุ่มเทและอุทิศตนให้กับองค์กรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในระดับสูงโดยความจงรักภักดีด้านบรรทัดฐานพบว่าพนักงานยอมทำตามความต้องการขององค์กรเพื่อให้ได้ผลตอบแทนในระดับสูง ด้านการคงอยู่พบว่าพนักงานมีความจงรักภักดีกับองค์กรอยู่ในระดับสูง ผลการทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปรพบว่าปัจจัยส่วนบุคคลของพนักงานธนาคารพาณิชย์ไทยมีความสัมพันธ์กับการรับรู้เกี่ยวกับความภักดีในองค์กร ปัจจัยแวดล้อมในการทำงานมีผลต่อความภักดีในองค์กรด้านจิตใจและด้านบรรทัดฐาน ปัจจัยด้านการบริหารองค์กรมีอิทธิพลต่อความจงรักภักดีของพนักงานทั้งด้านจิตใจ และด้านบรรทัดฐาน ปัจจัยค่านิยมร่วมมีอิทธิพลต่อความจงรักภักดีของพนักงานด้านจิตใจและด้านบรรทัดฐาน ปัจจัยการสร้างแรงจูงใจของพนักงานมีอิทธิพลต่อความจงรักภักดีของพนักงานด้านจิตใจและด้านบรรทัดฐาน นอกจากนี้ผลการวิจัยพบว่าความผูกพันด้านจิตใจ และความผูกพันด้านบรรทัดฐาน มีความสัมพันธ์กับการคงอยู่ของพนักงานธนาคารพาณิชย์ไทยCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27319 SIU Thesis. ความสัมพันธ์ระหว่างความจงรักภักดีกับการคงอยู่ของพนักงาน ธนาคารพาณิชย์ไทย = Relationships between Loyalty and Employee Retaining of Thai Commercial Banks’ Employees [printed text] / พรทิวา บัญชาพัฒนศักดา, Author ; เพชรรัตน์ โล้วิชากรติกุล, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017.
SIU THE-T: SOM-DBA-2017-08
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2560
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ธนาคารพาณิชย์ -- พนักงาน Keywords: ความจงรักภักดี,
การคงอยู่,
พนักงานธนาคารพาณิชย์Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความจงรักภักดีกับการคงอยู่ของพนักงานธนาคารพาณิชย์ไทย เครื่องมือวิจัยคือแบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างคือ พนักงานของธนาคารพาณิชย์ไทย จำนวน 400 คน ด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิตามสัดส่วน วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาเพื่อหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานการวิเคราะห์ค่าความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการวิเคราะห์การถดถอย (Regression analysis) ในการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรและทดสอบสมมุติฐาน
ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 36 - 40 ปี มีรายได้รวมเฉลี่ยต่อเดือน 15,001 - 30,000 บาท การศึกษาระดับปริญญาโท สถานภาพสมรส ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ มีอายุงานในงานปัจจุบันอยู่ในช่วง 2 - 4 ปี และมีอายุงานรวมกับการทำงานที่ธนาคารพาณิชย์อื่นๆ 6 - 10 ปี ผลการวิจัยยังพบว่าปัจจัยแวดล้อมในการทำงาน ปัจจัยการสร้างแรงจูงใจ ปัจจัยการบริหารองค์กร ปัจจัยค่านิยมร่วม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับสูง เรียงตามลำดับ ส่วนเรื่องความจงรักภักดีด้านจิตใจพบว่าพนักงานมีความเต็มใจทุ่มเทและอุทิศตนให้กับองค์กรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในระดับสูงโดยความจงรักภักดีด้านบรรทัดฐานพบว่าพนักงานยอมทำตามความต้องการขององค์กรเพื่อให้ได้ผลตอบแทนในระดับสูง ด้านการคงอยู่พบว่าพนักงานมีความจงรักภักดีกับองค์กรอยู่ในระดับสูง ผลการทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปรพบว่าปัจจัยส่วนบุคคลของพนักงานธนาคารพาณิชย์ไทยมีความสัมพันธ์กับการรับรู้เกี่ยวกับความภักดีในองค์กร ปัจจัยแวดล้อมในการทำงานมีผลต่อความภักดีในองค์กรด้านจิตใจและด้านบรรทัดฐาน ปัจจัยด้านการบริหารองค์กรมีอิทธิพลต่อความจงรักภักดีของพนักงานทั้งด้านจิตใจ และด้านบรรทัดฐาน ปัจจัยค่านิยมร่วมมีอิทธิพลต่อความจงรักภักดีของพนักงานด้านจิตใจและด้านบรรทัดฐาน ปัจจัยการสร้างแรงจูงใจของพนักงานมีอิทธิพลต่อความจงรักภักดีของพนักงานด้านจิตใจและด้านบรรทัดฐาน นอกจากนี้ผลการวิจัยพบว่าความผูกพันด้านจิตใจ และความผูกพันด้านบรรทัดฐาน มีความสัมพันธ์กับการคงอยู่ของพนักงานธนาคารพาณิชย์ไทยCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27319 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000595346 SIU THE-T: SOM-DBA-2017-08 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000595312 SIU THE-T: SOM-DBA-2017-08 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU Thesis. คุณลักษณะสำคัญของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ประสบความสำเร็จในหมวดการค้า / วินัย วารมา / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2017
Collection Title: SIU Thesis Title : คุณลักษณะสำคัญของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ประสบความสำเร็จในหมวดการค้า Original title : Essential Characteristic of Successful SMEs Entrepreneurs in Trade Section Material Type: printed text Authors: วินัย วารมา, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; เพชรรัตน์ โล้วิชากรติกุล, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2017 Pagination: ix, 110 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2017-07
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2560Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ผู้ประกอบการ
[LCSH]วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมKeywords: คุณลักษณะผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม Abstract: การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์องค์ประกอบสำคัญของคุณลักษณะของผู้ประกอบการและความสำเร็จของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและพยากรณ์รูปแบบความสัมพันธ์ขององค์ประกอบคุณลักษณะของผู้ประกอบการที่มีผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในหมวดการค้าโดยใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ประกอบการของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในหมวดการค้าที่ประกอบธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกจำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา และการวิเคราะห์ค่าความแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA) ในการทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปรและทดสอบสมมุติฐาน
ผลการศึกษาเกี่ยวกับคุณลักษณะของผู้ประกอบการที่สำคัญ พบว่ามีความสำคัญเรียงตามลำดับ คือ ความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาของผู้ประกอบการ ทักษะในการสื่อสารและการสนทนากับลูกค้า ความคิดสร้างสรรค์ ทักษะในด้านการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ศิลปะในการจูงใจลูกค้าความสามารถในการนำเสนอสินค้าให้เวลาในการบริหารงาน ความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ความสามารถในการวางแผน ทักษะด้านการคำนวณและดูแลสุขภาพร่างกาย ผลจากการวิจัยด้านกลยุทธ์ด้านการตลาดพบว่า ผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านการส่งเสริมการตลาด ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ปัจจัยด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และปัจจัยด้านราคาเรียงตามลำดับความสำคัญ นอกจากนี้ผลจากการทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปรสามารถนำมาสรุปได้ว่า คุณลักษณะของผู้ประกอบการมีความสัมพันธ์กับความสำเร็จของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางหรือขนาดย่อมในหมวดการค้า อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยจากคุณลักษณะของผู้ประกอบการทั้ง 16 องค์ประกอบ ที่ทำการทดสอบ พบว่ามี 11 องค์ประกอบ ประกอบด้วย ด้านสุขภาพ ด้านเวลาในการบริหารงาน ด้านศิลปะในการจูงใจลูกค้า ด้านทักษะในการสื่อสาร ด้านการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้านการนำเสนอสินค้า ด้านการคำนวน ด้านการวิเคราะห์ปัญหา ด้านตัดสินใจ ด้านลักษณะผู้นำ และด้านการสร้างเครือข่าย มีความสัมพันธ์กับความสำเร็จในการประกอบธุรกิจในหมวดการค้า อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ทั้ง 4 ด้าน คือ ความสำเร็จทางธุรกิจ แนวโน้มของจำนวนพนักงาน แนวโน้มของจำนวนลูกค้า และแนวโน้มของยอดขายCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27318 SIU Thesis. คุณลักษณะสำคัญของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ประสบความสำเร็จในหมวดการค้า = Essential Characteristic of Successful SMEs Entrepreneurs in Trade Section [printed text] / วินัย วารมา, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; เพชรรัตน์ โล้วิชากรติกุล, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017 . - ix, 110 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: SOM-DBA-2017-07
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2560
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ผู้ประกอบการ
[LCSH]วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมKeywords: คุณลักษณะผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม Abstract: การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์องค์ประกอบสำคัญของคุณลักษณะของผู้ประกอบการและความสำเร็จของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและพยากรณ์รูปแบบความสัมพันธ์ขององค์ประกอบคุณลักษณะของผู้ประกอบการที่มีผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในหมวดการค้าโดยใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ประกอบการของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในหมวดการค้าที่ประกอบธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกจำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา และการวิเคราะห์ค่าความแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA) ในการทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปรและทดสอบสมมุติฐาน
ผลการศึกษาเกี่ยวกับคุณลักษณะของผู้ประกอบการที่สำคัญ พบว่ามีความสำคัญเรียงตามลำดับ คือ ความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาของผู้ประกอบการ ทักษะในการสื่อสารและการสนทนากับลูกค้า ความคิดสร้างสรรค์ ทักษะในด้านการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ ศิลปะในการจูงใจลูกค้าความสามารถในการนำเสนอสินค้าให้เวลาในการบริหารงาน ความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า ความสามารถในการวางแผน ทักษะด้านการคำนวณและดูแลสุขภาพร่างกาย ผลจากการวิจัยด้านกลยุทธ์ด้านการตลาดพบว่า ผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านการส่งเสริมการตลาด ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ปัจจัยด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และปัจจัยด้านราคาเรียงตามลำดับความสำคัญ นอกจากนี้ผลจากการทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปรสามารถนำมาสรุปได้ว่า คุณลักษณะของผู้ประกอบการมีความสัมพันธ์กับความสำเร็จของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางหรือขนาดย่อมในหมวดการค้า อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยจากคุณลักษณะของผู้ประกอบการทั้ง 16 องค์ประกอบ ที่ทำการทดสอบ พบว่ามี 11 องค์ประกอบ ประกอบด้วย ด้านสุขภาพ ด้านเวลาในการบริหารงาน ด้านศิลปะในการจูงใจลูกค้า ด้านทักษะในการสื่อสาร ด้านการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ด้านการนำเสนอสินค้า ด้านการคำนวน ด้านการวิเคราะห์ปัญหา ด้านตัดสินใจ ด้านลักษณะผู้นำ และด้านการสร้างเครือข่าย มีความสัมพันธ์กับความสำเร็จในการประกอบธุรกิจในหมวดการค้า อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ทั้ง 4 ด้าน คือ ความสำเร็จทางธุรกิจ แนวโน้มของจำนวนพนักงาน แนวโน้มของจำนวนลูกค้า และแนวโน้มของยอดขายCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27318 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000595320 SIU THE-T: SOM-DBA-2017-07 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000595296 SIU THE-T: SOM-DBA-2017-07 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU Thesis. บทบาทภาวะผู้นำในการธำรงรักษาพนักงาน กรณีศึกษาสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในประเทศไทย / บัญชา ลิมปะพันธุ์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2017
Collection Title: SIU Thesis Title : บทบาทภาวะผู้นำในการธำรงรักษาพนักงาน กรณีศึกษาสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในประเทศไทย Original title : Leadership Roles in Retaining Employees: A Case of Private Higher Education Institutions in Thailand Material Type: printed text Authors: บัญชา ลิมปะพันธุ์, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; วิไลพร เลาหโกศล, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2017 Pagination: ix, 124 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2017-09
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2560Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ภาวะผู้นำ
[LCSH]สถาบันอุดมศึกษาเอกชน -- ไทยKeywords: ภาวะผู้นำ,
การธำรงรักษาพนักงาน,
การลาออกของพนักงานAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาบทบาทภาวะผู้นำของผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในการธำรงรักษาบุคลากร 2) ศึกษาความสัมพันธ์และปัจจัยที่มีผลต่อการธำรงรักษาบุคลากรโดยกลุ่มตัวอย่างเป็นพนักงานสายวิชาการและสายสนับสนุนของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 ตัวอย่าง ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสัดส่วน (Quota Sampling) ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ใช้ค่าสถิติเชิงพรรณา และใช้สิถิติเชิงอนุมานในการหาค่า Independent-Sample t-test และ One-Way ANOVA ในการทดสอบสมมุติฐาน
ผลการศึกษาพบว่า 1) พบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม คือ สถานภาพ รายได้ อายุงานรวม การรักษาพยาบาล และวันหยุด กับการธำรงรักษาพนักงานที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 2) พบความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ภาวะผู้นำ (ด้านมุ่งเกณฑ์ ภาวะผู้นำด้านมุ่งงาน ภาวะผู้นำด้านมุ่งสัมพันธ์ และภาวะผู้นำด้านมุ่งประสาน) กับการธำรงรักษาพนักงานอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 3) ผลการวิจัยพบความสัมพันธ์ระหว่างผลตอบแทนด้านการเงินของผู้ตอบแบบสอบถาม คือ ความยุติธรรมของระบบการประเมินผลสำหรับการขึ้นเงินเดือนในองค์กร และผลตอบแทนด้านการเงินทำให้รู้สึกรักองค์กร กับการธำรงรักษาพนักงาน และพบความสัมพันธ์ระหว่างผลตอบแทนที่ไม่ใช่ด้านการเงินของผู้ตอบแบบสอบถาม คือ การได้รับการยกย่องจากผู้บังคับบัญชา การได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงาน ผลตอบแทนที่ไม่ใช่ด้านการเงินทำให้รู้สึกรักองค์กร และความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงาน กับการธำรงรักษาพนักงานอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05
Curricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27317 SIU Thesis. บทบาทภาวะผู้นำในการธำรงรักษาพนักงาน กรณีศึกษาสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในประเทศไทย = Leadership Roles in Retaining Employees: A Case of Private Higher Education Institutions in Thailand [printed text] / บัญชา ลิมปะพันธุ์, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; วิไลพร เลาหโกศล, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2017 . - ix, 124 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: SOM-DBA-2017-09
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2560
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ภาวะผู้นำ
[LCSH]สถาบันอุดมศึกษาเอกชน -- ไทยKeywords: ภาวะผู้นำ,
การธำรงรักษาพนักงาน,
การลาออกของพนักงานAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาบทบาทภาวะผู้นำของผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในการธำรงรักษาบุคลากร 2) ศึกษาความสัมพันธ์และปัจจัยที่มีผลต่อการธำรงรักษาบุคลากรโดยกลุ่มตัวอย่างเป็นพนักงานสายวิชาการและสายสนับสนุนของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 ตัวอย่าง ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสัดส่วน (Quota Sampling) ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ใช้ค่าสถิติเชิงพรรณา และใช้สิถิติเชิงอนุมานในการหาค่า Independent-Sample t-test และ One-Way ANOVA ในการทดสอบสมมุติฐาน
ผลการศึกษาพบว่า 1) พบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม คือ สถานภาพ รายได้ อายุงานรวม การรักษาพยาบาล และวันหยุด กับการธำรงรักษาพนักงานที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 2) พบความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ภาวะผู้นำ (ด้านมุ่งเกณฑ์ ภาวะผู้นำด้านมุ่งงาน ภาวะผู้นำด้านมุ่งสัมพันธ์ และภาวะผู้นำด้านมุ่งประสาน) กับการธำรงรักษาพนักงานอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 3) ผลการวิจัยพบความสัมพันธ์ระหว่างผลตอบแทนด้านการเงินของผู้ตอบแบบสอบถาม คือ ความยุติธรรมของระบบการประเมินผลสำหรับการขึ้นเงินเดือนในองค์กร และผลตอบแทนด้านการเงินทำให้รู้สึกรักองค์กร กับการธำรงรักษาพนักงาน และพบความสัมพันธ์ระหว่างผลตอบแทนที่ไม่ใช่ด้านการเงินของผู้ตอบแบบสอบถาม คือ การได้รับการยกย่องจากผู้บังคับบัญชา การได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงาน ผลตอบแทนที่ไม่ใช่ด้านการเงินทำให้รู้สึกรักองค์กร และความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงาน กับการธำรงรักษาพนักงานอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05
Curricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27317 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000595270 SIU THE-T: SOM-DBA-2017-09 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000595304 SIU THE-T: SOM-DBA-2017-09 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available