From this page you can:
Home |
Collection details
Collection SIU THE-T
Documents available under this collective title
Add the result to your basketSIU THE-T. พฤติกรรมการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืน / ฉัตรกวินฐ์ กุลโท / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : พฤติกรรมการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืน Original title : Behavior of Crime Prevention Against Rape Cases Material Type: printed text Authors: ฉัตรกวินฐ์ กุลโท, Author ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: ix, 195 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500 Baht General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-09
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]อาชญากรรม -- การป้องกัน
[LCSH]อาชญากรรมทางเพศ -- วิจัยKeywords: การป้องกัน, คดีข่มขืน, พฤติกรรม, อาชญากรรม Abstract: การศึกษานี้เป็นวิจัยแบบผสมระหว่างเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืน (2) เปรียบเทียบปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคลกับพฤติกรรมการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืน และ (3) หาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืนกับพฤติกรรมการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามแบบเลือกตอบและแบบสัมภาษณ์ จากกลุ่มจากประชาชนที่อาศัยในเขตเทศบาลนคร นครราชสีมา จำนวน 400 คน วิจัยนี้ใช้สถิติการหาค่าความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regressions) ทดสอบตัวแปร และการทดสอบสมมุติฐานที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05
ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุระหว่าง 20 -30 ปี มีสถานภาพสมรส มีวุฒิการศึกษาปริญญาตรี นับถือศาสนาพุทธ ประกอบธุรกิจส่วนตัว มีรายได้ 15,001 – 20,000 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ผลการวิจัยพบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมในการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืน ประกอบด้วยนโยบายด้านการปราบปราม ด้านการสื่อสารเครือข่ายชุมชน ด้านมวลชนและการสร้างเครือข่าย ด้านเทคโนโลยีกล้องวงจรปิด ด้านระบบสายตรวจ และด้านอาชญวิทยา เรียงตามลำดับ นอกจากนี้ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านการสื่อสารเครือข่ายชุมชน ด้านนโยบายการปราบปราม ด้านมวลชนและการสร้างเครือข่าย ด้านเทคโนโลยีกล้องวงจรปิด เป็นตัวพยากรณ์พฤติกรรมการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27879 SIU THE-T. พฤติกรรมการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืน = Behavior of Crime Prevention Against Rape Cases [printed text] / ฉัตรกวินฐ์ กุลโท, Author ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - ix, 195 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500 Baht
SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-09
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]อาชญากรรม -- การป้องกัน
[LCSH]อาชญากรรมทางเพศ -- วิจัยKeywords: การป้องกัน, คดีข่มขืน, พฤติกรรม, อาชญากรรม Abstract: การศึกษานี้เป็นวิจัยแบบผสมระหว่างเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืน (2) เปรียบเทียบปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคลกับพฤติกรรมการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืน และ (3) หาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืนกับพฤติกรรมการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามแบบเลือกตอบและแบบสัมภาษณ์ จากกลุ่มจากประชาชนที่อาศัยในเขตเทศบาลนคร นครราชสีมา จำนวน 400 คน วิจัยนี้ใช้สถิติการหาค่าความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regressions) ทดสอบตัวแปร และการทดสอบสมมุติฐานที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05
ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุระหว่าง 20 -30 ปี มีสถานภาพสมรส มีวุฒิการศึกษาปริญญาตรี นับถือศาสนาพุทธ ประกอบธุรกิจส่วนตัว มีรายได้ 15,001 – 20,000 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ผลการวิจัยพบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมในการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืน ประกอบด้วยนโยบายด้านการปราบปราม ด้านการสื่อสารเครือข่ายชุมชน ด้านมวลชนและการสร้างเครือข่าย ด้านเทคโนโลยีกล้องวงจรปิด ด้านระบบสายตรวจ และด้านอาชญวิทยา เรียงตามลำดับ นอกจากนี้ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านการสื่อสารเครือข่ายชุมชน ด้านนโยบายการปราบปราม ด้านมวลชนและการสร้างเครือข่าย ด้านเทคโนโลยีกล้องวงจรปิด เป็นตัวพยากรณ์พฤติกรรมการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27879 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000598571 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-09 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598597 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-09 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การนำพระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) ไปสู่การปฏิบัติ / หทัยรัตน์ สนสกุล / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : การนำพระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) ไปสู่การปฏิบัติ Original title : Implementing Land Traffic Act (Drunk Driving) into Practice Material Type: printed text Authors: หทัยรัตน์ สนสกุล, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; อุมาหฤทัย วรรณศรี, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: ix, 95 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-08
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การนำนโยบายไปปฏิบัติ
[LCSH]พระราชบัญญัติจราจรทางบกKeywords: พระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ), การนำนโยบายไปปฏิบัติ Abstract: วัตถุประสงค์ของการศึกษาเรื่อง การนำพระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) ไปสู่การปฏิบัติ คือ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้ขับขี่รถยนต์ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมของผู้ขับขี่รถยนต์ และ 3) เพื่อหาแนวทางและวางแผนในการปฏิบัติตามนโยบายการใช้พระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) ใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลจากผู้ใช้รถในจังหวัดปทุมธานี จำนวน 920 คน สุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ และใช้ค่าความถี ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ การวิเคราะห์ถดถอยพหุแบบขั้นตอน (Stepwise multiple regression analysis) ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ผลการศึกษา พบว่า พฤติกรรมของผู้ใช้รถต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) มี 4 รูปแบบ ประกอบด้วย พฤติกรรมตั้งใจไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ และถูกดำเนินคดีพบมากที่สุด รองลงมา ตั้งใจไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ และไม่เคยถูกดำเนินคดี ตั้งใจปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ แต่ถูกดำเนินคดี และตั้งใจปฏิบัติตามพระราชบัญญัติอย่างเคร่งครัดผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้รถต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) พบว่า โดยรวม คือ ภูมิลำเนา และอาชีพสื่อที่ใช้ในการรณรงค์ตามพระราชบัญญัติ มาตรการของพระราชบัญญัติ และ การสนับสนุนของผู้นำท้องที่ แต่เมื่อพิจารณาแยกตามพฤติกรรมของผู้ใช้รถทั้ง 4 รูปแบบ โดยใช้การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ พบว่า 1) การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ และการสนับสนุนของผู้นำท้องที่ ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้รถที่ตั้งใจปฏิบัติตามพระราชบัญญัติอย่างเคร่งครัด 2) การใช้อำนาจตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ในการใช้พระราชบัญญัติส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้รถที่ตั้งใจปฏิบัติตามพระราชบัญญัติแต่ถูกดำเนินคดี 3) มาตรการของพระราชบัญญัติสื่อที่ใช้ในการรณรงค์ตามพระราชบัญญัติ และบทลงโทษของพระราชบัญญัติส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้รถต่อพระราชบัญญัติฯ ที่ตั้งใจไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ และไม่เคยถูกดำเนินคดี และ 4) การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่การสนับสนุนของผู้นำพื้นที่สื่อที่ใช้ในการรณรงค์ และการใช้อำนาจตัดสินของเจ้าหน้าที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้รถ ที่ตั้งใจไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติและถูกดำเนินคดี สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการนำนโยบายพระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) ไปปฏิบัติ พบว่า คือ การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ และการสนับสนุนของผู้นำท้องที่มีผลต่อการตั้งใจปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดของผู้ใช้รถCurricular : GE/MPA/DPA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27882 SIU THE-T. การนำพระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) ไปสู่การปฏิบัติ = Implementing Land Traffic Act (Drunk Driving) into Practice [printed text] / หทัยรัตน์ สนสกุล, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; อุมาหฤทัย วรรณศรี, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - ix, 95 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-08
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การนำนโยบายไปปฏิบัติ
[LCSH]พระราชบัญญัติจราจรทางบกKeywords: พระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ), การนำนโยบายไปปฏิบัติ Abstract: วัตถุประสงค์ของการศึกษาเรื่อง การนำพระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) ไปสู่การปฏิบัติ คือ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้ขับขี่รถยนต์ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมของผู้ขับขี่รถยนต์ และ 3) เพื่อหาแนวทางและวางแผนในการปฏิบัติตามนโยบายการใช้พระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) ใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลจากผู้ใช้รถในจังหวัดปทุมธานี จำนวน 920 คน สุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ และใช้ค่าความถี ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ การวิเคราะห์ถดถอยพหุแบบขั้นตอน (Stepwise multiple regression analysis) ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ผลการศึกษา พบว่า พฤติกรรมของผู้ใช้รถต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) มี 4 รูปแบบ ประกอบด้วย พฤติกรรมตั้งใจไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ และถูกดำเนินคดีพบมากที่สุด รองลงมา ตั้งใจไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ และไม่เคยถูกดำเนินคดี ตั้งใจปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ แต่ถูกดำเนินคดี และตั้งใจปฏิบัติตามพระราชบัญญัติอย่างเคร่งครัดผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้รถต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) พบว่า โดยรวม คือ ภูมิลำเนา และอาชีพสื่อที่ใช้ในการรณรงค์ตามพระราชบัญญัติ มาตรการของพระราชบัญญัติ และ การสนับสนุนของผู้นำท้องที่ แต่เมื่อพิจารณาแยกตามพฤติกรรมของผู้ใช้รถทั้ง 4 รูปแบบ โดยใช้การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ พบว่า 1) การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ และการสนับสนุนของผู้นำท้องที่ ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้รถที่ตั้งใจปฏิบัติตามพระราชบัญญัติอย่างเคร่งครัด 2) การใช้อำนาจตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ในการใช้พระราชบัญญัติส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้รถที่ตั้งใจปฏิบัติตามพระราชบัญญัติแต่ถูกดำเนินคดี 3) มาตรการของพระราชบัญญัติสื่อที่ใช้ในการรณรงค์ตามพระราชบัญญัติ และบทลงโทษของพระราชบัญญัติส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้รถต่อพระราชบัญญัติฯ ที่ตั้งใจไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ และไม่เคยถูกดำเนินคดี และ 4) การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่การสนับสนุนของผู้นำพื้นที่สื่อที่ใช้ในการรณรงค์ และการใช้อำนาจตัดสินของเจ้าหน้าที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้รถ ที่ตั้งใจไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติและถูกดำเนินคดี สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการนำนโยบายพระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) ไปปฏิบัติ พบว่า คือ การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ และการสนับสนุนของผู้นำท้องที่มีผลต่อการตั้งใจปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดของผู้ใช้รถCurricular : GE/MPA/DPA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27882 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000599041 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-08 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598985 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-08 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การตัดสินใจเชิงจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนในกิจการโทรทัศน์ระบบดิจิทัลภาคพื้นดิน / เฉิมชัย ก๊กเกียรติกุล / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : การตัดสินใจเชิงจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนในกิจการโทรทัศน์ระบบดิจิทัลภาคพื้นดิน Original title : Ethical Decision Making of Media Profession in Digital Terrestrial Television Sector Material Type: printed text Authors: เฉิมชัย ก๊กเกียรติกุล, Author ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: x, 301 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-10
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การตัดสินใจ
[LCSH]นักสื่อสารมวลชน -- แง่ศีลธรรมจรรยาKeywords: การตัดสินใจ,
จริยธรรม,
วิชาชีพสื่อมวลชนAbstract: การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์คือ เพื่อศึกษาการตัดสินใจเชิงจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการตัดสินใจเชิงจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน ตลอดทั้งแนวทางส่งเสริมจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนในกิจการโทรทัศน์ระบบดิจิทัลภาคพื้นดิน วิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ สำหรับงานวิจัยเชิงคุณภาพเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกสื่อมวลชนที่มีประสบการณ์ และผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้อง และใช้แบบสอบถามกับสื่อมวลชนในกิจการโทรทัศน์ระบบดิจิทัลภาคพื้นดินสำหรับการวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งเริ่มต้นด้วยการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 15 คน เพื่อนำผลไปวิเคราะห์เพื่อพัฒนาแบบสอบถามเชิงปริมาณ โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากสื่อมวลชนกลุ่มตัวอย่างจำนวน 360 คน แล้วดำเนินการวิเคราะห์ประมวลผลข้อมูลทางสถิติ ผลการวิจัยพบความสัมพันธ์ระหว่างการตัดสินใจเชิงจริยธรรมของวิชาชีพสื่อมวลชนกับปัญหาจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนในระดับค่อนข้างน้อย โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .393 โดยมีความคลาดเคลื่อนมาตรฐานในการพยากรณ์เท่ากับ ± 16.16 เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการตัดสินใจเชิงจริยธรรมของวิชาชีพสื่อมวลชนกับแนวทางส่งเสริมจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน พบว่าทุกด้านมีความสัมพันธ์กันในทางบวกอย่างมีนัยทางสถิติ โดยพบว่าองค์กรวิชาชีพมีความสัมพันธ์กับแนวทางส่งเสริมจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .531 ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01 โดยมีความคลาดเคลื่อนมาตรฐานในการพยากรณ์เท่ากับ ±.38 Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27883 SIU THE-T. การตัดสินใจเชิงจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนในกิจการโทรทัศน์ระบบดิจิทัลภาคพื้นดิน = Ethical Decision Making of Media Profession in Digital Terrestrial Television Sector [printed text] / เฉิมชัย ก๊กเกียรติกุล, Author ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - x, 301 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-10
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การตัดสินใจ
[LCSH]นักสื่อสารมวลชน -- แง่ศีลธรรมจรรยาKeywords: การตัดสินใจ,
จริยธรรม,
วิชาชีพสื่อมวลชนAbstract: การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์คือ เพื่อศึกษาการตัดสินใจเชิงจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการตัดสินใจเชิงจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน ตลอดทั้งแนวทางส่งเสริมจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนในกิจการโทรทัศน์ระบบดิจิทัลภาคพื้นดิน วิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ สำหรับงานวิจัยเชิงคุณภาพเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกสื่อมวลชนที่มีประสบการณ์ และผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้อง และใช้แบบสอบถามกับสื่อมวลชนในกิจการโทรทัศน์ระบบดิจิทัลภาคพื้นดินสำหรับการวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งเริ่มต้นด้วยการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 15 คน เพื่อนำผลไปวิเคราะห์เพื่อพัฒนาแบบสอบถามเชิงปริมาณ โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากสื่อมวลชนกลุ่มตัวอย่างจำนวน 360 คน แล้วดำเนินการวิเคราะห์ประมวลผลข้อมูลทางสถิติ ผลการวิจัยพบความสัมพันธ์ระหว่างการตัดสินใจเชิงจริยธรรมของวิชาชีพสื่อมวลชนกับปัญหาจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนในระดับค่อนข้างน้อย โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .393 โดยมีความคลาดเคลื่อนมาตรฐานในการพยากรณ์เท่ากับ ± 16.16 เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการตัดสินใจเชิงจริยธรรมของวิชาชีพสื่อมวลชนกับแนวทางส่งเสริมจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน พบว่าทุกด้านมีความสัมพันธ์กันในทางบวกอย่างมีนัยทางสถิติ โดยพบว่าองค์กรวิชาชีพมีความสัมพันธ์กับแนวทางส่งเสริมจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .531 ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01 โดยมีความคลาดเคลื่อนมาตรฐานในการพยากรณ์เท่ากับ ±.38 Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27883 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000598845 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-10 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598811 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-10 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. นวัตวิถีการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อยุธยาโมเดล / เกษียร วรศิริ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : นวัตวิถีการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อยุธยาโมเดล Original title : Historical Tourism Innovative : Ayutthaya Model Material Type: printed text Authors: เกษียร วรศิริ, Associated Name ; อุษณีย์ เสวกวัชรี, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: vii, 181 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2018-07
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2561Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การท่องเที่ยว -- การจัดการ
[LCSH]การบริหารKeywords: การบริหารจัดการ,
อัตลักษณ์,
นวัตวิถี,
มรดกโลกที่มีชีวิตAbstract: การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยใดที่ก่อให้เกิดปัญหา
ในการบริหารจัดการท่องเที่ยวในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2) ปัจจัยใดที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผล
ของการบริหารจัดการท่องเที่ยว 3) มีการพัฒนาอะไรที่จะทำให้การท่องเที่ยวเขตเมืองมรดกโลก
ของอุทยานประวัติศาสตร์ มีเอกลักษณ์ มีความยั่งยืนสอดคล้องกับวิถีชุมชน และ 4) รายรับจากการท่องเที่ยวส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างไร ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1) หน่วยงานภาครัฐ จำนวน 30 คน 2) หน่วยงานเอกชน จำนวน 10 คน 3) หน่วยงานส่วนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว จำนวน 20 คน รวมกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 60 คน กลุ่มตัวอย่างแบบลูกโซ่และต่อเนื่องด้วยการอ้างอิงด้วยบุคคลและผู้เชี่ยวชาญ ผลการวิจัย พบว่า ปัญหาหลักในการบริหารงานของอยุธยา คือ ความขัดแย้งทางกฎหมายและข้อบังคับจากหน่วยงานต่างๆ ในจังหวัด ความรับผิดชอบที่ทับซ้อนเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการให้บริการ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายคนแนะนำให้จังหวัดอยุธยาปฏิบัติตามเส้นทางเดียวกันเพื่อให้เป็นเขตเทศบาลพิเศษ เหมือนเขตพัทยา และกรุงเทพฯ และระบุกฎหมายพิเศษในการจัดการพื้นที่ดังกล่าว ผู้บริหารระดับสูงของจังหวัดมีบทบาทสำคัญในการที่จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการบูรณาการและวางนโยบายและยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องตามประเพณี วัฒนธรรม และสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของชุมชน ในท้ายที่สุดเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมุ่งเป้าไปที่
การรักษาประเพณีท้องถิ่นและประวัติของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในจังหวัด และสุดท้ายนี้ปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือน
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คือ สามารถสัมผัสกับมรดกโลกที่แท้จริงซึ่งสามารถมองเห็นวิถีชีวิตของชุมชน
ในท้องถิ่นได้ รวมทั้งจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศมากขึ้น การลดความเสี่ยงและผลกระทบในทางลบต่อชีวิตของชุมชนท้องถิ่น
ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนของมรดกโลกที่มีลักษณะเป็น "นวัตกรรมทางประวัติศาสตร์อยุธยา" ดังที่ได้กล่าวมาแล้วCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27884 SIU THE-T. นวัตวิถีการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อยุธยาโมเดล = Historical Tourism Innovative : Ayutthaya Model [printed text] / เกษียร วรศิริ, Associated Name ; อุษณีย์ เสวกวัชรี, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - vii, 181 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2018-07
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2561
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การท่องเที่ยว -- การจัดการ
[LCSH]การบริหารKeywords: การบริหารจัดการ,
อัตลักษณ์,
นวัตวิถี,
มรดกโลกที่มีชีวิตAbstract: การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยใดที่ก่อให้เกิดปัญหา
ในการบริหารจัดการท่องเที่ยวในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2) ปัจจัยใดที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผล
ของการบริหารจัดการท่องเที่ยว 3) มีการพัฒนาอะไรที่จะทำให้การท่องเที่ยวเขตเมืองมรดกโลก
ของอุทยานประวัติศาสตร์ มีเอกลักษณ์ มีความยั่งยืนสอดคล้องกับวิถีชุมชน และ 4) รายรับจากการท่องเที่ยวส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างไร ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1) หน่วยงานภาครัฐ จำนวน 30 คน 2) หน่วยงานเอกชน จำนวน 10 คน 3) หน่วยงานส่วนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว จำนวน 20 คน รวมกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 60 คน กลุ่มตัวอย่างแบบลูกโซ่และต่อเนื่องด้วยการอ้างอิงด้วยบุคคลและผู้เชี่ยวชาญ ผลการวิจัย พบว่า ปัญหาหลักในการบริหารงานของอยุธยา คือ ความขัดแย้งทางกฎหมายและข้อบังคับจากหน่วยงานต่างๆ ในจังหวัด ความรับผิดชอบที่ทับซ้อนเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการให้บริการ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายคนแนะนำให้จังหวัดอยุธยาปฏิบัติตามเส้นทางเดียวกันเพื่อให้เป็นเขตเทศบาลพิเศษ เหมือนเขตพัทยา และกรุงเทพฯ และระบุกฎหมายพิเศษในการจัดการพื้นที่ดังกล่าว ผู้บริหารระดับสูงของจังหวัดมีบทบาทสำคัญในการที่จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการบูรณาการและวางนโยบายและยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องตามประเพณี วัฒนธรรม และสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของชุมชน ในท้ายที่สุดเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมุ่งเป้าไปที่
การรักษาประเพณีท้องถิ่นและประวัติของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในจังหวัด และสุดท้ายนี้ปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือน
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คือ สามารถสัมผัสกับมรดกโลกที่แท้จริงซึ่งสามารถมองเห็นวิถีชีวิตของชุมชน
ในท้องถิ่นได้ รวมทั้งจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศมากขึ้น การลดความเสี่ยงและผลกระทบในทางลบต่อชีวิตของชุมชนท้องถิ่น
ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนของมรดกโลกที่มีลักษณะเป็น "นวัตกรรมทางประวัติศาสตร์อยุธยา" ดังที่ได้กล่าวมาแล้วCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27884 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000599017 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-07 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598993 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-07 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหาร: กรณีศึกษา ซานตาเฟ่สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร / รุ่งโรจน์ เจือสนิท / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : การพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหาร: กรณีศึกษา ซานตาเฟ่สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร Original title : Service Development of Franchise Restaurant: A Case of Santa Fe’ Steak in Bangkok Material Type: printed text Authors: รุ่งโรจน์ เจือสนิท, Author ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: xi, 144 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2018-08
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2561Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]พฤติกรรมผู้บริโภค -- การศึกษาเฉพาะกรณี
[LCSH]แฟรนไชส์Keywords: พฤติกรรมผู้บริโภค,
ส่วนประสมทางการตลาด,
ร้านอาหารแฟรนไชส์Abstract: การวิจัยนี้ศึกษาความสัมพันธ์ในเชิงปริมาณ ในการพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ ร้านอาหาร กรณีศึกษาซานตาเฟ่ สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาความสัมพันธ์การพัฒนางานบริการด้านปัจจัยส่วนบุคคลของลูกค้าต่อการพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ ร้านอาหาร ซานตาเฟ่ สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร 2) หาความสัมพันธ์การพัฒนางานบริการด้านพฤติกรรมการใช้บริการของผู้บริโภคที่มีผลต่อการพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารซานตาเฟ่ สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร 3) หาความสัมพันธ์ของส่วนประสมทางการตลาด ต่อการพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารซานตาเฟ่ สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร 4) หาแนวทางการพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารที่มีความสัมพันธ์ต่อความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารซานตาเฟ่ สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร
ผลการวิจัย พบว่า 1) ข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์อาหารซานตาเฟ่สเต็ก พบว่า ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษาผู้บริโภคอาหารร้านซานตาเฟ่ สเต๊ก มีการศึกษาในระดับปริญญาตรี หรือเทียบเท่า คิดเป็นร้อยละ 44.5 ด้านอาชีพ คิดเป็นร้อยละ 53.2 ตำแหน่งงาน คิดเป็นร้อยละ 64.5 ซึ้งแสดงให้เห็นว่าปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจอาหารแฟรนไชส์อยู่ที่การศึกษา อาชีพ และตำแหน่งงานเป็นประเด็นสำคัญ 2) ข้อมูลพฤติกรรมการใช้บริการร้านอาหารซานตาเฟ่สเต็กมารับประทานอาหารในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์มากที่สุด ผู้บริโภคอาหารร้านซานตาเฟ่ สเต๊ก ร้อยละ 58.7 มาใช้บริการในช่วงเวลา 13.00 -17.00 น. มากที่สุด ผู้บริโภคอาหารร้านซานตาเฟ่ สเต๊ก ร้อยละ 48.5 มาใช้บริการ 2-3 ครั้งต่อเดือน สาขาร้านซานตาเฟ่ สเต๊กที่กลุ่มศึกษานิยม ใช้บริการบ่อยที่สุด ได้แก่ อันดับหนึ่ง ร้อยละ 28.5 สาขาเดอะมอลล์บางกะปิ ส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษาร้อยละ 37.3 ชอบทานเมนูสเต็กหมูมากที่สุด กลุ่มศึกษามีค่าใช้จ่ายในการรับประทานอาหารต่อครั้ง ร้อยละ 40.7 ต่ำกว่า 500 บาท มากที่สุด ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษาไปรับประทานอาหาร ร้อยละ 49.7 ไปทาน 2 คน ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษามีบุคคลที่ไปรับประทานอาหารด้วย ร้อยละ 38.2 ไปกับเพื่อนส่วนใหญ่ กลุ่มศึกษา มีจุดประสงค์ในการไปรับประทานอาหาร ร้อยละ 47.5 รับประทานปกติ/ไม่มีโอกาสพิเศษ ส่วนใหญ่ กลุ่มศึกษามีแหล่งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับร้าน ร้อยละ 39.7 เพื่อน/บอกต่อ ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษา ร้อยละ 39.0 พอใจ ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษา ร้อยละ 51.0 ตัดสินใจกลับมาใช้บริการซ้ำอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษาร้อยละ 60.2 แนะนำอยู่ในระดับปานกลาง 3) ข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจบริโภคอาหารของธุรกิจแฟรนไชส์ ปรากฏว่ากลุ่มศึกษาใช้เหตุผลในการตัดสินใจที่เลือกร้านมากที่สุดร้อยละ 37.3 เพราะรสชาติดี ถูกใจ ระดับส่วนประสมทางการตลาดที่ทำให้ธุรกิจแฟรนไชส์ของร้านอาหาร ประสบความสำเร็จอยู่ในระดับค่อนข้างมาก ( = 3.07, SD = 0.72) ระดับความสำเร็จของธุรกิจธุรกิจแฟรนไชส์ ของร้านอาหาร อยู่ในระดับค่อนข้างมาก ( = 3.09, SD = 0.67) ในการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตามด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวน ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตาม ด้านข้อมูลส่วนบุคคล พบว่ามีตัวแปรอิสระ 3 ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับตัวแปรตาม ด้านข้อมูลพฤติกรรมการมาใช้บริการของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า มีตัวแปรอิสระ 6 ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับตัวแปรตาม และด้านส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์ ของร้านอาหารกลุ่ม ซานตาเฟ่ สเต็ก พบว่า แปรอิสระมีความสัมพันธ์กับตัวแปรตาม ส่วนการวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์ ของร้านอาหารกลุ่ม ซานตาเฟ่ สเต็ก ด้วยเทคนิคการวิเคราะห์ความสัมพันธ์แบบแปรปรวนในทางเดียว (One-way-Anova) พบว่า ชุดตัวแปรอิสระด้านข้อมูลส่วนบุคคลทั้งชุดสามารถอธิบายผลความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์ ของร้านอาหารกลุ่ม ซานตาเฟ่ สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร ตัวแปรที่ดีที่สุดที่อธิบายตัวแปรตาม ความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์ ของร้านอาหารกลุ่ม ซานตาเฟ่ สเต็ก คือ การศึกษา อาชีพ และตำแหน่งงานCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27885 SIU THE-T. การพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหาร: กรณีศึกษา ซานตาเฟ่สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร = Service Development of Franchise Restaurant: A Case of Santa Fe’ Steak in Bangkok [printed text] / รุ่งโรจน์ เจือสนิท, Author ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - xi, 144 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2018-08
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2561
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]พฤติกรรมผู้บริโภค -- การศึกษาเฉพาะกรณี
[LCSH]แฟรนไชส์Keywords: พฤติกรรมผู้บริโภค,
ส่วนประสมทางการตลาด,
ร้านอาหารแฟรนไชส์Abstract: การวิจัยนี้ศึกษาความสัมพันธ์ในเชิงปริมาณ ในการพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ ร้านอาหาร กรณีศึกษาซานตาเฟ่ สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาความสัมพันธ์การพัฒนางานบริการด้านปัจจัยส่วนบุคคลของลูกค้าต่อการพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ ร้านอาหาร ซานตาเฟ่ สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร 2) หาความสัมพันธ์การพัฒนางานบริการด้านพฤติกรรมการใช้บริการของผู้บริโภคที่มีผลต่อการพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารซานตาเฟ่ สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร 3) หาความสัมพันธ์ของส่วนประสมทางการตลาด ต่อการพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารซานตาเฟ่ สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร 4) หาแนวทางการพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารที่มีความสัมพันธ์ต่อความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารซานตาเฟ่ สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร
ผลการวิจัย พบว่า 1) ข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์อาหารซานตาเฟ่สเต็ก พบว่า ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษาผู้บริโภคอาหารร้านซานตาเฟ่ สเต๊ก มีการศึกษาในระดับปริญญาตรี หรือเทียบเท่า คิดเป็นร้อยละ 44.5 ด้านอาชีพ คิดเป็นร้อยละ 53.2 ตำแหน่งงาน คิดเป็นร้อยละ 64.5 ซึ้งแสดงให้เห็นว่าปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจอาหารแฟรนไชส์อยู่ที่การศึกษา อาชีพ และตำแหน่งงานเป็นประเด็นสำคัญ 2) ข้อมูลพฤติกรรมการใช้บริการร้านอาหารซานตาเฟ่สเต็กมารับประทานอาหารในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์มากที่สุด ผู้บริโภคอาหารร้านซานตาเฟ่ สเต๊ก ร้อยละ 58.7 มาใช้บริการในช่วงเวลา 13.00 -17.00 น. มากที่สุด ผู้บริโภคอาหารร้านซานตาเฟ่ สเต๊ก ร้อยละ 48.5 มาใช้บริการ 2-3 ครั้งต่อเดือน สาขาร้านซานตาเฟ่ สเต๊กที่กลุ่มศึกษานิยม ใช้บริการบ่อยที่สุด ได้แก่ อันดับหนึ่ง ร้อยละ 28.5 สาขาเดอะมอลล์บางกะปิ ส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษาร้อยละ 37.3 ชอบทานเมนูสเต็กหมูมากที่สุด กลุ่มศึกษามีค่าใช้จ่ายในการรับประทานอาหารต่อครั้ง ร้อยละ 40.7 ต่ำกว่า 500 บาท มากที่สุด ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษาไปรับประทานอาหาร ร้อยละ 49.7 ไปทาน 2 คน ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษามีบุคคลที่ไปรับประทานอาหารด้วย ร้อยละ 38.2 ไปกับเพื่อนส่วนใหญ่ กลุ่มศึกษา มีจุดประสงค์ในการไปรับประทานอาหาร ร้อยละ 47.5 รับประทานปกติ/ไม่มีโอกาสพิเศษ ส่วนใหญ่ กลุ่มศึกษามีแหล่งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับร้าน ร้อยละ 39.7 เพื่อน/บอกต่อ ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษา ร้อยละ 39.0 พอใจ ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษา ร้อยละ 51.0 ตัดสินใจกลับมาใช้บริการซ้ำอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษาร้อยละ 60.2 แนะนำอยู่ในระดับปานกลาง 3) ข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจบริโภคอาหารของธุรกิจแฟรนไชส์ ปรากฏว่ากลุ่มศึกษาใช้เหตุผลในการตัดสินใจที่เลือกร้านมากที่สุดร้อยละ 37.3 เพราะรสชาติดี ถูกใจ ระดับส่วนประสมทางการตลาดที่ทำให้ธุรกิจแฟรนไชส์ของร้านอาหาร ประสบความสำเร็จอยู่ในระดับค่อนข้างมาก ( = 3.07, SD = 0.72) ระดับความสำเร็จของธุรกิจธุรกิจแฟรนไชส์ ของร้านอาหาร อยู่ในระดับค่อนข้างมาก ( = 3.09, SD = 0.67) ในการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตามด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวน ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตาม ด้านข้อมูลส่วนบุคคล พบว่ามีตัวแปรอิสระ 3 ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับตัวแปรตาม ด้านข้อมูลพฤติกรรมการมาใช้บริการของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า มีตัวแปรอิสระ 6 ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับตัวแปรตาม และด้านส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์ ของร้านอาหารกลุ่ม ซานตาเฟ่ สเต็ก พบว่า แปรอิสระมีความสัมพันธ์กับตัวแปรตาม ส่วนการวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์ ของร้านอาหารกลุ่ม ซานตาเฟ่ สเต็ก ด้วยเทคนิคการวิเคราะห์ความสัมพันธ์แบบแปรปรวนในทางเดียว (One-way-Anova) พบว่า ชุดตัวแปรอิสระด้านข้อมูลส่วนบุคคลทั้งชุดสามารถอธิบายผลความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์ ของร้านอาหารกลุ่ม ซานตาเฟ่ สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร ตัวแปรที่ดีที่สุดที่อธิบายตัวแปรตาม ความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์ ของร้านอาหารกลุ่ม ซานตาเฟ่ สเต็ก คือ การศึกษา อาชีพ และตำแหน่งงานCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27885 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000598837 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-08 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598860 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-08 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. องค์ประกอบของคุณภาพการให้บริการที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของบริษัทรักษาความปลอดภัยในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคกลาง / ศิร์รัฐ ภิรมย์บวรภักดิ์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : องค์ประกอบของคุณภาพการให้บริการที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของบริษัทรักษาความปลอดภัยในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคกลาง Original title : Elements of Service Quality Influencing on the Success of Security Service Companies in the Industrial Estates in the Central Region Material Type: printed text Authors: ศิร์รัฐ ภิรมย์บวรภักดิ์, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: xii, 120 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2019-01
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การบริการ
[LCSH]ธุรกิจรักษาความปลอดภัย -- การให้บริการKeywords: การบริการ,
ความสำเร็จ,
ธุรกิจรักษาความปลอดภัยAbstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบของการให้บริการที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของธุรกิจรักษาความปลอดภัย ในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคกลาง ทำการเก็บข้อมูลจากผู้จัดการบริษัทผู้ใช้บริการรักษาความปลอดภัยในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคกลาง จำนวน 400 คน ด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา และใช้สถิติเชิงอนุมานในการทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปร โดยยอมรับสมมุติฐานที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05
ผลการวิจัยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการ โดยอยู่ในตำแหน่งปัจจุบันมากกว่า 1 ถึง 5 ปี ทำงานอยู่ในธุรกิจประเภทอุตสาหกรรมการผลิต โดยบริษัทจดทะเบียนมาแล้วมากกว่า 10 ปี มีจำนวนพนักงานทำงานในกิจการจำนวน 101 - 500 คน ผลจากการวิจัยในครั้งนี้พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับขนาดของบริษัทรักษาความปลอดภัยในระดับมากที่สุด รองลงมาพบว่ามีการให้ความความสำคัญกับจำนวนพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทผู้ให้บริการ และการรับผิดชอบต่อความเสียหายว่ามีผลต่อความสำเร็จของการบริการ ส่วนความสำคัญด้านคุณลักษณะของบริษัทผู้ให้บริการรักษาความปลอดภัย พบว่า ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของบริษัทผู้ให้บริการรักษาความปลอดภัยในภาพรวมมีความสำคัญอยู่ในระดับมากที่สุดเช่นกัน โดยพบว่า ชื่อเสียงของเจ้าของธุรกิจมีความสำคัญเป็นอันดับแรก รองลงมาคือหน่วยงานที่เคยใช้บริการสำหรับนำมาใช้ในการอ้างอิง การได้รับการรับรองโดยสถาบันต่างๆ เรียงตามลำดับ การฝึกอบรมและการพัฒนาบุคลากร การได้รับการรับรองมาตรฐาน และประสบการณ์ของบริษัทผู้ให้บริการในธุรกิจรักษาความปลอดภัย เรียงตามลำดับ ส่วนด้านประสิทธิภาพในการให้บริการที่นำไปสู่ความสำเร็จผลการวิจัยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากเป็นอันดับแรก ตามด้วยความไว้วางใจ ประสิทธิภาพของการตอบสนองต่อเหตุการณ์ และความน่าเชื่อถือของการให้บริการจากบริษัทรักษาความปลอดภัย ส่วนด้านส่วนประสมการตลาดที่มีผลต่อความสำเร็จในการให้บริการพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับกระบวนการจัดการด้านการให้บริการมากเป็นอันดับแรก รองลงมาเป็นภาพลักษณ์ที่ปรากฏต่อสายตาผู้รับบริการ ผลิตภัณฑ์หรือบริการ อัตราค่าบริการ ช่องทางการจัดจำหน่าย การสื่อสารการตลาด และความน่าเชื่อถือของบุคลากรCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27930 SIU THE-T. องค์ประกอบของคุณภาพการให้บริการที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของบริษัทรักษาความปลอดภัยในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคกลาง = Elements of Service Quality Influencing on the Success of Security Service Companies in the Industrial Estates in the Central Region [printed text] / ศิร์รัฐ ภิรมย์บวรภักดิ์, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - xii, 120 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2019-01
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การบริการ
[LCSH]ธุรกิจรักษาความปลอดภัย -- การให้บริการKeywords: การบริการ,
ความสำเร็จ,
ธุรกิจรักษาความปลอดภัยAbstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบของการให้บริการที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของธุรกิจรักษาความปลอดภัย ในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคกลาง ทำการเก็บข้อมูลจากผู้จัดการบริษัทผู้ใช้บริการรักษาความปลอดภัยในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคกลาง จำนวน 400 คน ด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา และใช้สถิติเชิงอนุมานในการทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปร โดยยอมรับสมมุติฐานที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05
ผลการวิจัยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการ โดยอยู่ในตำแหน่งปัจจุบันมากกว่า 1 ถึง 5 ปี ทำงานอยู่ในธุรกิจประเภทอุตสาหกรรมการผลิต โดยบริษัทจดทะเบียนมาแล้วมากกว่า 10 ปี มีจำนวนพนักงานทำงานในกิจการจำนวน 101 - 500 คน ผลจากการวิจัยในครั้งนี้พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับขนาดของบริษัทรักษาความปลอดภัยในระดับมากที่สุด รองลงมาพบว่ามีการให้ความความสำคัญกับจำนวนพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทผู้ให้บริการ และการรับผิดชอบต่อความเสียหายว่ามีผลต่อความสำเร็จของการบริการ ส่วนความสำคัญด้านคุณลักษณะของบริษัทผู้ให้บริการรักษาความปลอดภัย พบว่า ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของบริษัทผู้ให้บริการรักษาความปลอดภัยในภาพรวมมีความสำคัญอยู่ในระดับมากที่สุดเช่นกัน โดยพบว่า ชื่อเสียงของเจ้าของธุรกิจมีความสำคัญเป็นอันดับแรก รองลงมาคือหน่วยงานที่เคยใช้บริการสำหรับนำมาใช้ในการอ้างอิง การได้รับการรับรองโดยสถาบันต่างๆ เรียงตามลำดับ การฝึกอบรมและการพัฒนาบุคลากร การได้รับการรับรองมาตรฐาน และประสบการณ์ของบริษัทผู้ให้บริการในธุรกิจรักษาความปลอดภัย เรียงตามลำดับ ส่วนด้านประสิทธิภาพในการให้บริการที่นำไปสู่ความสำเร็จผลการวิจัยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากเป็นอันดับแรก ตามด้วยความไว้วางใจ ประสิทธิภาพของการตอบสนองต่อเหตุการณ์ และความน่าเชื่อถือของการให้บริการจากบริษัทรักษาความปลอดภัย ส่วนด้านส่วนประสมการตลาดที่มีผลต่อความสำเร็จในการให้บริการพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับกระบวนการจัดการด้านการให้บริการมากเป็นอันดับแรก รองลงมาเป็นภาพลักษณ์ที่ปรากฏต่อสายตาผู้รับบริการ ผลิตภัณฑ์หรือบริการ อัตราค่าบริการ ช่องทางการจัดจำหน่าย การสื่อสารการตลาด และความน่าเชื่อถือของบุคลากรCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27930 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000598761 SIU THE-T: SOM-DBA-2019-01 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598738 SIU THE-T: SOM-DBA-2019-01 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. โอกาสและอุปสรรคในความก้าวหน้าในอาชีพของผู้บริหารสตรีในสถาบันการเงินภาครัฐ / กนกวรรณ ก่อเกิด / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : โอกาสและอุปสรรคในความก้าวหน้าในอาชีพของผู้บริหารสตรีในสถาบันการเงินภาครัฐ Original title : Opportunities and Obstacles in Women’s Advancement in Specialized Financial institutions Material Type: printed text Authors: กนกวรรณ ก่อเกิด, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: x, 113 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2019-02
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]นักบริหารสตรี
[LCSH]สถาบันการเงินของรัฐKeywords: ความสำเร็จ,
สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ,
ผู้บริหารสตรี,
โอกาสและอุปสรรคAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาโอกาสและอุปสรรคในความก้าวหน้าในอาชีพของผู้บริหารสตรี ที่ทำงานในสถาบันการเงินเฉพาะกิจของภาครัฐ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 400 คน ที่ทำงานในสถาบันการเงินเฉพาะกิจของภาครัฐ 4 แห่ง โดยใช้แบบสอบถาม แบบกึ่งโครงสร้าง และใช้สถิติเชิงอนุมานในการวิเคราะห์ตัวแปร และทดสอบสมมติฐาน
ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีสถานะภาพสมรสและอยู่ด้วยกัน งานที่ทำไม่ได้เป็นงานแรก มีประสบการทำงานทั้งหมด 15 ปีผู้ ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างงานกับครอบครัวเป็นอันดับแรก และรองลงมาคือ การรับรู้เกี่ยวกับการสนับสนุนจากองค์การ ผลจากการวิจัยพบว่าสถานภาพ ระดับการศึกษา และแผนกงานที่ทำในปัจจุบันมีผลต่อความพึงพอใจในอาชีพ นอกจากนี้พบว่ารายได้ไม่มีผลต่อความผูกพันต่อองค์การ พนักงานสามารถรับรู้ได้ถึงความมั่นคงในการทำงาน และรู้สึกถึงความผูกพันในองค์โดยไม่คิดเปลี่ยนงานแม้จะมีโอกาสก็ตาม ผลการวิจัยยังพบว่าจำนวนครั้งของการอบรมมีผลต่อความรู้สึกองค์กรสนับสนุนให้มีความก้าวหน้า ส่วนผลการทดสอบความสัมพันธ์ด้านทัศนคติที่มีต่อสตรีพบว่าเป็นอุปสรรคต่อการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27931 SIU THE-T. โอกาสและอุปสรรคในความก้าวหน้าในอาชีพของผู้บริหารสตรีในสถาบันการเงินภาครัฐ = Opportunities and Obstacles in Women’s Advancement in Specialized Financial institutions [printed text] / กนกวรรณ ก่อเกิด, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - x, 113 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2019-02
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]นักบริหารสตรี
[LCSH]สถาบันการเงินของรัฐKeywords: ความสำเร็จ,
สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ,
ผู้บริหารสตรี,
โอกาสและอุปสรรคAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาโอกาสและอุปสรรคในความก้าวหน้าในอาชีพของผู้บริหารสตรี ที่ทำงานในสถาบันการเงินเฉพาะกิจของภาครัฐ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 400 คน ที่ทำงานในสถาบันการเงินเฉพาะกิจของภาครัฐ 4 แห่ง โดยใช้แบบสอบถาม แบบกึ่งโครงสร้าง และใช้สถิติเชิงอนุมานในการวิเคราะห์ตัวแปร และทดสอบสมมติฐาน
ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีสถานะภาพสมรสและอยู่ด้วยกัน งานที่ทำไม่ได้เป็นงานแรก มีประสบการทำงานทั้งหมด 15 ปีผู้ ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างงานกับครอบครัวเป็นอันดับแรก และรองลงมาคือ การรับรู้เกี่ยวกับการสนับสนุนจากองค์การ ผลจากการวิจัยพบว่าสถานภาพ ระดับการศึกษา และแผนกงานที่ทำในปัจจุบันมีผลต่อความพึงพอใจในอาชีพ นอกจากนี้พบว่ารายได้ไม่มีผลต่อความผูกพันต่อองค์การ พนักงานสามารถรับรู้ได้ถึงความมั่นคงในการทำงาน และรู้สึกถึงความผูกพันในองค์โดยไม่คิดเปลี่ยนงานแม้จะมีโอกาสก็ตาม ผลการวิจัยยังพบว่าจำนวนครั้งของการอบรมมีผลต่อความรู้สึกองค์กรสนับสนุนให้มีความก้าวหน้า ส่วนผลการทดสอบความสัมพันธ์ด้านทัศนคติที่มีต่อสตรีพบว่าเป็นอุปสรรคต่อการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27931 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607982 SIU THE-T: SOM-DBA-2019-02 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000607981 SIU THE-T: SOM-DBA-2019-02 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของภาคธุรกิจบริการ: กรณีศึกษา สถานบันเทิงในเขตกรุงเทพมหานคร / สมหมาย โง้วสกุล / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของภาคธุรกิจบริการ: กรณีศึกษา สถานบันเทิงในเขตกรุงเทพมหานคร Original title : Creating Competitive Advantage of Service Business: A Case Study of Entertainment Complex in Bangkok Metropolis Material Type: printed text Authors: สมหมาย โง้วสกุล, Author ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: vii, 181 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2019-03
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การแข่งขันทางการค้า
[LCSH]ธุรกิจบริการ
[LCSH]ธุรกิจบันเทิง -- ไทย -- กรุงเทพฯKeywords: การแข่งขัน, ความได้เปรียบ, ความสัมพันธ์, เจ้าหน้าที่, ธุรกิจบริการ, สถานบันเทิง Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวทางในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันด้านบริการของสถานบันเทิง 2) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารธุรกิจสถานบันเทิง ให้ประสบผลสำเร็จดำรงอยู่ได้และมีผลกำไร และ 3) เพื่อศึกษาเหตุผลในการเข้ามาใช้บริการของลูกค้าในสถานบันเทิงเขตกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพในการใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกในการเก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (key informants) ประกอบด้วย ผู้จัดการ เจ้าของ พนักงาน และลูกค้าที่มาใช้บริการสถานบันเทิง จำนวน 90 คน และใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ
ผลการวิจัยพบว่า ความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคลากรและเจ้าหน้าที่ของรัฐในเขตพื้นที่ ความหลากหลายของแนวเพลง ความสามารถในการควบคุมต้นทุนในการดำเนินงาน การจูงใจพนักงาน การสร้างกลุ่มลูกค้าประจำแบบเป็นสมาชิก การตกแต่งสถานที่ให้มีรูปแบบของตนเอง บริการอาหารที่หลากหลายประเภท เป็นปัจจัยองค์ประกอบสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จในการบริหารจัดการของธุรกิจบริการประเภทสถานบันเทิง ดังนั้นสรุปได้ว่าปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นเป็นปัจจัยที่สร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน ส่วนสาเหตุของความล้มเหลว ผลจากการวิจัยพบว่ามาจากสาเหตุหลักคือเวลาปิดเปิดของสถานบริการไม่เหมาะสม เวลาบริการสั้นเกินไปเพราะลูกค้าจะใช้บริการหลายร้านในคืนเดียวCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27932 SIU THE-T. การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของภาคธุรกิจบริการ: กรณีศึกษา สถานบันเทิงในเขตกรุงเทพมหานคร = Creating Competitive Advantage of Service Business: A Case Study of Entertainment Complex in Bangkok Metropolis [printed text] / สมหมาย โง้วสกุล, Author ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - vii, 181 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2019-03
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การแข่งขันทางการค้า
[LCSH]ธุรกิจบริการ
[LCSH]ธุรกิจบันเทิง -- ไทย -- กรุงเทพฯKeywords: การแข่งขัน, ความได้เปรียบ, ความสัมพันธ์, เจ้าหน้าที่, ธุรกิจบริการ, สถานบันเทิง Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวทางในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันด้านบริการของสถานบันเทิง 2) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารธุรกิจสถานบันเทิง ให้ประสบผลสำเร็จดำรงอยู่ได้และมีผลกำไร และ 3) เพื่อศึกษาเหตุผลในการเข้ามาใช้บริการของลูกค้าในสถานบันเทิงเขตกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพในการใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกในการเก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (key informants) ประกอบด้วย ผู้จัดการ เจ้าของ พนักงาน และลูกค้าที่มาใช้บริการสถานบันเทิง จำนวน 90 คน และใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ
ผลการวิจัยพบว่า ความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคลากรและเจ้าหน้าที่ของรัฐในเขตพื้นที่ ความหลากหลายของแนวเพลง ความสามารถในการควบคุมต้นทุนในการดำเนินงาน การจูงใจพนักงาน การสร้างกลุ่มลูกค้าประจำแบบเป็นสมาชิก การตกแต่งสถานที่ให้มีรูปแบบของตนเอง บริการอาหารที่หลากหลายประเภท เป็นปัจจัยองค์ประกอบสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จในการบริหารจัดการของธุรกิจบริการประเภทสถานบันเทิง ดังนั้นสรุปได้ว่าปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นเป็นปัจจัยที่สร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน ส่วนสาเหตุของความล้มเหลว ผลจากการวิจัยพบว่ามาจากสาเหตุหลักคือเวลาปิดเปิดของสถานบริการไม่เหมาะสม เวลาบริการสั้นเกินไปเพราะลูกค้าจะใช้บริการหลายร้านในคืนเดียวCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27932 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607979 SIU THE-T: SOM-DBA-2019-03 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000607980 SIU THE-T: SOM-DBA-2019-03 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์ต่อผู้ใช้บริการทางด้านการเงินของธนาคารพาณิชย์ไทย กรณีศึกษาเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล / ไตรรัตน์ ธนะประกอบกรณ์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : ผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์ต่อผู้ใช้บริการทางด้านการเงินของธนาคารพาณิชย์ไทย กรณีศึกษาเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล Original title : The Influence of Artificial Intelligence on Customers of Thai Commercial Banks: A Case Study of Customers in Bangkok Metropolitan Area Material Type: printed text Authors: ไตรรัตน์ ธนะประกอบกรณ์, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: xxvii, 312 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2019-04
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ธนาคารพาณิชย์ -- ไทย -- กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
[LCSH]ปัญญาประดิษฐ์ -- ผลกระทบ
[LCSH]พฤติกรรมผู้บริโภคKeywords: ทัศนคติ, พฤติกรรมการใช้บริการ, คุณภาพบริการ, ผลิตภัณฑ์/บริการ,
ผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์Abstract: การวิจัยเชิงสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านทัศนคติ ปัจจัยพฤติกรรมการใช้บริการ ปัจจัยคุณภาพบริการ ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์/บริการ และผลกระทบของการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการให้บริการทางด้านการเงินกับผู้ใช้บริการ 2) เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของปัจจัยด้านทัศนคติ ปัจจัยพฤติกรรมการใช้บริการ ปัจจัยคุณภาพบริการ ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์/บริการที่มีต่อการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการให้บริการทางด้านการเงินกับผู้ใช้บริการ โดยใช้เทคนิคการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .93 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือผู้ใช้บริการธนาคารพาณิชย์ไทยเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 405 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ประกอบด้วย สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน คือ การวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นแบบพหุ (Multiple Linear Regression Analysis) เพื่อทดสอบสมมติฐาน
ผลการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ใช้บริการธนาคารพาณิชย์ไทยเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 31-40 ปี ระดับการศึกษาส่วนใหญ่ปริญญาโท อาชีพส่วนใหญ่เป็นเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว ระดับรายได้เฉลี่ยต่อเดือนส่วนใหญ่ 30,001-40,000 บาท ธนาคารพาณิชย์ไทยที่ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และประเภทของบริการทางด้านการเงินที่ใช้บริการ ส่วนใหญ่โอนเงินระหว่างบัญชี นอกเหนือจากการใช้บริการที่เคาน์เตอร์ธนาคาร ช่องทางการให้บริการทางด้านการเงินอื่นที่ท่านใช้บริการ ส่วนใหญ่ผ่านช่องทางเครื่องเอทีเอ็ม รองลงมาโทรศัพท์เคลื่อนที่
ผลการทดสอบสมมติฐานการวิจัย พบว่า 1) ปัจจัยด้านทัศนคติ 2) ปัจจัยพฤติกรรมการใช้บริการ3) ปัจจัยคุณภาพบริการ และ 4) ปัจจัยผลิตภัณฑ์/บริการมีอิทธิพลต่อผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์ที่มีต่อผู้ใช้บริการทางด้านการเงินของธนาคารพาณิชย์ไทย กรณีศึกษาเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ดังนั้นสถาบันการเงินสามารถนำผลการศึกษาวิจัยครั้งนี้ไปประยุกต์ใช้ในการพิจารณาวางแผนแก้ไข และพัฒนาการออกแบบกลยุทธ์ทางการตลาดที่เป็นการขยายช่องทางการให้บริการทางการเงินที่สามารถตอบสนองความพึงพอใจให้กับลูกค้าผู้ใช้บริการได้อย่างทั่วถึงและสอดคล้องกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้อย่างยั่งยืนCurricular : BBA/GE/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27933 SIU THE-T. ผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์ต่อผู้ใช้บริการทางด้านการเงินของธนาคารพาณิชย์ไทย กรณีศึกษาเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล = The Influence of Artificial Intelligence on Customers of Thai Commercial Banks: A Case Study of Customers in Bangkok Metropolitan Area [printed text] / ไตรรัตน์ ธนะประกอบกรณ์, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - xxvii, 312 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2019-04
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ธนาคารพาณิชย์ -- ไทย -- กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
[LCSH]ปัญญาประดิษฐ์ -- ผลกระทบ
[LCSH]พฤติกรรมผู้บริโภคKeywords: ทัศนคติ, พฤติกรรมการใช้บริการ, คุณภาพบริการ, ผลิตภัณฑ์/บริการ,
ผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์Abstract: การวิจัยเชิงสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านทัศนคติ ปัจจัยพฤติกรรมการใช้บริการ ปัจจัยคุณภาพบริการ ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์/บริการ และผลกระทบของการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการให้บริการทางด้านการเงินกับผู้ใช้บริการ 2) เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของปัจจัยด้านทัศนคติ ปัจจัยพฤติกรรมการใช้บริการ ปัจจัยคุณภาพบริการ ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์/บริการที่มีต่อการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการให้บริการทางด้านการเงินกับผู้ใช้บริการ โดยใช้เทคนิคการวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .93 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือผู้ใช้บริการธนาคารพาณิชย์ไทยเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 405 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ประกอบด้วย สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน คือ การวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นแบบพหุ (Multiple Linear Regression Analysis) เพื่อทดสอบสมมติฐาน
ผลการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ใช้บริการธนาคารพาณิชย์ไทยเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 31-40 ปี ระดับการศึกษาส่วนใหญ่ปริญญาโท อาชีพส่วนใหญ่เป็นเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว ระดับรายได้เฉลี่ยต่อเดือนส่วนใหญ่ 30,001-40,000 บาท ธนาคารพาณิชย์ไทยที่ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และประเภทของบริการทางด้านการเงินที่ใช้บริการ ส่วนใหญ่โอนเงินระหว่างบัญชี นอกเหนือจากการใช้บริการที่เคาน์เตอร์ธนาคาร ช่องทางการให้บริการทางด้านการเงินอื่นที่ท่านใช้บริการ ส่วนใหญ่ผ่านช่องทางเครื่องเอทีเอ็ม รองลงมาโทรศัพท์เคลื่อนที่
ผลการทดสอบสมมติฐานการวิจัย พบว่า 1) ปัจจัยด้านทัศนคติ 2) ปัจจัยพฤติกรรมการใช้บริการ3) ปัจจัยคุณภาพบริการ และ 4) ปัจจัยผลิตภัณฑ์/บริการมีอิทธิพลต่อผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์ที่มีต่อผู้ใช้บริการทางด้านการเงินของธนาคารพาณิชย์ไทย กรณีศึกษาเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ดังนั้นสถาบันการเงินสามารถนำผลการศึกษาวิจัยครั้งนี้ไปประยุกต์ใช้ในการพิจารณาวางแผนแก้ไข และพัฒนาการออกแบบกลยุทธ์ทางการตลาดที่เป็นการขยายช่องทางการให้บริการทางการเงินที่สามารถตอบสนองความพึงพอใจให้กับลูกค้าผู้ใช้บริการได้อย่างทั่วถึงและสอดคล้องกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้อย่างยั่งยืนCurricular : BBA/GE/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27933 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607978 SIU THE-T: SOM-DBA-2019-04 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000607977 SIU THE-T: SOM-DBA-2019-04 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. มโนทัศน์การเพิ่มประโยชน์เชิงพาณิชย์ สนามบินภาครัฐ: ท่าอากาศยานเพชรบูรณ์ / ณัฐพัชร์ เรืองมณีญาต์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : มโนทัศน์การเพิ่มประโยชน์เชิงพาณิชย์ สนามบินภาครัฐ: ท่าอากาศยานเพชรบูรณ์ Original title : The Concept Formation of Increased Utilization of Government Airports Design Toward on Phetchabun Airport Material Type: printed text Authors: ณัฐพัชร์ เรืองมณีญาต์, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; เฟื่องฟ้า อัมพรสถิร, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: xv, 321 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2019-05
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]สนามบิน -- ไทย -- เพชรบูรณ์
[LCSH]อุตสาหกรรมการบินKeywords: การเพิ่มประโยชน์เชิงพาณิชย์ของสนามบินภาครัฐ, ความพร้อมรองรับอุตสาหกรรมการบิน, กิจการการบินทั่วไป, สนามบินเพชรบูรณ์ Abstract: การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลกระทบและศึกษามโนทัศน์ของการเพิ่มประโยชน์เชิงพาณิชย์ของสนามบินภาครัฐ : ท่าอากาศยานเพชรบูรณ์และนำผลการศึกษาที่ได้มานำเสนอมโนทัศน์ของการเพิ่มประโยชน์เชิงพาณิชย์ของสนามบินภาครัฐ ฯ โดยใช้การศึกษาด้วยวิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) ในระยะแรกของการศึกษาจะใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เพื่อให้ได้ผลไปกำหนดเป็นปัญหาและสมมุติฐานการวิจัย ในการทดสอบหาคำตอบด้วยวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) จากนั้นจึงนำคำตอบที่ได้ไปสรุปตีความเพื่อเสริมผลการวิจัยเชิงคุณภาพข้างต้น โดยสอบถามความเห็นกับกลุ่มบุคคลที่ปฏิบัติงานหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับสนามบินเพชรบูรณ์ ได้แก่ กลุ่มผู้กำหนดนโยบาย (Policy Maker), กลุ่มผู้กำกับดูแล (Regulator), กลุ่มผู้ประกอบการ (Operator) และกลุ่มภาคประชาชนในจังหวัดเพชรบูรณ์ที่อาศัยรอบสนามบินเพชรบูรณ์
ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสําเร็จของการเพิ่มประโยชน์เชิงพาณิชย์สนามบินภาครัฐ ประกอบด้วย 1) ปัจจัยความพร้อมรองรับอุตสาหกรรมการบิน 2) ปัจจัยการตลาดและบริการด้านบุคคล 3) ปัจจัยการบริหารจัดการสนามบินภูมิภาคจากส่วนกลางของหน่วยงานภาครัฐทั้งระบบ 4) ปัจจัยการบริหารจัดการสนามบินภูมิภาคจากการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน 5) ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกด้านการเมือง และ 6) ปัจจัยการตลาดและบริการด้านลักษณะทางกายภาพ ซึ่งหน่วยงานภาครัฐโดยเฉพาะกรมท่าอากาศยาน สามารถนําข้อค้นพบที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการเพิ่มประโยชน์เชิงพาณิชย์ของสนามบินภาครัฐอื่นๆ ในการกำกับดูแลให้มีความคุ้มค่าในการใช้งานเพิ่มมากขึ้นภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยระดับสากลตามความเหมาะสม ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้กิจการด้านการบินของประเทศมีความเจริญก้าวหน้าได้ต่อไปCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27937 SIU THE-T. มโนทัศน์การเพิ่มประโยชน์เชิงพาณิชย์ สนามบินภาครัฐ: ท่าอากาศยานเพชรบูรณ์ = The Concept Formation of Increased Utilization of Government Airports Design Toward on Phetchabun Airport [printed text] / ณัฐพัชร์ เรืองมณีญาต์, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; เฟื่องฟ้า อัมพรสถิร, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - xv, 321 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2019-05
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]สนามบิน -- ไทย -- เพชรบูรณ์
[LCSH]อุตสาหกรรมการบินKeywords: การเพิ่มประโยชน์เชิงพาณิชย์ของสนามบินภาครัฐ, ความพร้อมรองรับอุตสาหกรรมการบิน, กิจการการบินทั่วไป, สนามบินเพชรบูรณ์ Abstract: การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลกระทบและศึกษามโนทัศน์ของการเพิ่มประโยชน์เชิงพาณิชย์ของสนามบินภาครัฐ : ท่าอากาศยานเพชรบูรณ์และนำผลการศึกษาที่ได้มานำเสนอมโนทัศน์ของการเพิ่มประโยชน์เชิงพาณิชย์ของสนามบินภาครัฐ ฯ โดยใช้การศึกษาด้วยวิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Methods Research) ในระยะแรกของการศึกษาจะใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เพื่อให้ได้ผลไปกำหนดเป็นปัญหาและสมมุติฐานการวิจัย ในการทดสอบหาคำตอบด้วยวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) จากนั้นจึงนำคำตอบที่ได้ไปสรุปตีความเพื่อเสริมผลการวิจัยเชิงคุณภาพข้างต้น โดยสอบถามความเห็นกับกลุ่มบุคคลที่ปฏิบัติงานหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับสนามบินเพชรบูรณ์ ได้แก่ กลุ่มผู้กำหนดนโยบาย (Policy Maker), กลุ่มผู้กำกับดูแล (Regulator), กลุ่มผู้ประกอบการ (Operator) และกลุ่มภาคประชาชนในจังหวัดเพชรบูรณ์ที่อาศัยรอบสนามบินเพชรบูรณ์
ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสําเร็จของการเพิ่มประโยชน์เชิงพาณิชย์สนามบินภาครัฐ ประกอบด้วย 1) ปัจจัยความพร้อมรองรับอุตสาหกรรมการบิน 2) ปัจจัยการตลาดและบริการด้านบุคคล 3) ปัจจัยการบริหารจัดการสนามบินภูมิภาคจากส่วนกลางของหน่วยงานภาครัฐทั้งระบบ 4) ปัจจัยการบริหารจัดการสนามบินภูมิภาคจากการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน 5) ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายนอกด้านการเมือง และ 6) ปัจจัยการตลาดและบริการด้านลักษณะทางกายภาพ ซึ่งหน่วยงานภาครัฐโดยเฉพาะกรมท่าอากาศยาน สามารถนําข้อค้นพบที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการเพิ่มประโยชน์เชิงพาณิชย์ของสนามบินภาครัฐอื่นๆ ในการกำกับดูแลให้มีความคุ้มค่าในการใช้งานเพิ่มมากขึ้นภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยระดับสากลตามความเหมาะสม ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้กิจการด้านการบินของประเทศมีความเจริญก้าวหน้าได้ต่อไปCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27937 SIU THE-T. นวัตวิถีดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรปในภาคใต้ / ลักขณาวรรณ พันธุ์ชนะ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : นวัตวิถีดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรปในภาคใต้ Original title : Honeymoon Inno-life in Thailand of European Tourists in the Southern Part of Thailand Material Type: printed text Authors: ลักขณาวรรณ พันธุ์ชนะ, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: viii, 157 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2019-06
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การซื้อสินค้า -- การตัดสินใจ
[LCSH]นักท่องเที่ยว -- ยุโรป
[LCSH]น้ำผึ้งKeywords: ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์, รูปแบบดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์, นักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรป Abstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อของนักท่องเที่ยว เพื่อเสนอรูปแบบการท่องเที่ยวที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของนักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรป การศึกษาในครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักท่องเที่ยวชาวยุโรป จำนวน 400 คู่ และ ผู้บริหาร ผู้ประกอบการ และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนำเที่ยวรูปแบบดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ในประเทศไทย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบความแปรปรวนของตัวแปรทางเดียว และ การวิเคราะห์ถดถอยพหุสัมพันธ์
ผลการวิจัย พบว่า นักท่องเที่ยวพึงพอใจต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการอยู่ในระดับมากทั้ง 7 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์/บริการ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ บุคลากร กระบวนการบริการ ช่องทางการให้บิการ ราคา/ค่าใช้จ่ายอื่นๆ และการส่งเสริมการตลาด ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลเชิงคุณภาพที่ชี้ว่า ความสวยงามของธรรมชาติ อาหารไทยที่อร่อย การใส่ใจในการให้บริการ เป็นจุดแข็งของการท่องเที่ยวไทย ธุรกิจท่องเที่ยวควรส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเห็นคุณค่าของการท่องเที่ยวในรูปแบบนี้เพิ่มขึ้น และปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อ ได้แก่ การเลือกช่วงเวลา รูปแบบท่องเที่ยว และบริษัทนำเที่ยว โมเดลการท่องเที่ยวที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบนี้ควรให้ความสำคัญต่อปัจจัยต่างดังนี้ คือ ผลิตภัณฑ์/บริการ ราคา/ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ช่องทางการให้บริการ การส่งเสริมการตลาด และกิจกรรม ความสนใจCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27938 SIU THE-T. นวัตวิถีดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรปในภาคใต้ = Honeymoon Inno-life in Thailand of European Tourists in the Southern Part of Thailand [printed text] / ลักขณาวรรณ พันธุ์ชนะ, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - viii, 157 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2019-06
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การซื้อสินค้า -- การตัดสินใจ
[LCSH]นักท่องเที่ยว -- ยุโรป
[LCSH]น้ำผึ้งKeywords: ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์, รูปแบบดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์, นักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรป Abstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อของนักท่องเที่ยว เพื่อเสนอรูปแบบการท่องเที่ยวที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของนักท่องเที่ยวกลุ่มยุโรป การศึกษาในครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักท่องเที่ยวชาวยุโรป จำนวน 400 คู่ และ ผู้บริหาร ผู้ประกอบการ และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนำเที่ยวรูปแบบดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ในประเทศไทย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบความแปรปรวนของตัวแปรทางเดียว และ การวิเคราะห์ถดถอยพหุสัมพันธ์
ผลการวิจัย พบว่า นักท่องเที่ยวพึงพอใจต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการอยู่ในระดับมากทั้ง 7 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์/บริการ สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ บุคลากร กระบวนการบริการ ช่องทางการให้บิการ ราคา/ค่าใช้จ่ายอื่นๆ และการส่งเสริมการตลาด ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลเชิงคุณภาพที่ชี้ว่า ความสวยงามของธรรมชาติ อาหารไทยที่อร่อย การใส่ใจในการให้บริการ เป็นจุดแข็งของการท่องเที่ยวไทย ธุรกิจท่องเที่ยวควรส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวเห็นคุณค่าของการท่องเที่ยวในรูปแบบนี้เพิ่มขึ้น และปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อ ได้แก่ การเลือกช่วงเวลา รูปแบบท่องเที่ยว และบริษัทนำเที่ยว โมเดลการท่องเที่ยวที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบนี้ควรให้ความสำคัญต่อปัจจัยต่างดังนี้ คือ ผลิตภัณฑ์/บริการ ราคา/ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ช่องทางการให้บริการ การส่งเสริมการตลาด และกิจกรรม ความสนใจCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27938 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607317 SIU THE-T: SOM-DBA-2019-06 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000607318 SIU THE-T: SOM-DBA-2019-06 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ศรัทธาในหลักธรรมคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาของพุทธศาสนิกชนยุคโลกาภิวัตน์ / พระสุพิทักข์ โตเพ็ง / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : ศรัทธาในหลักธรรมคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาของพุทธศาสนิกชนยุคโลกาภิวัตน์ Original title : Faith of Dhamma in Buddhism of the Buddhists in the era of globalization Material Type: printed text Authors: พระสุพิทักข์ โตเพ็ง, Author ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: ix, 265 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-01
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]พุทธศาสนา -- คำสอน
[LCSH]พุทธศาสนิกชน
[LCSH]โลกาภิวัตน์Keywords: ศรัทธา,
ความเชื่อ,
หลักธรรม/คำสอน,
พุทธศาสนา,
พุทธศาสนิกชน,
ยุคโลกาภิวัตน์Abstract: การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาศรัทธาความเชื่อในหลักธรรมคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาของพุทธศาสนิกชนยุคโลกาภิวัตน์ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อศรัทธาความเชื่อในหลักธรรมคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาของพุทธศาสนิกชนยุคโลกาภิวัตน์ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาหรือยกระดับศรัทธาความเชื่อในหลักธรรมคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาของพุทธศาสนิกชนยุคโลกาภิวัตน์ให้ยั่งยืนสืบทอดต่อไป ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสม ใช้สถิติบรรยาย (Description Statistics) คือ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการวิเคราะห์การถดถอยแบบเชิงพหุคูณ (Multiple - Regression Analysis)
ผลการวิจัย พบว่า
1. พุทธศาสนานิกชนยังคงมีศรัทธาในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่อง มีความเข้าใจในเรื่องศรัทธาและปัญญา, อริยสัจ4, การมุ่งเน้นเรื่องการพ้นทุกข์และให้รู้จักทุกข์และวิธีดับทุกข์ ให้พ้นจากความไม่รุ้จริงในธรรมชาติอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
2. ศรัทธาความเชื่อในหลักธรรมคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาในยุคโลกาภิวัตน์ พบว่า ปัจจัยด้านหลักธรรมคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนา ปัจจัยด้านภาวะผู้นำ ปัจจัยด้านการมีส่วนร่วมและปัจจัยด้านการสื่อสารมวลชน มีผลกระทบต่อศรัทธาความเชื่อในหลักธรรมคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาในยุคโลกาภิวัตน์ โดยองค์ประกอบทุกองค์ประกอบมีความสัมพันธ์กันทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สามารถอธิบายความผันแปรของศรัทธาในหลักธรรมคำสั่งสอนในทางพรพุทธศาสนาได้ ร้อยละ 62.20
3. องค์ความรู้ทางรัฐประศาสนศาสตร์ด้านแนวทางการพัฒนาศรัทธา หรือยกระดับศรัทธาในหลักธรรมคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาของพุทธศาสนิกชนยุคโลกาภิวัตน์ให้ยั่งยืน ที่จะต้องมีและนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมท่ามกลางสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางสังคม มีองค์ประกอบสำคัญที่เป็นแนวทางในการพัฒนา ดังต่อไปนี้
3.1 การสืบทอดพระพุทธศาสนาเป็นพันธกิจของพระสงฆ์ ซึ่งประกอบด้วยพระสงฆ์ที่ทำหน้าที่เจ้าอาวาส และพระสงฆ์ในวัด พระสงฆ์ที่ทำหน้าที่เจ้าอาวาส มีความจำเป็นในการพัฒนาตนเองในเรื่องภาวะผู้นำ บริหารกิจการวัดโดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วม เปิดโอกาสให้พระในวัด พุทธศาสนิกชนรอบวัดและ/หรือบุคคลอื่น ๆ ที่มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมในการบริหารกิจการของวัด
3.2 วัด เป็นศาสนสถานที่พุทธบริษัทประกอบกิจกรรมทางศาสนา ต้องมีการปรับบทบาทรับใช้สังคมมากขึ้น ด้วยการดำเนินกิจกรรมด้านสาธารณะ ปรับความสัมพันธ์ระหว่างคณะสงฆ์และประชาชนให้กระชับแน่นยิ่งขึ้น ใช้ความเป็นกัลยาณมิตร วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ เปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนทุกคนเข้าร่วมอย่างเท่าเทียม รวมทั้ง “เปิดวัด” ให้ชุมชนเข้าร่วมรับผิดชอบการดำเนินการกิจการของสงฆ์มากขึ้น
3.3 องค์กรสงฆ์ เป็นองค์กรบริหาร ปกครองสงฆ์ ต้องกำหนดนโยบายในการรื้อฟื้นให้พุทธศาสนิกชนหันมาสนใจและเข้าใจว่าพระพุทธศาสนา พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชน มีหน้าที่เดียวกันในการสร้างศรัทธาในหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน
Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27939 SIU THE-T. ศรัทธาในหลักธรรมคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาของพุทธศาสนิกชนยุคโลกาภิวัตน์ = Faith of Dhamma in Buddhism of the Buddhists in the era of globalization [printed text] / พระสุพิทักข์ โตเพ็ง, Author ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - ix, 265 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-01
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]พุทธศาสนา -- คำสอน
[LCSH]พุทธศาสนิกชน
[LCSH]โลกาภิวัตน์Keywords: ศรัทธา,
ความเชื่อ,
หลักธรรม/คำสอน,
พุทธศาสนา,
พุทธศาสนิกชน,
ยุคโลกาภิวัตน์Abstract: การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาศรัทธาความเชื่อในหลักธรรมคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาของพุทธศาสนิกชนยุคโลกาภิวัตน์ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อศรัทธาความเชื่อในหลักธรรมคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาของพุทธศาสนิกชนยุคโลกาภิวัตน์ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาหรือยกระดับศรัทธาความเชื่อในหลักธรรมคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาของพุทธศาสนิกชนยุคโลกาภิวัตน์ให้ยั่งยืนสืบทอดต่อไป ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสม ใช้สถิติบรรยาย (Description Statistics) คือ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการวิเคราะห์การถดถอยแบบเชิงพหุคูณ (Multiple - Regression Analysis)
ผลการวิจัย พบว่า
1. พุทธศาสนานิกชนยังคงมีศรัทธาในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่อง มีความเข้าใจในเรื่องศรัทธาและปัญญา, อริยสัจ4, การมุ่งเน้นเรื่องการพ้นทุกข์และให้รู้จักทุกข์และวิธีดับทุกข์ ให้พ้นจากความไม่รุ้จริงในธรรมชาติอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
2. ศรัทธาความเชื่อในหลักธรรมคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาในยุคโลกาภิวัตน์ พบว่า ปัจจัยด้านหลักธรรมคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนา ปัจจัยด้านภาวะผู้นำ ปัจจัยด้านการมีส่วนร่วมและปัจจัยด้านการสื่อสารมวลชน มีผลกระทบต่อศรัทธาความเชื่อในหลักธรรมคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาในยุคโลกาภิวัตน์ โดยองค์ประกอบทุกองค์ประกอบมีความสัมพันธ์กันทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สามารถอธิบายความผันแปรของศรัทธาในหลักธรรมคำสั่งสอนในทางพรพุทธศาสนาได้ ร้อยละ 62.20
3. องค์ความรู้ทางรัฐประศาสนศาสตร์ด้านแนวทางการพัฒนาศรัทธา หรือยกระดับศรัทธาในหลักธรรมคำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาของพุทธศาสนิกชนยุคโลกาภิวัตน์ให้ยั่งยืน ที่จะต้องมีและนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมท่ามกลางสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางสังคม มีองค์ประกอบสำคัญที่เป็นแนวทางในการพัฒนา ดังต่อไปนี้
3.1 การสืบทอดพระพุทธศาสนาเป็นพันธกิจของพระสงฆ์ ซึ่งประกอบด้วยพระสงฆ์ที่ทำหน้าที่เจ้าอาวาส และพระสงฆ์ในวัด พระสงฆ์ที่ทำหน้าที่เจ้าอาวาส มีความจำเป็นในการพัฒนาตนเองในเรื่องภาวะผู้นำ บริหารกิจการวัดโดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วม เปิดโอกาสให้พระในวัด พุทธศาสนิกชนรอบวัดและ/หรือบุคคลอื่น ๆ ที่มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมในการบริหารกิจการของวัด
3.2 วัด เป็นศาสนสถานที่พุทธบริษัทประกอบกิจกรรมทางศาสนา ต้องมีการปรับบทบาทรับใช้สังคมมากขึ้น ด้วยการดำเนินกิจกรรมด้านสาธารณะ ปรับความสัมพันธ์ระหว่างคณะสงฆ์และประชาชนให้กระชับแน่นยิ่งขึ้น ใช้ความเป็นกัลยาณมิตร วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ เปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนทุกคนเข้าร่วมอย่างเท่าเทียม รวมทั้ง “เปิดวัด” ให้ชุมชนเข้าร่วมรับผิดชอบการดำเนินการกิจการของสงฆ์มากขึ้น
3.3 องค์กรสงฆ์ เป็นองค์กรบริหาร ปกครองสงฆ์ ต้องกำหนดนโยบายในการรื้อฟื้นให้พุทธศาสนิกชนหันมาสนใจและเข้าใจว่าพระพุทธศาสนา พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชน มีหน้าที่เดียวกันในการสร้างศรัทธาในหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ต่อไปอย่างยั่งยืน
Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27939 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607990 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-01 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available 32002000607987 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-01 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ปัจจัยอธิบายความสำเร็จของการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) / เฟื่องวิทย์ ชูตินันท์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : ปัจจัยอธิบายความสำเร็จของการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) Original title : Factors Explaining the Success of the Village Public Health Volunteer Work (VHV.) Material Type: printed text Authors: เฟื่องวิทย์ ชูตินันท์, Author ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: viii, 237 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-02
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ความสำเร็จ
[LCSH]อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน -- การปฏิบัติงานKeywords: ความสำเร็จ,
การปฏิบัติงาน,
อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความสำเร็จของการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน สังกัดสำนักงานเขตสุขภาพที่ 4 2) ปัจจัยอธิบายความสำเร็จของการปฏิบัติงานและ 3) นำเสนอข้อเสนอเชิงนโยบายการบริหารงานการบริการสาธารณสุขมูลฐาน เป็นการวิจัยแบบผสม กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณได้แก่ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จำนวน 398 คน และเชิงคุณภาพเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ดีเด่น ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล สาธารณสุขอำเภอ สาธารณสุขจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนตำบล จำนวน 40 คน วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปรและทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า ความสำเร็จของการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อยู่ในระดับดี ปัจจัยที่สามารถอธิบายการปฏิบัติงาน ได้แก่ ปัจจัยด้านแรงจูงใจ ภาวะผู้นำ การจัดองค์กรแห่งการเรียนรู้ การสื่อสารและการประสานงาน การนิเทศและประเมินผล การจัดสรรงบประมาณ ด้านกฎหมาย และด้านกลไกทางการเมือง สามารถอธิบายความสำเร็จของการปฏิบัติงานของ อสม. ได้ในระดับมาก โดยปัจจัยด้านกฎหมาย และปัจจัยด้านกลไกทางการเมือง เป็นตัวพยากรณ์ที่ดีที่สุด สามารถพยากรณ์ความสำเร็จของการปฏิบัติงานของ อสม. สังกัดสำนักงานเขตสุขภาพที่ 4 ได้ร้อยละ 55.70 โดยมีข้อเสนอเชิงนโยบาย คือ 1) รัฐควรกำหนดเป็นนโยบายสำคัญสนับสนุน อสม. ในการพัฒนาสุขภาพพลเมือง สร้างและพัฒนาเครือข่ายเชื่อมโยงกับประชาชนในการเสริมสร้างสุขภาวะอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม รวมทั้งสร้างสรรค์นวัตกรรมบริการสาธารณสุขเพื่อพัฒนาให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศยุค 4.0 2) ในการกำหนดนโยบายรัฐควรคำนึงถึงการบูรณาการองค์ความรู้จากทฤษฎี และประสบการณ์จากอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27940 SIU THE-T. ปัจจัยอธิบายความสำเร็จของการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) = Factors Explaining the Success of the Village Public Health Volunteer Work (VHV.) [printed text] / เฟื่องวิทย์ ชูตินันท์, Author ; ไชยวัฒน์ ค้ำชู, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - viii, 237 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-02
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ความสำเร็จ
[LCSH]อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน -- การปฏิบัติงานKeywords: ความสำเร็จ,
การปฏิบัติงาน,
อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความสำเร็จของการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน สังกัดสำนักงานเขตสุขภาพที่ 4 2) ปัจจัยอธิบายความสำเร็จของการปฏิบัติงานและ 3) นำเสนอข้อเสนอเชิงนโยบายการบริหารงานการบริการสาธารณสุขมูลฐาน เป็นการวิจัยแบบผสม กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณได้แก่ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จำนวน 398 คน และเชิงคุณภาพเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ดีเด่น ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล สาธารณสุขอำเภอ สาธารณสุขจังหวัด นายกองค์การบริหารส่วนตำบล จำนวน 40 คน วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปรและทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า ความสำเร็จของการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อยู่ในระดับดี ปัจจัยที่สามารถอธิบายการปฏิบัติงาน ได้แก่ ปัจจัยด้านแรงจูงใจ ภาวะผู้นำ การจัดองค์กรแห่งการเรียนรู้ การสื่อสารและการประสานงาน การนิเทศและประเมินผล การจัดสรรงบประมาณ ด้านกฎหมาย และด้านกลไกทางการเมือง สามารถอธิบายความสำเร็จของการปฏิบัติงานของ อสม. ได้ในระดับมาก โดยปัจจัยด้านกฎหมาย และปัจจัยด้านกลไกทางการเมือง เป็นตัวพยากรณ์ที่ดีที่สุด สามารถพยากรณ์ความสำเร็จของการปฏิบัติงานของ อสม. สังกัดสำนักงานเขตสุขภาพที่ 4 ได้ร้อยละ 55.70 โดยมีข้อเสนอเชิงนโยบาย คือ 1) รัฐควรกำหนดเป็นนโยบายสำคัญสนับสนุน อสม. ในการพัฒนาสุขภาพพลเมือง สร้างและพัฒนาเครือข่ายเชื่อมโยงกับประชาชนในการเสริมสร้างสุขภาวะอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม รวมทั้งสร้างสรรค์นวัตกรรมบริการสาธารณสุขเพื่อพัฒนาให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศยุค 4.0 2) ในการกำหนดนโยบายรัฐควรคำนึงถึงการบูรณาการองค์ความรู้จากทฤษฎี และประสบการณ์จากอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27940 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607992 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-02 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available 32002000607989 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-02 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การบริหารงานตำรวจในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 / วิศิษฎ์ แดนโพธิ์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : การบริหารงานตำรวจในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 Original title : Police Administration in Prevention and Suppression of Human Trafficking of Provincial Police Region 5 Material Type: printed text Authors: วิศิษฎ์ แดนโพธิ์, Author ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: ix, 137 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-03
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การค้ามนุษย์ -- การป้องกันและควบคุม -- วิจัย
[LCSH]การบริหารงานตำรวจKeywords: การบริหารงานตำรวจ,
การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษ (1) สมรรถนะองค์การในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 (2) พฤติกรรมการบริหารจัดการองค์การในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 (3) การบริหารงานตำรวจในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 (4) ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะองค์การและพฤติกรรมการบริหารจัดการองค์การกับการบริหารงานตำรวจในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 (5) สมรรถนะองค์การและพฤติกรรมการบริหารจัดการองค์การที่มีผลต่อการบริหารงานตำรวจในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และ (6) ปัญหาและอุปสรรคในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5
การศึกษาครั้งนี้ ใช้วิธีการวิจัยแบบผสานวิธี ประชากร ประกอบด้วย (1) ประชาการที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 จำนวน 16,234 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 445 คน และ (2) ผู้ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์เชิงลึก ได้แก่ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 รวม 16 คน เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า (1) สมรรถนะองค์การในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกอง บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 อยู่ในระดับปานกลาง ( = 3.39, SD = 0.49) (2) พฤติกรรมการบริหารจัดการองค์การในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 อยู่ในระดับมาก ( = 3.79, SD = 0.50) (3) การบริหารงานตำรวจในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 อยู่ในระดับปานกลาง ( = 3.19, SD = 0.48) (4) สมรรถนะองค์การและพฤติกรรมการบริหารจัดการองค์การมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการบริหารงานตำรวจในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01 (5) สมรรถนะองค์การและพฤติกรรมการบริหารจัดการองค์การ มีผลต่อการบริหารงานตำรวจในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในเชิงบวกที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01 โดยสามารถร่วมกันพยากรณ์การบริหารงานตำรวจในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ได้ร้อยละ 53.6 และ (6) ปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ได้แก่ 1) การขาดแคลนงบประมาณและกำลังพลที่ไม่เพียงพอ 2) เจ้าหน้าที่ตำรวจขาดความรู้ ความเข้าใจในข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์
3) ขาดหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงและขาดการประสานงานหรือความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ และ 4) ปัญหาในการสื่อสารโดยใช้ภาษาสากลเนื่องจากการค้ามนุษย์มักจะเป็นการกระทำความผิดเกี่ยวเนื่องระหว่างประเทศCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27941 SIU THE-T. การบริหารงานตำรวจในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 = Police Administration in Prevention and Suppression of Human Trafficking of Provincial Police Region 5 [printed text] / วิศิษฎ์ แดนโพธิ์, Author ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - ix, 137 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-03
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การค้ามนุษย์ -- การป้องกันและควบคุม -- วิจัย
[LCSH]การบริหารงานตำรวจKeywords: การบริหารงานตำรวจ,
การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษ (1) สมรรถนะองค์การในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 (2) พฤติกรรมการบริหารจัดการองค์การในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 (3) การบริหารงานตำรวจในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 (4) ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะองค์การและพฤติกรรมการบริหารจัดการองค์การกับการบริหารงานตำรวจในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 (5) สมรรถนะองค์การและพฤติกรรมการบริหารจัดการองค์การที่มีผลต่อการบริหารงานตำรวจในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และ (6) ปัญหาและอุปสรรคในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5
การศึกษาครั้งนี้ ใช้วิธีการวิจัยแบบผสานวิธี ประชากร ประกอบด้วย (1) ประชาการที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 จำนวน 16,234 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 445 คน และ (2) ผู้ให้ข้อมูลในการสัมภาษณ์เชิงลึก ได้แก่ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 รวม 16 คน เครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า (1) สมรรถนะองค์การในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกอง บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 อยู่ในระดับปานกลาง ( = 3.39, SD = 0.49) (2) พฤติกรรมการบริหารจัดการองค์การในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 อยู่ในระดับมาก ( = 3.79, SD = 0.50) (3) การบริหารงานตำรวจในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 อยู่ในระดับปานกลาง ( = 3.19, SD = 0.48) (4) สมรรถนะองค์การและพฤติกรรมการบริหารจัดการองค์การมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการบริหารงานตำรวจในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01 (5) สมรรถนะองค์การและพฤติกรรมการบริหารจัดการองค์การ มีผลต่อการบริหารงานตำรวจในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในเชิงบวกที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01 โดยสามารถร่วมกันพยากรณ์การบริหารงานตำรวจในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ได้ร้อยละ 53.6 และ (6) ปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ได้แก่ 1) การขาดแคลนงบประมาณและกำลังพลที่ไม่เพียงพอ 2) เจ้าหน้าที่ตำรวจขาดความรู้ ความเข้าใจในข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์
3) ขาดหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงและขาดการประสานงานหรือความร่วมมือจากภาคส่วนต่าง ๆ และ 4) ปัญหาในการสื่อสารโดยใช้ภาษาสากลเนื่องจากการค้ามนุษย์มักจะเป็นการกระทำความผิดเกี่ยวเนื่องระหว่างประเทศCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27941 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607994 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-03 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ความพึงพอใจในการบริหารจัดการการให้บริการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดระยอง / สุรชัย ปิตุเตชะ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : ความพึงพอใจในการบริหารจัดการการให้บริการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดระยอง Original title : People’s Satisfaction with Public Service Administration of Local Governments in Rayong Province Material Type: printed text Authors: สุรชัย ปิตุเตชะ, Author ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: viii, 161 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-04
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การบริการ -- ความพึงพอใจ
[LCSH]การบริหารจัดการ
[LCSH]องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น -- การบริหารKeywords: องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น,
การบริหารจัดการการให้บริการ,
ความพึงพอใจในการให้บริการAbstract: การวิจัยนี้มีความมุ่งหมาย ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารจัดการการให้บริการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2) เพื่อศึกษาปัญหาและสาเหตุของปัญหาการบริหารจัดการการให้บริการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางและวิธีการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการการให้บริการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของประชาชนในการบริหารจัดการการให้บริการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
การศึกษาวิจัยครั้งนี้ ใช้วิธีการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) กลุ่มตัวอย่างใช้วิธีการคัดเลือกเทศบาลในจังหวัดระยอง 3 แห่ง แบบกำหนดพื้นที่ศึกษาเป็นตัวแทนในการศึกษา (purposive sampling) เพื่อสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (key informants) รวม 39 คน การเก็บรวบรวมข้อมูลกระทำโดยใช้แบบสอบถามเชิงลึกกึ่งโครงสร้าง (semi-structured in-depth interview) ในการศึกษาข้อมูลที่เป็นปัจจัยเชิงลึก เพื่อสอบถามความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นผู้รู้หรือผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (key informants) โดยการนัดหมายเข้าสัมภาษณ์เพื่อเก็บข้อมูล รวมทั้งจัดสัมมนากลุ่มย่อย (focus group) นำข้อมูลมาวิเคราะห์ ตีความและสรุป
ผลการวิจัย พบว่า การจัดเก็บภาษียังไม่สามารถจัดเก็บได้ครอบคลุมทั่วถึงเนื่องจากฐานข้อมูลผู้เสียภาษีไม่เป็นปัจจุบัน เพราะบุคลากรมีจำกัด ประชาชนไม่พึงพอใจในความเสมอภาค มีความรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม จึงไม่เต็มใจที่จะเสียภาษี เพราะการประเมินภาษีไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน เป็นเรื่องของดุลพินิจเฉพาะบุคคล ผู้บริหารท้องถิ่นที่ได้รับตำแหน่งจากการลงคะแนนของชาวบ้าน กังวลกับการเสียคะแนนนิยม
การออกใบอนุญาตก่อสร้างล่าช้า ผู้ใช้บริการไม่พึงพอใจในความเสมอภาค มีความรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติไม่เป็นไปในมาตรฐานเดียวกัน ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะขาดบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ ขาดอุปกรณ์เครื่องมือที่ทันสมัย
การให้บริการด้านงานทะเบียนราษฎร์และบัตรประจำตัวประชาชน ผู้ใช้บริการไม่พึงพอใจในความต่อเนื่องของการให้บริการ เพราะให้บริการได้จำกัด เนื่องจากต้องเชื่อมต่อฐานข้อมูลกับศูนย์ข้อมูลของกรมการปกครองซึ่งกระทำได้เฉพาะในเวลาราชการ
จากผลการวิจัยมีข้อเสนอแนะ เทศบาลควรจัดหาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถพร้อมเครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัย เหมาะสมและเพียงพอกับการให้บริการแต่ละภารกิจ และจะต้องให้บริการเป็นมาตรฐานเดียวกัน มีความเสมอภาค เป็นธรรมและโปร่งใส เพิ่มประสิทธิภาพและความเข้มแข็งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดทำบริการสาธารณะสนองตอบความต้องการของประชาชนCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27942 SIU THE-T. ความพึงพอใจในการบริหารจัดการการให้บริการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดระยอง = People’s Satisfaction with Public Service Administration of Local Governments in Rayong Province [printed text] / สุรชัย ปิตุเตชะ, Author ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - viii, 161 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-04
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การบริการ -- ความพึงพอใจ
[LCSH]การบริหารจัดการ
[LCSH]องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น -- การบริหารKeywords: องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น,
การบริหารจัดการการให้บริการ,
ความพึงพอใจในการให้บริการAbstract: การวิจัยนี้มีความมุ่งหมาย ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารจัดการการให้บริการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2) เพื่อศึกษาปัญหาและสาเหตุของปัญหาการบริหารจัดการการให้บริการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางและวิธีการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการการให้บริการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของประชาชนในการบริหารจัดการการให้บริการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
การศึกษาวิจัยครั้งนี้ ใช้วิธีการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) กลุ่มตัวอย่างใช้วิธีการคัดเลือกเทศบาลในจังหวัดระยอง 3 แห่ง แบบกำหนดพื้นที่ศึกษาเป็นตัวแทนในการศึกษา (purposive sampling) เพื่อสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (key informants) รวม 39 คน การเก็บรวบรวมข้อมูลกระทำโดยใช้แบบสอบถามเชิงลึกกึ่งโครงสร้าง (semi-structured in-depth interview) ในการศึกษาข้อมูลที่เป็นปัจจัยเชิงลึก เพื่อสอบถามความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นผู้รู้หรือผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (key informants) โดยการนัดหมายเข้าสัมภาษณ์เพื่อเก็บข้อมูล รวมทั้งจัดสัมมนากลุ่มย่อย (focus group) นำข้อมูลมาวิเคราะห์ ตีความและสรุป
ผลการวิจัย พบว่า การจัดเก็บภาษียังไม่สามารถจัดเก็บได้ครอบคลุมทั่วถึงเนื่องจากฐานข้อมูลผู้เสียภาษีไม่เป็นปัจจุบัน เพราะบุคลากรมีจำกัด ประชาชนไม่พึงพอใจในความเสมอภาค มีความรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม จึงไม่เต็มใจที่จะเสียภาษี เพราะการประเมินภาษีไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน เป็นเรื่องของดุลพินิจเฉพาะบุคคล ผู้บริหารท้องถิ่นที่ได้รับตำแหน่งจากการลงคะแนนของชาวบ้าน กังวลกับการเสียคะแนนนิยม
การออกใบอนุญาตก่อสร้างล่าช้า ผู้ใช้บริการไม่พึงพอใจในความเสมอภาค มีความรู้สึกว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติไม่เป็นไปในมาตรฐานเดียวกัน ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะขาดบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ ขาดอุปกรณ์เครื่องมือที่ทันสมัย
การให้บริการด้านงานทะเบียนราษฎร์และบัตรประจำตัวประชาชน ผู้ใช้บริการไม่พึงพอใจในความต่อเนื่องของการให้บริการ เพราะให้บริการได้จำกัด เนื่องจากต้องเชื่อมต่อฐานข้อมูลกับศูนย์ข้อมูลของกรมการปกครองซึ่งกระทำได้เฉพาะในเวลาราชการ
จากผลการวิจัยมีข้อเสนอแนะ เทศบาลควรจัดหาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถพร้อมเครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัย เหมาะสมและเพียงพอกับการให้บริการแต่ละภารกิจ และจะต้องให้บริการเป็นมาตรฐานเดียวกัน มีความเสมอภาค เป็นธรรมและโปร่งใส เพิ่มประสิทธิภาพและความเข้มแข็งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดทำบริการสาธารณะสนองตอบความต้องการของประชาชนCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27942 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607996 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-04 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available 32002000607993 SIU THE-T: IPAG-DPA-2019-04 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available