From this page you can:
Home |
Publisher details
Publisher
located at
Available items(s) from this publisher
Add the result to your basket Make a suggestion Refine your search Apply to external sourcesSIU IS-T. แรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี / ณรงค์ หาญสันเทียะ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2016
Collection Title: SIU IS-T Title : แรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี Original title : Motivation in work of police officers in Children and Women Protection Sub-Division Material Type: printed text Authors: ณรงค์ หาญสันเทียะ, Author ; สมชาย รัตนโกมุท, Associated Name ; ประยุทธ์ สวัสดิ์เรียวกุล, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2016 Pagination: vii, 57 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-09
IS [MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]กองกำก้บการสวัสดิภาพเด็กและสตรี -- ข้าราชการตำรวจ
[LCSH]การจูงใจในการทำงาน
[LCSH]ข้าราชการตำรวจKeywords: แรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่
ข้าราชการตำรวจ
กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรีAbstract: การศึกษาเรื่องแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรีและเพื่อนำผลการศึกษาเสนอผู้บังคับบัญชาเป็นแนวทางในการเสริมสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรีให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ประชากรที่ใช้ศึกษาครั้งนี้ คือ ข้าราชการตำรวจข้าราชการตำรวจ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี จำนวน 190 นาย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือแบบสอบถาม ผู้ศึกษาได้ทำการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางคอมพิวเตอร์โดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนมากมีอายุ 31-40 ปี มีระดับการศึกษาปริญญาตรี มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 15,001 – 20,000 บาท มีระดับชั้นยศสิบตำรวจเอก-สิบตำรวจตรี มีอายุราชการ 11 – 15 ปี ตามลำดับ แรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี โดยภาพรวมในระดับมาก เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีความพึงพอใจอันดับที่หนึ่ง คือ ด้านลักษณะของงาน อันดับที่สอง คือ ด้านการได้รับการยอมรับ อันดับที่สาม คือ ด้านความก้าวหน้าในงาน อันดับที่สี่ คือ ด้านสภาพแวดล้อมในการทำงาน และอันดับสุดท้าย คือ ด้านความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานตามลำดับ ตามลำดับ
Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26499 SIU IS-T. แรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี = Motivation in work of police officers in Children and Women Protection Sub-Division [printed text] / ณรงค์ หาญสันเทียะ, Author ; สมชาย รัตนโกมุท, Associated Name ; ประยุทธ์ สวัสดิ์เรียวกุล, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016 . - vii, 57 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-09
IS [MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]กองกำก้บการสวัสดิภาพเด็กและสตรี -- ข้าราชการตำรวจ
[LCSH]การจูงใจในการทำงาน
[LCSH]ข้าราชการตำรวจKeywords: แรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่
ข้าราชการตำรวจ
กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรีAbstract: การศึกษาเรื่องแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรีและเพื่อนำผลการศึกษาเสนอผู้บังคับบัญชาเป็นแนวทางในการเสริมสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรีให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ประชากรที่ใช้ศึกษาครั้งนี้ คือ ข้าราชการตำรวจข้าราชการตำรวจ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี จำนวน 190 นาย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือแบบสอบถาม ผู้ศึกษาได้ทำการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางคอมพิวเตอร์โดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนมากมีอายุ 31-40 ปี มีระดับการศึกษาปริญญาตรี มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 15,001 – 20,000 บาท มีระดับชั้นยศสิบตำรวจเอก-สิบตำรวจตรี มีอายุราชการ 11 – 15 ปี ตามลำดับ แรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี โดยภาพรวมในระดับมาก เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีความพึงพอใจอันดับที่หนึ่ง คือ ด้านลักษณะของงาน อันดับที่สอง คือ ด้านการได้รับการยอมรับ อันดับที่สาม คือ ด้านความก้าวหน้าในงาน อันดับที่สี่ คือ ด้านสภาพแวดล้อมในการทำงาน และอันดับสุดท้าย คือ ด้านความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานตามลำดับ ตามลำดับ
Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26499 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000591642 SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-09 c.1 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available 32002000591634 SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-09 c.2 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available SIU IS-T. ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปราม ยาเสพติดของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด สถานีตำรวจภูธรในพื้นที่จังหวัดราชบุรี / พงษ์รวี ค้าทวี / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2016
Collection Title: SIU IS-T Title : ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปราม ยาเสพติดของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด สถานีตำรวจภูธรในพื้นที่จังหวัดราชบุรี Original title : Factors Affecting to Performance in Eliminating Narcotics Consumption by the Police Narcotics Ad Hoc Provincial Police in Ratchaburi Province Material Type: printed text Authors: พงษ์รวี ค้าทวี, Author ; อุมาหฤทัย วรรณศรี, Associated Name ; วรเดช จันทรศร, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2016 Pagination: ix, 89 น. Layout: ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-19
[MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ตำรวจ -- การปฏิบัติงาน
[LCSH]ยาเสพติด -- ราชบุรี -- การป้องกันและควบคุมKeywords: ปัจจัย
ผลกระทบ
การปฏิบัติงาน
การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดAbstract: การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด 2) วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาการดำเนินงาน 3) ศึกษาหาวิธีการแก้ไขสาเหตุของปัจจัยในการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ชุดป้องกันและปราบปรามยาเสพติดของสถานีตำรวจภูธรในจังหวัดราชบุรี เพศชาย จำนวน 167 นาย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ดำเนินการเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ได้แก่ ค่าความถี่ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่ม 2 กลุ่มด้วย t-test การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวและเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยรายคู่ด้วยวิธี LSD
ผลการวิจัย พบว่า 1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินงานเรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการติดต่อสื่อสารและการประสานงาน ด้านการวางแผนจัดทรัพยากรที่ต้องการใช้ในการปฏิบัติงาน ด้านสมรรถนะของบุคลากร และด้านงบประมาณและวัสดุอุปกรณ์ในการปฏิบัติงาน ด้านการยอมรับในอำนาจหน้าที่ของผู้ปฏิบัติงาน และด้านเวลาและการจัดสรรทรัพยากร ตามลำดับ 2. สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาในการทำงานมากที่สุด พบว่า การติดต่อสื่อสารและการประสานงานและด้านการวางแผนจัดทรัพยากรที่ต้องการใช้ในการปฏิบัติงาน 3. ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ ระดับการศึกษา อายุงาน ชั้นยศ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน ระยะเวลาในการปฏิบัติงาน และการเข้ารับการอบรมที่แตกต่างกัน ส่งผลให้ระดับความคิดเห็นต่อปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินงานแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
ข้อเสนอแนะในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ 1. การติดต่อสื่อสารและการประสานงาน ผู้บังคับบัญชาควรอธิบายแผนงานที่สั่งการไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถึงวัตถุประสงค์ วิธีการ ผลลัพธ์ที่ต้องการ ตลอดจนรับฟังความคิดเห็น และให้โอกาสเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ซักถาม เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้
ทำงานด้วยความเข้าใจ มีการติดต่อ ประสานงาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการป้องกันปราบปรามยาเสพติด ในรูปแบบการทำงานแบบบูรณาการร่วมกัน 2. การฝึกอบรม ผู้บังคับบัญชาควรจัดการอบรมให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติงาน เพื่อให้ทราบวัตถุประสงค์กระบวนการการทำงาน เป็นแนวทางให้แก่ผู้ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. ด้านการใช้เทคโนโลยี ผู้บังคับบัญชาควรจัดการอบรมการใช้เทคโนโลยีในการปฏิบัติงานให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติงาน เพื่อช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว สามารถดูข้อมูลย้อนหลังได้ และมีความเป็นระบบมากยิ่งขึ้นCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26526 SIU IS-T. ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปราม ยาเสพติดของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด สถานีตำรวจภูธรในพื้นที่จังหวัดราชบุรี = Factors Affecting to Performance in Eliminating Narcotics Consumption by the Police Narcotics Ad Hoc Provincial Police in Ratchaburi Province [printed text] / พงษ์รวี ค้าทวี, Author ; อุมาหฤทัย วรรณศรี, Associated Name ; วรเดช จันทรศร, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016 . - ix, 89 น. : ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-19
[MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ตำรวจ -- การปฏิบัติงาน
[LCSH]ยาเสพติด -- ราชบุรี -- การป้องกันและควบคุมKeywords: ปัจจัย
ผลกระทบ
การปฏิบัติงาน
การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดAbstract: การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด 2) วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาการดำเนินงาน 3) ศึกษาหาวิธีการแก้ไขสาเหตุของปัจจัยในการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติด ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ชุดป้องกันและปราบปรามยาเสพติดของสถานีตำรวจภูธรในจังหวัดราชบุรี เพศชาย จำนวน 167 นาย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ดำเนินการเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ได้แก่ ค่าความถี่ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่ม 2 กลุ่มด้วย t-test การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวและเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยรายคู่ด้วยวิธี LSD
ผลการวิจัย พบว่า 1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินงานเรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการติดต่อสื่อสารและการประสานงาน ด้านการวางแผนจัดทรัพยากรที่ต้องการใช้ในการปฏิบัติงาน ด้านสมรรถนะของบุคลากร และด้านงบประมาณและวัสดุอุปกรณ์ในการปฏิบัติงาน ด้านการยอมรับในอำนาจหน้าที่ของผู้ปฏิบัติงาน และด้านเวลาและการจัดสรรทรัพยากร ตามลำดับ 2. สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาในการทำงานมากที่สุด พบว่า การติดต่อสื่อสารและการประสานงานและด้านการวางแผนจัดทรัพยากรที่ต้องการใช้ในการปฏิบัติงาน 3. ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ ระดับการศึกษา อายุงาน ชั้นยศ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน ระยะเวลาในการปฏิบัติงาน และการเข้ารับการอบรมที่แตกต่างกัน ส่งผลให้ระดับความคิดเห็นต่อปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินงานแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
ข้อเสนอแนะในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ 1. การติดต่อสื่อสารและการประสานงาน ผู้บังคับบัญชาควรอธิบายแผนงานที่สั่งการไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถึงวัตถุประสงค์ วิธีการ ผลลัพธ์ที่ต้องการ ตลอดจนรับฟังความคิดเห็น และให้โอกาสเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ซักถาม เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้
ทำงานด้วยความเข้าใจ มีการติดต่อ ประสานงาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการป้องกันปราบปรามยาเสพติด ในรูปแบบการทำงานแบบบูรณาการร่วมกัน 2. การฝึกอบรม ผู้บังคับบัญชาควรจัดการอบรมให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติงาน เพื่อให้ทราบวัตถุประสงค์กระบวนการการทำงาน เป็นแนวทางให้แก่ผู้ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. ด้านการใช้เทคโนโลยี ผู้บังคับบัญชาควรจัดการอบรมการใช้เทคโนโลยีในการปฏิบัติงานให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติงาน เพื่อช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว สามารถดูข้อมูลย้อนหลังได้ และมีความเป็นระบบมากยิ่งขึ้นCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26526 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000591691 SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-19 c.2 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available 32002000591709 SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-19 c.1 SIU Independent Study Main Library Thesis Corner Available SIU IS-T. ปัจจัยที่มีผลต่อความผูกพันองค์การของข้าราชการตำรวจในสังกัด กองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ / มุขดา ปะนิทานะโต / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2016
Collection Title: SIU IS-T Title : ปัจจัยที่มีผลต่อความผูกพันองค์การของข้าราชการตำรวจในสังกัด กองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ Original title : Factors Affecting the Organizational Commitment of Police under Division 2 Economic Crime Suppression Division Material Type: printed text Authors: มุขดา ปะนิทานะโต, Author ; อุมาหฤทัย วรรณศรี, Associated Name ; วรเดช จันทรศร, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2016 Pagination: viii, 86 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-18
[MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ -- ข้าราชการตำรวจ
[LCSH]ความผูกพันต่อองค์การKeywords: ความผูกพัน Abstract: การศึกษางานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลที่มีผลต่อความผูกพันองค์การ 2) ศึกษาระดับความผูกพันต่อองค์การจำแนกตามปัจจัยลักษณะงาน ประกอบด้วย สภาพแวดล้อมภายในและสภาพแวดล้อมภายนอก การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ รวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากข้าราชการตำรวจในสังกัดกองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ จำนวน 65 คน ใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ได้แก่ ค่าความถี่ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่ม 2 กลุ่ม ด้วย t-test การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยรายคู่ด้วยวิธี LSD
ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยลักษณะงานโดยรวมส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์การในระดับมาก ด้านสภาพแวดล้อมภายในส่งผลในระดับมาก เรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านเพื่อนร่วมงาน ด้านผู้บังคับบัญชา และด้านสวัสดิการ ตามลำดับ ด้านสภาพแวดล้อมภายนอกส่งผลในระดับมาก เรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านแรงจูงใจภายนอก ด้านสภาพแวดล้อมในการทำงาน และด้านสถานที่ปฏิบัติงานตามลำดับ
2) อายุที่แตกต่างกัน ส่งผลให้ระดับความผูกพันต่อองค์การโดยรวมปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมภายนอกและด้านสภาพแวดล้อมในการทำงานแตกต่างกัน 3) ระดับการศึกษาที่แตกต่างกัน ส่งผลให้ระดับความผูกพันต่อองค์การด้านสภาพแวดล้อมภายใน ด้านผู้บังคับบัญชาและด้านสภาพแวดล้อมในการทำงานแตกต่างกัน และ 4) ชั้นยศที่แตกต่างกัน ส่งผลให้ระดับความผูกพันต่อองค์การด้านสภาพแวดล้อมภายในและด้านผู้บังคับบัญชาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26528 SIU IS-T. ปัจจัยที่มีผลต่อความผูกพันองค์การของข้าราชการตำรวจในสังกัด กองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ = Factors Affecting the Organizational Commitment of Police under Division 2 Economic Crime Suppression Division [printed text] / มุขดา ปะนิทานะโต, Author ; อุมาหฤทัย วรรณศรี, Associated Name ; วรเดช จันทรศร, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016 . - viii, 86 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-18
[MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]กองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ -- ข้าราชการตำรวจ
[LCSH]ความผูกพันต่อองค์การKeywords: ความผูกพัน Abstract: การศึกษางานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลที่มีผลต่อความผูกพันองค์การ 2) ศึกษาระดับความผูกพันต่อองค์การจำแนกตามปัจจัยลักษณะงาน ประกอบด้วย สภาพแวดล้อมภายในและสภาพแวดล้อมภายนอก การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ รวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากข้าราชการตำรวจในสังกัดกองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ จำนวน 65 คน ใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ได้แก่ ค่าความถี่ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่ม 2 กลุ่ม ด้วย t-test การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยรายคู่ด้วยวิธี LSD
ผลการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยลักษณะงานโดยรวมส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์การในระดับมาก ด้านสภาพแวดล้อมภายในส่งผลในระดับมาก เรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านเพื่อนร่วมงาน ด้านผู้บังคับบัญชา และด้านสวัสดิการ ตามลำดับ ด้านสภาพแวดล้อมภายนอกส่งผลในระดับมาก เรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านแรงจูงใจภายนอก ด้านสภาพแวดล้อมในการทำงาน และด้านสถานที่ปฏิบัติงานตามลำดับ
2) อายุที่แตกต่างกัน ส่งผลให้ระดับความผูกพันต่อองค์การโดยรวมปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมภายนอกและด้านสภาพแวดล้อมในการทำงานแตกต่างกัน 3) ระดับการศึกษาที่แตกต่างกัน ส่งผลให้ระดับความผูกพันต่อองค์การด้านสภาพแวดล้อมภายใน ด้านผู้บังคับบัญชาและด้านสภาพแวดล้อมในการทำงานแตกต่างกัน และ 4) ชั้นยศที่แตกต่างกัน ส่งผลให้ระดับความผูกพันต่อองค์การด้านสภาพแวดล้อมภายในและด้านผู้บังคับบัญชาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26528 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000591717 SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-18 c.2 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available 32002000591725 SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-18 c.1 SIU Independent Study Main Library Thesis Corner Available SIU IS-T. การพัฒนาการบริการสู่ความเป็นเลิศของสโมสรตำรวจ / บุญล้น จันทะขิน / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2016
Collection Title: SIU IS-T Title : การพัฒนาการบริการสู่ความเป็นเลิศของสโมสรตำรวจ Original title : Development Services to Excellence of the Royal Thai Police Sports Club Material Type: printed text Authors: บุญล้น จันทะขิน, Author ; อุมาหฤทัย วรรณศรี, Associated Name ; วรเดช จันทรศร, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2016 Pagination: viii, 68 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-17
[MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การบริการ -- การพัฒนา
[LCSH]การศึกษา -- การบริการAbstract: งานวิจัยเรื่อง “การพัฒนาการบริการสู่ความเป็นเลิศของสโมสรตำรวจ” มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย ได้แก่ (1) เพื่อศึกษากระบวนการการบริการสู่ความเป็นเลิศของสโมสรตำรวจ (2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีต่อการพัฒนาการบริการสู่ความเป็นเลิศของสโมสรตำรวจ และ (3) เพื่อนำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาและอุปสรรคการพัฒนาการบริการสู่ความเป็นเลิศของสโมสรตำรวจ โดยเป็นการศึกษาข้อมูลเชิงคุณภาพ (qualitative search) มีวิธีการวิจัย คือ การวิจัยจากเอกสาร (documentary research) และการวิจัยสนาม (field research)
สรุปผลการวิจัยตามประเด็นคำถามต่าง ๆ ได้ดังนี้ (1) ผลการศึกษาพบว่า การบริการของสโมสรตำรวจเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดประชุมสัมมนา งานเลี้ยง งานสังสรรค์ งานกิจกรรมสันทนาการ พร้อมทั้งให้บริการสนามเทนนิส อาคารออกกำลังกาย สระว่ายน้ำ การบริการงานของสโมสรตำรวจ มีระเบียบคณะสวัสดิการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำหนดให้มีคณะกรรมการสวัสดิการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อกำหนดนโยบาย อำนวยการ ควบคุม ดูแล โดยมีคณะอนุกรรมการสวัสดิการสโมสรตำรวจ ทำหน้าที่ในการจัดทำแผนดำเนินงานประจำปี พร้อมประมาณการรายได้ และค่าใช้จ่ายประจำปี เสนอคณะอนุกรรมการสวัสดิการสโมสรตำรวจ เพื่อพิจารณาอนุมัติ วางแผนการดำเนินการตามระเบียบคณะอนุกรรมการสวัสดิการสโมสรตำรวจ มีการมอบหมายแต่งตั้งผู้รับผิดชอบ ดำเนินการตามแผนการปฏิบัติราชการ มีการรายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น อย่างเป็นระบบถือว่าการบริการงานของสโมสรตำรวจมีความเหมาะสมดี นอกจากนี้ควรใช้วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีหรือหลักธรรมาภิบาล เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ที่มาใช้บริการ มีการกำหนดขั้นตอน ระยะเวลา การดำเนินงานของแต่ละขั้นตอนของการปฏิบัติงาน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของสโมสรตำรวจ และเกิดประสิทธิภาพในการทำงานของข้าราชการตำรวจและลูกจ้าง (2) ผลการศึกษาพบว่า การบริการของสโมสรตำรวจ มีผู้มาใช้บริการเป็นจำนวนมาก และ เป็นสถานที่สำหรับจัดเลี้ยงรับรองในภารกิจที่สำคัญ เช่น การจัดงานเลี้ยงรับรองวันตำรวจ งานเลี้ยงรับรองเนื่องในโอกาสมอบประกาศเกียรติคุณในวาระข้าราชการตำรวจเกษียณอายุประจำปี งานประชุมสัมมนาระดับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งปัญหาที่พบ คือยังขาดแคลน ด้านกำลังพลที่มีอัตรากำลังพลจากข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการในด้านต่าง ๆ และลูกจ้างชั่วคราวที่มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานด้านการตลาด การโรงแรม การบริการสถานที่ อาหาร และเครื่องดื่ม เห็นได้ว่าเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด้านนี้ ยังขาดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องการตลาด การโรงแรม การบริการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน รวมถึงคณะอนุกรรมการสวัสดิการสโมสรตำรวจ ยังไม่มีนโยบายให้จัดหาเพิ่ม และ (3) ผลการศึกษาพบว่าแนวทางการแก้ปัญหา ควรจัดทำและเสนอแผนประจำปีขอบุคลากรเพิ่ม และควรมีการฝึกอบรมบุคลากรในทุก 6 เดือน เพื่อพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถของบุคลากรให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพCurricular : MPA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26531 SIU IS-T. การพัฒนาการบริการสู่ความเป็นเลิศของสโมสรตำรวจ = Development Services to Excellence of the Royal Thai Police Sports Club [printed text] / บุญล้น จันทะขิน, Author ; อุมาหฤทัย วรรณศรี, Associated Name ; วรเดช จันทรศร, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016 . - viii, 68 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-17
[MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การบริการ -- การพัฒนา
[LCSH]การศึกษา -- การบริการAbstract: งานวิจัยเรื่อง “การพัฒนาการบริการสู่ความเป็นเลิศของสโมสรตำรวจ” มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย ได้แก่ (1) เพื่อศึกษากระบวนการการบริการสู่ความเป็นเลิศของสโมสรตำรวจ (2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีต่อการพัฒนาการบริการสู่ความเป็นเลิศของสโมสรตำรวจ และ (3) เพื่อนำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาและอุปสรรคการพัฒนาการบริการสู่ความเป็นเลิศของสโมสรตำรวจ โดยเป็นการศึกษาข้อมูลเชิงคุณภาพ (qualitative search) มีวิธีการวิจัย คือ การวิจัยจากเอกสาร (documentary research) และการวิจัยสนาม (field research)
สรุปผลการวิจัยตามประเด็นคำถามต่าง ๆ ได้ดังนี้ (1) ผลการศึกษาพบว่า การบริการของสโมสรตำรวจเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดประชุมสัมมนา งานเลี้ยง งานสังสรรค์ งานกิจกรรมสันทนาการ พร้อมทั้งให้บริการสนามเทนนิส อาคารออกกำลังกาย สระว่ายน้ำ การบริการงานของสโมสรตำรวจ มีระเบียบคณะสวัสดิการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำหนดให้มีคณะกรรมการสวัสดิการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อกำหนดนโยบาย อำนวยการ ควบคุม ดูแล โดยมีคณะอนุกรรมการสวัสดิการสโมสรตำรวจ ทำหน้าที่ในการจัดทำแผนดำเนินงานประจำปี พร้อมประมาณการรายได้ และค่าใช้จ่ายประจำปี เสนอคณะอนุกรรมการสวัสดิการสโมสรตำรวจ เพื่อพิจารณาอนุมัติ วางแผนการดำเนินการตามระเบียบคณะอนุกรรมการสวัสดิการสโมสรตำรวจ มีการมอบหมายแต่งตั้งผู้รับผิดชอบ ดำเนินการตามแผนการปฏิบัติราชการ มีการรายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น อย่างเป็นระบบถือว่าการบริการงานของสโมสรตำรวจมีความเหมาะสมดี นอกจากนี้ควรใช้วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีหรือหลักธรรมาภิบาล เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ที่มาใช้บริการ มีการกำหนดขั้นตอน ระยะเวลา การดำเนินงานของแต่ละขั้นตอนของการปฏิบัติงาน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของสโมสรตำรวจ และเกิดประสิทธิภาพในการทำงานของข้าราชการตำรวจและลูกจ้าง (2) ผลการศึกษาพบว่า การบริการของสโมสรตำรวจ มีผู้มาใช้บริการเป็นจำนวนมาก และ เป็นสถานที่สำหรับจัดเลี้ยงรับรองในภารกิจที่สำคัญ เช่น การจัดงานเลี้ยงรับรองวันตำรวจ งานเลี้ยงรับรองเนื่องในโอกาสมอบประกาศเกียรติคุณในวาระข้าราชการตำรวจเกษียณอายุประจำปี งานประชุมสัมมนาระดับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งปัญหาที่พบ คือยังขาดแคลน ด้านกำลังพลที่มีอัตรากำลังพลจากข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการในด้านต่าง ๆ และลูกจ้างชั่วคราวที่มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานด้านการตลาด การโรงแรม การบริการสถานที่ อาหาร และเครื่องดื่ม เห็นได้ว่าเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด้านนี้ ยังขาดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องการตลาด การโรงแรม การบริการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน รวมถึงคณะอนุกรรมการสวัสดิการสโมสรตำรวจ ยังไม่มีนโยบายให้จัดหาเพิ่ม และ (3) ผลการศึกษาพบว่าแนวทางการแก้ปัญหา ควรจัดทำและเสนอแผนประจำปีขอบุคลากรเพิ่ม และควรมีการฝึกอบรมบุคลากรในทุก 6 เดือน เพื่อพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถของบุคลากรให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพCurricular : MPA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26531 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000591733 SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-17 c.2 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available 32002000591741 SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-17 c.1 SIU Independent Study Main Library Thesis Corner Available SIU IS-T. ความคาดหวังและความพึงพอใจของผู้พิการทางการเคลื่อนไหว ต่อการให้บริการของเจ้าหน้าที่ที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ / ถิรภัทร ประภาสิทธิ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2016
Collection Title: SIU IS-T Title : ความคาดหวังและความพึงพอใจของผู้พิการทางการเคลื่อนไหว ต่อการให้บริการของเจ้าหน้าที่ที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ Original title : Expectation and Satisfaction of Physical Disability in Public Service Of District Officer at Chiang Mai District Office Material Type: printed text Authors: ถิรภัทร ประภาสิทธิ, Author ; อุมาหฤทัย วรรณศรี, Associated Name ; วรเดช จันทรศร, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2016 Pagination: x,88 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-14
[MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การบริการ -- การพัฒนา
[LCSH]คนพิการ -- สวัสดิการ -- เชียงใหม่
[LCSH]เจ้าหน้าที่ที่ว่าการอำเภอ -- การให้บริการ -- เชียงใหม่Keywords: ผู้พิการทางการเคลื่อนไหว
ความคาดหวังและความพึงพอใจ
คุณภาพการให้บริการAbstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาความคาดหวังและความพึงพอใจของผู้พิการทางการเคลื่อนไหวต่อการให้บริการของเจ้าหน้าที่ที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 2) เพื่อเปรียบเทียบระหว่างปัจจัยด้านประชากรศาสตร์กับความคาดหวังและความพึงพอใจของผู้พิการทางการเคลื่อนไหวต่อการให้บริการของเจ้าหน้าที่ที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 3) เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการบริการผู้พิการทางการเคลื่อนไหวอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยผู้วิจัยใช้วิธีการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ ผลการวิจัยพบว่า ข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ของผู้พิการทางการเคลื่อนไหวต่อการให้บริการของเจ้าหน้าที่ที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ 1. เพศ 2. อายุ 3. สถานภาพสมรส 4. การศึกษา 5. อาชีพ 6. รายได้ จากผู้ตอบแบสอบถามจำนวน 229 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป มีสถานภาพโสด มีระดับการศึกษาต่ำกว่าอนุปริญญา/ประกาศนียบัตรชั้นสูง มีอาชีพประกอบธุรกิจส่วนตัว เช่น ขายลอตเตอร์ลี่ รับจ้างทำสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ธุรกิจร้านเกม ธุรกิจร้านอินเตอร์เน็ต ร้านหนังสือให้เช่า มีห้องให้เช่า เป็นต้น มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 15,001 – 25,000 บาท ส่วนปัจจัยทางด้านความคาดหวังของผู้พิการทางการเคลื่อนไหวต่อการให้บริการของเจ้าหน้าที่ที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ จากการศึกษา พบว่า มีความคาดหวังต่อการให้บริการของเจ้าหน้าที่ที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ด้านความเชื่อมั่นในคุณภาพการให้บริการของเจ้าหน้าที่อยู่ในระดับสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านลักษณะทางกายภาพ ถัดมาคือ ด้านการตอบสนองอย่างรวดเร็วในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ และลำดับสุดท้าย ได้แก่ ด้านความเอาใจใส่และมีอัธยาศัยไมตรีต่อผู้รับบริการ แต่อย่างไรก็ตามความคาดหวังของผู้พิการทางการเคลื่อนไหวต่อการให้บริการของเจ้าหน้าที่ที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยควรจัดให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในด้านการเปิดเผยข้อมูล ด้านระเบียบ ข้อบังคับ และกฎหมายในการปฏิบัติงาน ด้านการกำหนดระยะเวลาปฏิบัติงานประกาศให้ผู้ใช้บริการทราบ ด้านกระบวนการ และด้านโครงการที่ที่ว่าการอำเภอเมืองได้จัดทำเพื่อบริการผู้พิการทางการเคลื่อนไหว ควรมีการขยายขอบเขตในด้านสถานที่ในการศึกษาเพิ่มเติม ควรทำการศึกษาในแนวลึกลงไปถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องในด้านต่าง ๆ ให้ละเอียดและครอบคลุมมากขึ้นถึงสาเหตุดังกล่าว ควรมีการขยายขอบเขตในด้านเนื้อหาของการศึกษาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้บริการเพิ่มเติม เช่น ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการให้บริการกับผู้พิการทางการเคลื่อนไหวด้านต่าง ๆ เพื่อจะได้ส่งมอบการอำนวยความสะดวกในการให้บริการให้ตรงกับพฤติกรรมของผู้บริการต่อไป Curricular : GE/MBA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26532 SIU IS-T. ความคาดหวังและความพึงพอใจของผู้พิการทางการเคลื่อนไหว ต่อการให้บริการของเจ้าหน้าที่ที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ = Expectation and Satisfaction of Physical Disability in Public Service Of District Officer at Chiang Mai District Office [printed text] / ถิรภัทร ประภาสิทธิ, Author ; อุมาหฤทัย วรรณศรี, Associated Name ; วรเดช จันทรศร, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016 . - x,88 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-14
[MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การบริการ -- การพัฒนา
[LCSH]คนพิการ -- สวัสดิการ -- เชียงใหม่
[LCSH]เจ้าหน้าที่ที่ว่าการอำเภอ -- การให้บริการ -- เชียงใหม่Keywords: ผู้พิการทางการเคลื่อนไหว
ความคาดหวังและความพึงพอใจ
คุณภาพการให้บริการAbstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาความคาดหวังและความพึงพอใจของผู้พิการทางการเคลื่อนไหวต่อการให้บริการของเจ้าหน้าที่ที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 2) เพื่อเปรียบเทียบระหว่างปัจจัยด้านประชากรศาสตร์กับความคาดหวังและความพึงพอใจของผู้พิการทางการเคลื่อนไหวต่อการให้บริการของเจ้าหน้าที่ที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 3) เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการบริการผู้พิการทางการเคลื่อนไหวอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยผู้วิจัยใช้วิธีการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ ผลการวิจัยพบว่า ข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ของผู้พิการทางการเคลื่อนไหวต่อการให้บริการของเจ้าหน้าที่ที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ 1. เพศ 2. อายุ 3. สถานภาพสมรส 4. การศึกษา 5. อาชีพ 6. รายได้ จากผู้ตอบแบสอบถามจำนวน 229 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป มีสถานภาพโสด มีระดับการศึกษาต่ำกว่าอนุปริญญา/ประกาศนียบัตรชั้นสูง มีอาชีพประกอบธุรกิจส่วนตัว เช่น ขายลอตเตอร์ลี่ รับจ้างทำสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ธุรกิจร้านเกม ธุรกิจร้านอินเตอร์เน็ต ร้านหนังสือให้เช่า มีห้องให้เช่า เป็นต้น มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 15,001 – 25,000 บาท ส่วนปัจจัยทางด้านความคาดหวังของผู้พิการทางการเคลื่อนไหวต่อการให้บริการของเจ้าหน้าที่ที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ จากการศึกษา พบว่า มีความคาดหวังต่อการให้บริการของเจ้าหน้าที่ที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ด้านความเชื่อมั่นในคุณภาพการให้บริการของเจ้าหน้าที่อยู่ในระดับสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านลักษณะทางกายภาพ ถัดมาคือ ด้านการตอบสนองอย่างรวดเร็วในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ และลำดับสุดท้าย ได้แก่ ด้านความเอาใจใส่และมีอัธยาศัยไมตรีต่อผู้รับบริการ แต่อย่างไรก็ตามความคาดหวังของผู้พิการทางการเคลื่อนไหวต่อการให้บริการของเจ้าหน้าที่ที่ว่าการอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยควรจัดให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในด้านการเปิดเผยข้อมูล ด้านระเบียบ ข้อบังคับ และกฎหมายในการปฏิบัติงาน ด้านการกำหนดระยะเวลาปฏิบัติงานประกาศให้ผู้ใช้บริการทราบ ด้านกระบวนการ และด้านโครงการที่ที่ว่าการอำเภอเมืองได้จัดทำเพื่อบริการผู้พิการทางการเคลื่อนไหว ควรมีการขยายขอบเขตในด้านสถานที่ในการศึกษาเพิ่มเติม ควรทำการศึกษาในแนวลึกลงไปถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องในด้านต่าง ๆ ให้ละเอียดและครอบคลุมมากขึ้นถึงสาเหตุดังกล่าว ควรมีการขยายขอบเขตในด้านเนื้อหาของการศึกษาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้บริการเพิ่มเติม เช่น ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการให้บริการกับผู้พิการทางการเคลื่อนไหวด้านต่าง ๆ เพื่อจะได้ส่งมอบการอำนวยความสะดวกในการให้บริการให้ตรงกับพฤติกรรมของผู้บริการต่อไป Curricular : GE/MBA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26532 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000591766 SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-14 c.2 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available 32002000591758 SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-14 c.1 SIU Independent Study Main Library Thesis Corner Available SIU IS-T. ความคาดหวังของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีต่อการท่องเที่ยวเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี / สิริพรรณ พัฒนรักษา / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2016
Collection Title: SIU IS-T Title : ความคาดหวังของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีต่อการท่องเที่ยวเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี Original title : Expectations of Thai Tourists Toward KOH KRET Tourism Nonthaburi Province Material Type: printed text Authors: สิริพรรณ พัฒนรักษา, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ลาวัณย์ฉวี สุจริตตานนท์, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2016 Pagination: viii, 66 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-12
[MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การท่องเที่ยว -- การวางแผน
[LCSH]ความคาดหวัง
[LCSH]นักท่องเที่ยว -- เกาะเกร็ด -- ทัศนคติKeywords: ความคาดหวัง
การท่องเที่ยวAbstract: การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความคาดหวังของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีต่อการท่องเที่ยวเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและวิถีชุมชนเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ผู้วิจัยใด้ทำการศึกษาเชิงปริมาณและใช้กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่มาท่องเที่ยวเกาะเกร็ด จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าความถี่ ร้อยล่ะ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Independent Sample T-test, One-Way ANOVA (F-test ), Least Significant Difference (LSD)
ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแแบบสอบถามส่วนมากเป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 20-30 ปี มีระดับการศึกษาปริญญาตรี มีอาชีพเป็นลูกจ้าง พนักงานบริษัทเอกชน และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,000-20,000 บาท นักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนใหญ่มาท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนโดยเดินทางมากับเพื่อน และส่วนใหญ่ใช้จ่ายในการท่องเที่ยวต่อครั้งต่อคนอยู่ระหว่าง 500-1,000 บาท นักท่องเที่ยวชาวไทยมีระดับความคาดหวังต่อการท่องเที่ยวเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือด้านสถานที่ รองลงมาคือด้านผลิตภัณฑ์สินค้า ด้านส่งเสริมการตลาด และด้านราคาพบว่า นักท่องเที่ยวที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพและรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่างกัน มีความคาดหวังต่อการท่องเที่ยวเกาะเกร็ดไม่แตกต่างกัน
จากการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยพบว่า การส่งเสริมพัฒนาการท่องเที่ยวของเกาะเกร็ดและนโยบายทางด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล มีความสอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มาเกาะเกร็ดนั้นมีโปรแกรมที่เหมาะสม คือ เที่ยวเกาะเกร็ด ไหว้พระ นั่งเรือ ขี่จักรยานรอบเกาะ หรือแม้แต่ one day trip around Island นอกจากนี้ โครงการเหล่านี้ยังเหมาะสมและปรับเปลี่ยนใช้ใด้กับทุกจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีภูมิประเทศใกล้เคียงเกาะเกร็ดCurricular : GE/MBA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26534 SIU IS-T. ความคาดหวังของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีต่อการท่องเที่ยวเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี = Expectations of Thai Tourists Toward KOH KRET Tourism Nonthaburi Province [printed text] / สิริพรรณ พัฒนรักษา, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ลาวัณย์ฉวี สุจริตตานนท์, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016 . - viii, 66 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-12
[MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การท่องเที่ยว -- การวางแผน
[LCSH]ความคาดหวัง
[LCSH]นักท่องเที่ยว -- เกาะเกร็ด -- ทัศนคติKeywords: ความคาดหวัง
การท่องเที่ยวAbstract: การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความคาดหวังของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีต่อการท่องเที่ยวเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและวิถีชุมชนเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ผู้วิจัยใด้ทำการศึกษาเชิงปริมาณและใช้กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่มาท่องเที่ยวเกาะเกร็ด จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าความถี่ ร้อยล่ะ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Independent Sample T-test, One-Way ANOVA (F-test ), Least Significant Difference (LSD)
ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแแบบสอบถามส่วนมากเป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 20-30 ปี มีระดับการศึกษาปริญญาตรี มีอาชีพเป็นลูกจ้าง พนักงานบริษัทเอกชน และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,000-20,000 บาท นักท่องเที่ยวชาวไทยส่วนใหญ่มาท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนโดยเดินทางมากับเพื่อน และส่วนใหญ่ใช้จ่ายในการท่องเที่ยวต่อครั้งต่อคนอยู่ระหว่าง 500-1,000 บาท นักท่องเที่ยวชาวไทยมีระดับความคาดหวังต่อการท่องเที่ยวเกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือด้านสถานที่ รองลงมาคือด้านผลิตภัณฑ์สินค้า ด้านส่งเสริมการตลาด และด้านราคาพบว่า นักท่องเที่ยวที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพและรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่างกัน มีความคาดหวังต่อการท่องเที่ยวเกาะเกร็ดไม่แตกต่างกัน
จากการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยพบว่า การส่งเสริมพัฒนาการท่องเที่ยวของเกาะเกร็ดและนโยบายทางด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล มีความสอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มาเกาะเกร็ดนั้นมีโปรแกรมที่เหมาะสม คือ เที่ยวเกาะเกร็ด ไหว้พระ นั่งเรือ ขี่จักรยานรอบเกาะ หรือแม้แต่ one day trip around Island นอกจากนี้ โครงการเหล่านี้ยังเหมาะสมและปรับเปลี่ยนใช้ใด้กับทุกจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีภูมิประเทศใกล้เคียงเกาะเกร็ดCurricular : GE/MBA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26534 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000591774 SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-12 c.2 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available 32002000591782 SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-12 c.1 SIU Independent Study Main Library Thesis Corner Available SIU IS-T. ปัจจัยที่มีผลต่อการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ / ปิติทัต กงทอง / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2016
Collection Title: SIU IS-T Title : ปัจจัยที่มีผลต่อการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ Original title : Factors that Effected for Preventing and Suppressing of Prostitution of Police Sub-Division 4 ATI-Human Trafficking Division, Central Investigation Bureau, Royal Thai Police Material Type: printed text Authors: ปิติทัต กงทอง, Author ; อุมาหฤทัย วรรณศรี, Associated Name ; วรเดช จันทรศร, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2016 Pagination: viii, 88 น. Layout: ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-16
[MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ -- ข้าราชการตำรวจ
[LCSH]การค้ามนุษย์ -- การป้องกันKeywords: การป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี
ความผูกพันกับองค์การ
ทัศนคติของผู้บังคับบัญชา
ความรู้ความเข้าใจของเจ้าหน้าที่
การสื่อสารAbstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบปัจจัยด้านประชากรศาสตร์กับปัจจัยด้านการปฏิบัติงานการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 3) เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการปฏิบัติงานการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยผู้วิจัยใช้วิธีการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยทางด้านประชากรศาสตร์ มีผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 36-45 ปีขึ้นไป ได้มีการสมรสแล้วเป็นส่วนใหญ่และส่วนใหญ่สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี และมีรายได้ส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 10,001 – 20,000 บาท โดยส่วนใหญ่มีประสบการณ์การทำงานอยู่ระหว่าง 16-20 ปี และจากการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สรุปผลการวิจัยแต่ละปัจจัยหลักมีลำดับความสำคัญดังนี้คือ ลำดับแรก ได้แก่ ด้านความผูกพันสัมพันธ์กับองค์การมีความสำคัญ ลำดับที่สอง ได้แก่ ด้านความรู้ความเข้าใจของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ลำดับที่สาม ได้แก่ ด้านทัศนคติของผู้บังคับบัญชา ลำดับที่สี่ ด้านการสื่อสาร วัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้ โดยทั้งสี่ลำดับนี้ เป็นปัจจัยที่ผู้ตอบแบบอบถามให้ความสำคัญอยู่ระดับมาก ลำดับที่สี่ ได้แก่ ด้านอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ และลำดับสุดท้าย ได้แก่ ด้านการจัดสรรงบประมาณ เป็นปัจจัยที่ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญอยู่ในระดับปานกลาง ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาค้นคว้าไปใช้ คือ ส่งเสริมและสนับสนุนให้ข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติงานการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีมีความพร้อมในการปฏิบัติงาน โดยการพัฒนาศักยภาพและส่งเสริมให้มีความพร้อมในเรื่องการสร้างประสบการณ์ในการทำงานด้านการป้องกันและการปราบปรามการค้าประเวณี การเสริมรายได้ไปพร้อม ๆ กับการวางแผนการใช้จ่ายต่อเดือน ส่งเสริมให้ลาศึกษาต่อและฝึกอบรมในด้านที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนให้ปฏิบัติงานในหน่วยงานที่เหมาะสม และส่งเสริมให้มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการดำเนินงานใน ปัจจัยต่าง ๆ คือ ปัจจัยทางด้านนโยบาย ด้านมาตรการการปฏิบัติ
ด้านกฎหมาย ด้านงบประมาณ ด้านการบริหารจัดการ และด้านบุคลากร ได้แก่ การทบทวนนโยบาย มาตรการ การจัดระบบขั้นตอนที่เกี่ยวข้องให้เอื้อต่อการปฏิบัติงานการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี การให้รางวัลและการคุ้มครองเป็นพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ของภาครัฐและประชาชนที่ให้ความร่วมมือในการปราบปรามการค้าประเวณี การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้การป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีและการแสวงหาแนวร่วมภาคประชาชน ในการป้องกันปราบปรามการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีให้มากขึ้น โดยการสร้างความร่วมมือกับองค์การ ภาคีต่าง ๆ ทั้ง ภาครัฐ ประชาชน ชุมชน และภาคเอกชน การเตรียมความพร้อมของบุคลากรทั้งจำนวนที่เหมาะสมและการพัฒนาศักยภาพให้บุคลากรมีความรู้ความสามารถในการดำเนินงาน ตลอดจนมีความพร้อมทั้งทางร่างกาย จิตใจ สังคมCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26537 SIU IS-T. ปัจจัยที่มีผลต่อการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ = Factors that Effected for Preventing and Suppressing of Prostitution of Police Sub-Division 4 ATI-Human Trafficking Division, Central Investigation Bureau, Royal Thai Police [printed text] / ปิติทัต กงทอง, Author ; อุมาหฤทัย วรรณศรี, Associated Name ; วรเดช จันทรศร, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016 . - viii, 88 น. : ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-16
[MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ -- ข้าราชการตำรวจ
[LCSH]การค้ามนุษย์ -- การป้องกันKeywords: การป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี
ความผูกพันกับองค์การ
ทัศนคติของผู้บังคับบัญชา
ความรู้ความเข้าใจของเจ้าหน้าที่
การสื่อสารAbstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบปัจจัยด้านประชากรศาสตร์กับปัจจัยด้านการปฏิบัติงานการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 3) เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการปฏิบัติงานการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยผู้วิจัยใช้วิธีการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยทางด้านประชากรศาสตร์ มีผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 36-45 ปีขึ้นไป ได้มีการสมรสแล้วเป็นส่วนใหญ่และส่วนใหญ่สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี และมีรายได้ส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 10,001 – 20,000 บาท โดยส่วนใหญ่มีประสบการณ์การทำงานอยู่ระหว่าง 16-20 ปี และจากการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สรุปผลการวิจัยแต่ละปัจจัยหลักมีลำดับความสำคัญดังนี้คือ ลำดับแรก ได้แก่ ด้านความผูกพันสัมพันธ์กับองค์การมีความสำคัญ ลำดับที่สอง ได้แก่ ด้านความรู้ความเข้าใจของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ลำดับที่สาม ได้แก่ ด้านทัศนคติของผู้บังคับบัญชา ลำดับที่สี่ ด้านการสื่อสาร วัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้ โดยทั้งสี่ลำดับนี้ เป็นปัจจัยที่ผู้ตอบแบบอบถามให้ความสำคัญอยู่ระดับมาก ลำดับที่สี่ ได้แก่ ด้านอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ และลำดับสุดท้าย ได้แก่ ด้านการจัดสรรงบประมาณ เป็นปัจจัยที่ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญอยู่ในระดับปานกลาง ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาค้นคว้าไปใช้ คือ ส่งเสริมและสนับสนุนให้ข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติงานการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีมีความพร้อมในการปฏิบัติงาน โดยการพัฒนาศักยภาพและส่งเสริมให้มีความพร้อมในเรื่องการสร้างประสบการณ์ในการทำงานด้านการป้องกันและการปราบปรามการค้าประเวณี การเสริมรายได้ไปพร้อม ๆ กับการวางแผนการใช้จ่ายต่อเดือน ส่งเสริมให้ลาศึกษาต่อและฝึกอบรมในด้านที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนให้ปฏิบัติงานในหน่วยงานที่เหมาะสม และส่งเสริมให้มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการดำเนินงานใน ปัจจัยต่าง ๆ คือ ปัจจัยทางด้านนโยบาย ด้านมาตรการการปฏิบัติ
ด้านกฎหมาย ด้านงบประมาณ ด้านการบริหารจัดการ และด้านบุคลากร ได้แก่ การทบทวนนโยบาย มาตรการ การจัดระบบขั้นตอนที่เกี่ยวข้องให้เอื้อต่อการปฏิบัติงานการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี การให้รางวัลและการคุ้มครองเป็นพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ของภาครัฐและประชาชนที่ให้ความร่วมมือในการปราบปรามการค้าประเวณี การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้การป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีและการแสวงหาแนวร่วมภาคประชาชน ในการป้องกันปราบปรามการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีให้มากขึ้น โดยการสร้างความร่วมมือกับองค์การ ภาคีต่าง ๆ ทั้ง ภาครัฐ ประชาชน ชุมชน และภาคเอกชน การเตรียมความพร้อมของบุคลากรทั้งจำนวนที่เหมาะสมและการพัฒนาศักยภาพให้บุคลากรมีความรู้ความสามารถในการดำเนินงาน ตลอดจนมีความพร้อมทั้งทางร่างกาย จิตใจ สังคมCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26537 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000591790 SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-16 c.2 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available 32002000591808 SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-16 c.1 SIU Independent Study Main Library Thesis Corner Available SIU IS-T. การมีส่วนร่วมของคนในชุมชน เพื่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด ในกลุ่มเด็กและเยาวชน ในชุมชนแฟลตตำรวจส่วนกลางลาดยาว แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร / พนัชกร ทองแถม / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2016
Collection Title: SIU IS-T Title : การมีส่วนร่วมของคนในชุมชน เพื่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด ในกลุ่มเด็กและเยาวชน ในชุมชนแฟลตตำรวจส่วนกลางลาดยาว แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร Original title : The Participation of the Community to Resolve the Drug Problem among Children and Youth in Lat Yao Police Housing, Lat Yao Sub-district, Chatuchak District, Bangkok Material Type: printed text Authors: พนัชกร ทองแถม, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ประยุทธ์ สวัสดิ์เรียวกุล, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2016 Pagination: ix, 89 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-13
[MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ชุมชน -- การมีส่วนร่วมของประชาชน
[LCSH]ธรรมาภิบาล
[LCSH]ยาเสพติด -- กรุงเทพมหานคร -- การควบคุมKeywords: การมีส่วนร่วมของคนในชุมชน
การแก้ปัญหายาเสพติด
กลุ่มเด็กและเยาวชนAbstract: การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนเพื่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชนในชุมชนแฟลตตำรวจส่วนกลางลาดยาว แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 2) ปัญหาและอุปสรรคในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชนในชุมชนแฟลตตำรวจส่วนกลางลาดยาว
โดยออกแบบการวิจัยเป็นการศึกษาเชิงปริมาณ ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 273 คน โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย โดยการใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ การมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชนในชุมชนแฟลตตำรวจส่วนกลางลาดยาว แขวงลาดยาว เขตจตุจักร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.78
การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในการแก้ปัญหายาเสพติดในภาพรวม พบว่า ระดับการมีส่วนร่วมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.75
การมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน กิจกรรมในการแก้ปัญหายาเสพติดในภาพรวม พบว่า ระดับการมีส่วนร่วมในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.96 ประชาชนในชุมชนแฟลตตำรวจส่วนกลางลาดยาว มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชนในระดับมากในภาพรวม และทุกด้านไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05Curricular : MPA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26538 SIU IS-T. การมีส่วนร่วมของคนในชุมชน เพื่อการแก้ไขปัญหายาเสพติด ในกลุ่มเด็กและเยาวชน ในชุมชนแฟลตตำรวจส่วนกลางลาดยาว แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร = The Participation of the Community to Resolve the Drug Problem among Children and Youth in Lat Yao Police Housing, Lat Yao Sub-district, Chatuchak District, Bangkok [printed text] / พนัชกร ทองแถม, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; ประยุทธ์ สวัสดิ์เรียวกุล, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016 . - ix, 89 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-13
[MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ชุมชน -- การมีส่วนร่วมของประชาชน
[LCSH]ธรรมาภิบาล
[LCSH]ยาเสพติด -- กรุงเทพมหานคร -- การควบคุมKeywords: การมีส่วนร่วมของคนในชุมชน
การแก้ปัญหายาเสพติด
กลุ่มเด็กและเยาวชนAbstract: การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนเพื่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชนในชุมชนแฟลตตำรวจส่วนกลางลาดยาว แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 2) ปัญหาและอุปสรรคในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชนในชุมชนแฟลตตำรวจส่วนกลางลาดยาว
โดยออกแบบการวิจัยเป็นการศึกษาเชิงปริมาณ ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 273 คน โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย โดยการใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ การมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชนในชุมชนแฟลตตำรวจส่วนกลางลาดยาว แขวงลาดยาว เขตจตุจักร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.78
การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในการแก้ปัญหายาเสพติดในภาพรวม พบว่า ระดับการมีส่วนร่วมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.75
การมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน กิจกรรมในการแก้ปัญหายาเสพติดในภาพรวม พบว่า ระดับการมีส่วนร่วมในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.96 ประชาชนในชุมชนแฟลตตำรวจส่วนกลางลาดยาว มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชนในระดับมากในภาพรวม และทุกด้านไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05Curricular : MPA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26538 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000591824 SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-13 c.1 SIU Independent Study Main Library Thesis Corner Available SIU IS-T. คุณภาพการให้บริการขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าขนอน อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี / อรพรรณ พัฒนรักษา / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2016
Collection Title: SIU IS-T Title : คุณภาพการให้บริการขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าขนอน อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี Original title : A Research on Service Quality of the Tambol Administrative Organization of Takhanon of Kiriratnikom District, Suratthani Province Material Type: printed text Authors: อรพรรณ พัฒนรักษา, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; สมชาย รัตนโกมุท, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2016 Pagination: viii, 81 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-11
[MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การควบคุมคุณภาพ
[LCSH]การบริการ -- การพัฒนา
[LCSH]องค์การบริหารส่วนตำบล -- สุราษธานี -- ท่าขนอน -- การให้บริการKeywords: คุณภาพการให้บริการ
องค์การบริหารส่วนตำบลAbstract: การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับคุณภาพการให้บริการขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าขนอน อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนต่อคุณภาพการให้บริการองค์การบริหารส่วนตำบลท่าขนอน อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี 3) เพื่อศึกษาปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะต่อคุณภาพการให้บริการขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าขนอน อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยใช้วิธีเชิงปริมาณ มีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 376 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย วิเคราะห์ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปเพื่อการวิเคราะห์ทางสถิติ SPSS สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย สถิติบรรยาย (descriptive statistics) ได้แก่ ความถี่ (frequency) ร้อยละ (percentage) ค่าเฉลี่ย (mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) และสถิติอ้างอิง (inferential statistics) ได้แก่ สถิติ t-test และสถิติ one way ANOVA โดยกำหนดนัยสำคัญทางสถิติไว้ที่ระดับ .05 และ .01
ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีอายุ 21-30 ปี การศึกษาอนุปริญญา หรือเทียบเท่า มีอาชีพรับจ้างทั่วไป และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 5,000-10,000 บาท คุณภาพการให้บริการขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าขนอน อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฏร์ธานี โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ปัญหาและอุปสรรคที่ประชาชนได้รับจากการบริการ คือ เรื่องความล่าช้าในการรับบริการ เป็นปัญหาและอุปสรรคต่อคุณภาพการให้บริการมากCurricular : GE/MBA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26539 SIU IS-T. คุณภาพการให้บริการขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าขนอน อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี = A Research on Service Quality of the Tambol Administrative Organization of Takhanon of Kiriratnikom District, Suratthani Province [printed text] / อรพรรณ พัฒนรักษา, Author ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name ; สมชาย รัตนโกมุท, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016 . - viii, 81 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-11
[MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การควบคุมคุณภาพ
[LCSH]การบริการ -- การพัฒนา
[LCSH]องค์การบริหารส่วนตำบล -- สุราษธานี -- ท่าขนอน -- การให้บริการKeywords: คุณภาพการให้บริการ
องค์การบริหารส่วนตำบลAbstract: การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับคุณภาพการให้บริการขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าขนอน อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนต่อคุณภาพการให้บริการองค์การบริหารส่วนตำบลท่าขนอน อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี 3) เพื่อศึกษาปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะต่อคุณภาพการให้บริการขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าขนอน อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยใช้วิธีเชิงปริมาณ มีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 376 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย วิเคราะห์ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปเพื่อการวิเคราะห์ทางสถิติ SPSS สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย สถิติบรรยาย (descriptive statistics) ได้แก่ ความถี่ (frequency) ร้อยละ (percentage) ค่าเฉลี่ย (mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) และสถิติอ้างอิง (inferential statistics) ได้แก่ สถิติ t-test และสถิติ one way ANOVA โดยกำหนดนัยสำคัญทางสถิติไว้ที่ระดับ .05 และ .01
ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีอายุ 21-30 ปี การศึกษาอนุปริญญา หรือเทียบเท่า มีอาชีพรับจ้างทั่วไป และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 5,000-10,000 บาท คุณภาพการให้บริการขององค์การบริหารส่วนตำบลท่าขนอน อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฏร์ธานี โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ปัญหาและอุปสรรคที่ประชาชนได้รับจากการบริการ คือ เรื่องความล่าช้าในการรับบริการ เป็นปัญหาและอุปสรรคต่อคุณภาพการให้บริการมากCurricular : GE/MBA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26539 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000591832 SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-11 c.1 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available SIU IS-T. การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไทย ในทัศนะของข้าราชการส่วนท้องถิ่น กรณีศึกษา ข้าราชการส่วนท้องถิ่นที่เข้าฝึกอบรม ณ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น / ณัฐชนน เหลืองสมานกุล / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2016
Collection Title: SIU IS-T Title : การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไทย ในทัศนะของข้าราชการส่วนท้องถิ่น กรณีศึกษา ข้าราชการส่วนท้องถิ่นที่เข้าฝึกอบรม ณ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น Original title : Good Governance of Local Governments in Thailand : Local Officials’ Perspectives Case Study; Local Officials Training at Local Personnel Development Institution Material Type: printed text Authors: ณัฐชนน เหลืองสมานกุล, Author ; ประยุทธ์ สวัสดิ์เรียวกุล, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2016 Pagination: ix, 79 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-23
[MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]ข้าราชการ -- ทัศนคติ
[LCSH]ธรรมาภิบาล
[LCSH]องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น -- ไทยKeywords: หลักธรรมาภิบาล
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นAbstract: การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นการใช้หลักธรรมาภิบาลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไทย เปรียบเทียบการใช้หลักธรรมาภิบาลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในทัศนะของข้าราชการส่วนท้องถิ่นไทย และเสนอแนะแนวทางส่งเสริมการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไทย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ ข้าราชการที่ปฏิบัติงานอยู่ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไทย ที่เข้ารับการอบรมกับสถาบันพัฒนาบุคลากรส่วนท้องถิ่น จำนวน 200 คน Curricular : MPA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26544 SIU IS-T. การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไทย ในทัศนะของข้าราชการส่วนท้องถิ่น กรณีศึกษา ข้าราชการส่วนท้องถิ่นที่เข้าฝึกอบรม ณ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น = Good Governance of Local Governments in Thailand : Local Officials’ Perspectives Case Study; Local Officials Training at Local Personnel Development Institution [printed text] / ณัฐชนน เหลืองสมานกุล, Author ; ประยุทธ์ สวัสดิ์เรียวกุล, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016 . - ix, 79 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-23
[MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]ข้าราชการ -- ทัศนคติ
[LCSH]ธรรมาภิบาล
[LCSH]องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น -- ไทยKeywords: หลักธรรมาภิบาล
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นAbstract: การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความคิดเห็นการใช้หลักธรรมาภิบาลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไทย เปรียบเทียบการใช้หลักธรรมาภิบาลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในทัศนะของข้าราชการส่วนท้องถิ่นไทย และเสนอแนะแนวทางส่งเสริมการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไทย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ ข้าราชการที่ปฏิบัติงานอยู่ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไทย ที่เข้ารับการอบรมกับสถาบันพัฒนาบุคลากรส่วนท้องถิ่น จำนวน 200 คน Curricular : MPA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26544 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000591840 SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-23 c.1 SIU Independent Study Main Library Thesis Corner Available 32002000591816 SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-23 c.2 SIU Independent Study Main Library Thesis Corner Available Readers who borrowed this document also borrowed:
ผู้นำกับการจัดการการเปลี่ยนแปลง พิชาภพ พันธุ์แพ การสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพ ณัฏฐพันธ์ เขจรนันทน์ ทักษะการบริหารทีม ดอนเนลลอน, แอน การบริหารจัดการทีมงาน ลุกซ์, ริชาร์ด SIU IS-T. ปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันปราบปราม ของข้าราชการตำรวจน้ำ สถานีตำรวจน้ำ 1 กองกำกับการ 12 กองบังคับการตำรวจน้ำจังหวัดเชียงราย / เชี่ยววิทย์ ศรีวิเชียร / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2016
Collection Title: SIU IS-T Title : ปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันปราบปราม ของข้าราชการตำรวจน้ำ สถานีตำรวจน้ำ 1 กองกำกับการ 12 กองบังคับการตำรวจน้ำจังหวัดเชียงราย Original title : Factors that Affected Motivation in job for Preventing and Suppressing of Marine Police Station 1 Marine Police Division 12 district Chiang Rai Province Material Type: printed text Authors: เชี่ยววิทย์ ศรีวิเชียร, Author ; อุมาหฤทัย วรรณศรี, Associated Name ; วรเดช จันทรศร, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2016 Pagination: viii, 89 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-15
[MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การจูงใจในการทำงาน -- เชียงราย
[LCSH]ข้าราชการตำรวจน้ำ -- การปฏิบัติหน้าที่Keywords: แรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ความรับผิดชอบและความสำเร็จของงาน
ความก้าวหน้าและความมั่นคง
นโยบายและการบริหารงาน
สภาพแวดล้อมในการทำงานAbstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันปราบปรามของข้าราชการตำรวจน้ำ กองกำกับการ 12 กองบังคับตำรวจน้ำจังหวัดเชียงราย 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันปราบปรามของข้าราชการตำรวจน้ำ กองกำกับการ 12 กองบังคับตำรวจน้ำจังหวัดเชียงราย 3)เพื่อศึกษาปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันปราบปรามของข้าราชการตำรวจน้ำ กองกำกับการ 12 กองบังคับตำรวจน้ำจังหวัดเชียงรายการศึกษาวิจัยนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้ขนาดกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 129 ตัวอย่าง ในการสรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลของข้าราชการตำรวจน้ำ กองกำกับการ 12 กองบังคับการตำรวจน้ำ จังหวัดเชียงรายเป็นข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ ได้แก่ 1. เพศ 2. อายุ 3. สถานภาพสมรส 4. การศึกษา 5.ประสบการณ์การทำงาน และ 6.รายได้เป็นการแจกแจงจำนวน (ความถี่) และร้อยละ จากการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามจากข้อมูลส่วนบุคคลของข้าราชการตำรวจน้ำ กองกำกับการ 12 กองบังคับการตำรวจน้ำ จังหวัดเชียงรายเป็นข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 36-45 ปี สถานภาพสมรสแล้ว มีการศึกษาระดับปริญญาตรีมีประสบการณ์การทำงาน ระหว่าง 16-20 ปี และรายได้อยู่ระหว่าง10,001 – 20,000 บาทในการสรุปผลการวิจัยเกี่ยวกับปัจจัยที่สำคัญ 7 ด้าน ประกอบด้วย ด้านความรับผิดชอบ และความสำเร็จของงานด้านความก้าวหน้าและความมั่นคง ด้านการยอมรับนับถือด้านความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นด้านนโยบายและการบริหารงาน ด้านเงินเดือนและสวัสดิการ ด้านสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันปราบปรามของข้าราชการตำรวจน้ำ กองกำกับการ 12 กองบังคับการตำรวจน้ำ จังหวัดเชียงราย โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีข้อเสนอแนะของการศึกษาค้นคว้าควรจัดให้มีองค์ประกอบด้านการกระตุ้นเกี่ยวกับงานซึ่งอาจทำได้หลายลักษณะด้วยกัน วิธีที่ยอมรับกันมากวิธีหนึ่งคือ การกระจายงานได้แก่ลดการเข้มงวดและเปิดโอกาสให้มีการใช้เหตุผลและความรับผิดชอบในงานให้มากขึ้น จัดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำทำงานร่วมกันเป็นหน่วยเดียวที่มีความสมบูรณ์ในตัวมากกว่าที่จะแยกกันทำงานตามลำพังเป็นส่วน ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำมากขึ้นในการตัดสินใจและการปฏิบัติและให้มีอิสระบ้างในการดำเนินงาน จัดให้มีการประชาสัมพันธ์รายงานผลผลิตต่อผู้ปฏิบัติโดยตรงอย่างสม่ำเสมอและบ่อย ๆมากขึ้น กระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำลองทำงานใหม่ ๆและงานที่มีความยากมากขึ้น ซึ่งจะสร้างแรงจูงใจให้พยายามและก้าวหน้ามากขึ้น และมีการมอบงานพิเศษให้ทำเพื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำจะได้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่าง อาจเป็นด้านปฏิบัติหรือกระบวนการทำงานหรือการพัฒนาการคิดของพนักงานแต่ละคน Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26545 SIU IS-T. ปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันปราบปราม ของข้าราชการตำรวจน้ำ สถานีตำรวจน้ำ 1 กองกำกับการ 12 กองบังคับการตำรวจน้ำจังหวัดเชียงราย = Factors that Affected Motivation in job for Preventing and Suppressing of Marine Police Station 1 Marine Police Division 12 district Chiang Rai Province [printed text] / เชี่ยววิทย์ ศรีวิเชียร, Author ; อุมาหฤทัย วรรณศรี, Associated Name ; วรเดช จันทรศร, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016 . - viii, 89 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-15
[MPA.[รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การจูงใจในการทำงาน -- เชียงราย
[LCSH]ข้าราชการตำรวจน้ำ -- การปฏิบัติหน้าที่Keywords: แรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ความรับผิดชอบและความสำเร็จของงาน
ความก้าวหน้าและความมั่นคง
นโยบายและการบริหารงาน
สภาพแวดล้อมในการทำงานAbstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันปราบปรามของข้าราชการตำรวจน้ำ กองกำกับการ 12 กองบังคับตำรวจน้ำจังหวัดเชียงราย 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันปราบปรามของข้าราชการตำรวจน้ำ กองกำกับการ 12 กองบังคับตำรวจน้ำจังหวัดเชียงราย 3)เพื่อศึกษาปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันปราบปรามของข้าราชการตำรวจน้ำ กองกำกับการ 12 กองบังคับตำรวจน้ำจังหวัดเชียงรายการศึกษาวิจัยนี้เป็นการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้ขนาดกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 129 ตัวอย่าง ในการสรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลของข้าราชการตำรวจน้ำ กองกำกับการ 12 กองบังคับการตำรวจน้ำ จังหวัดเชียงรายเป็นข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ ได้แก่ 1. เพศ 2. อายุ 3. สถานภาพสมรส 4. การศึกษา 5.ประสบการณ์การทำงาน และ 6.รายได้เป็นการแจกแจงจำนวน (ความถี่) และร้อยละ จากการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามจากข้อมูลส่วนบุคคลของข้าราชการตำรวจน้ำ กองกำกับการ 12 กองบังคับการตำรวจน้ำ จังหวัดเชียงรายเป็นข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 36-45 ปี สถานภาพสมรสแล้ว มีการศึกษาระดับปริญญาตรีมีประสบการณ์การทำงาน ระหว่าง 16-20 ปี และรายได้อยู่ระหว่าง10,001 – 20,000 บาทในการสรุปผลการวิจัยเกี่ยวกับปัจจัยที่สำคัญ 7 ด้าน ประกอบด้วย ด้านความรับผิดชอบ และความสำเร็จของงานด้านความก้าวหน้าและความมั่นคง ด้านการยอมรับนับถือด้านความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นด้านนโยบายและการบริหารงาน ด้านเงินเดือนและสวัสดิการ ด้านสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันปราบปรามของข้าราชการตำรวจน้ำ กองกำกับการ 12 กองบังคับการตำรวจน้ำ จังหวัดเชียงราย โดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีข้อเสนอแนะของการศึกษาค้นคว้าควรจัดให้มีองค์ประกอบด้านการกระตุ้นเกี่ยวกับงานซึ่งอาจทำได้หลายลักษณะด้วยกัน วิธีที่ยอมรับกันมากวิธีหนึ่งคือ การกระจายงานได้แก่ลดการเข้มงวดและเปิดโอกาสให้มีการใช้เหตุผลและความรับผิดชอบในงานให้มากขึ้น จัดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำทำงานร่วมกันเป็นหน่วยเดียวที่มีความสมบูรณ์ในตัวมากกว่าที่จะแยกกันทำงานตามลำพังเป็นส่วน ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำมากขึ้นในการตัดสินใจและการปฏิบัติและให้มีอิสระบ้างในการดำเนินงาน จัดให้มีการประชาสัมพันธ์รายงานผลผลิตต่อผู้ปฏิบัติโดยตรงอย่างสม่ำเสมอและบ่อย ๆมากขึ้น กระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำลองทำงานใหม่ ๆและงานที่มีความยากมากขึ้น ซึ่งจะสร้างแรงจูงใจให้พยายามและก้าวหน้ามากขึ้น และมีการมอบงานพิเศษให้ทำเพื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำจะได้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่าง อาจเป็นด้านปฏิบัติหรือกระบวนการทำงานหรือการพัฒนาการคิดของพนักงานแต่ละคน Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26545 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000591857 SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-15 c.2 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available 32002000591865 SIU IS-T: IPAG-MPA-2016-15 c.1 SIU Independent Study Main Library Thesis Corner Available SIU RS-T. การทดสอบแบบไม่ทำลายด้วยรังสีแกมม่า / เติมชัย พรดุษฎีกุล / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2014
Collection Title: SIU RS-T Title : การทดสอบแบบไม่ทำลายด้วยรังสีแกมม่า Original title : Nondestructive Testing by Gamma Ray Material Type: printed text Authors: เติมชัย พรดุษฎีกุล, Author ; วุฑฒิ พันธุมนาวิน, Associated Name ; ชัญญา โภคะสุวรรณ, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2014 Pagination: viii, 46 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU RS-T: SOMT-MSMT-2014-03
RS-T. [MSMT.[Management Technology]] -- Shinawatra University, 2014.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]รังสี -- การสำรวจ
[LCSH]รังสีแกรมมา -- การทดสอบKeywords: การทดสอบแบบไม่ทำลาย (Non Destructive Testing)
รังสีแกมม่า (Gamma rays)
รังสีเอ๊กซ์ (X rays)
เทคนิคการทดสอบแบบผนังชั้นเดียว (Single wall technics)
เทคนิคการทดสอบแบบผนังสองชั้น (Double wall technics)Abstract: การทดสอบแบบไม่ทำลายเป็นเทคโนโลยีที่มีการใช้แพร่หลายมานานแล้ว ตั้งแต่คริสตศักราช 1800 โดยเทคนิคเทอร์โมกราฟฟี และมีการพัฒนาขึ้นมาโดยลำดับตามความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เพิ่มมากขึ้น จนถึงเทคโนโลยีใหม่เช่น X-rays (รังสีเอ็กซ์), Laser (เลเซอร์) ก็สามารถนำมาประยุกต์เป็นการทดสอบแบบไม่ทำลายได้ ในการศึกษาวิจัยนี้ ได้นำการทดสอบแบบไม่ทำลายในระบบของรังสี คือ Gamma rays (รังสีแกมม่า) และรังสีเอ็กซ์ ได้ศึกษาโดยละเอียดโดยการนำไปใช้ทดสอบรอยเชื่อมในท่อส่งน้ำมัน และได้ศึกษาการเปรียบเทียบไว้ โดยสรุปได้ว่ารังสีเอ็กซ์เป็นที่น่าสนใจมากกว่า นอกเหนือจากการนำรังสีเอ็กซ์ไปใช้ในทางการแพทย์ ในประเทศไทยควรมีการนำเอารังสีเอ็กซ์มาใช้ในการทดสอบแบบไม่ทำลายในอุตสาหกรรม เช่น การทดสอบความบกพร่องในท่อส่งน้ำมัน และอื่นๆ Curricular : BSMT/GE/MSMT Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26547 SIU RS-T. การทดสอบแบบไม่ทำลายด้วยรังสีแกมม่า = Nondestructive Testing by Gamma Ray [printed text] / เติมชัย พรดุษฎีกุล, Author ; วุฑฒิ พันธุมนาวิน, Associated Name ; ชัญญา โภคะสุวรรณ, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2014 . - viii, 46 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU RS-T: SOMT-MSMT-2014-03
RS-T. [MSMT.[Management Technology]] -- Shinawatra University, 2014.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]รังสี -- การสำรวจ
[LCSH]รังสีแกรมมา -- การทดสอบKeywords: การทดสอบแบบไม่ทำลาย (Non Destructive Testing)
รังสีแกมม่า (Gamma rays)
รังสีเอ๊กซ์ (X rays)
เทคนิคการทดสอบแบบผนังชั้นเดียว (Single wall technics)
เทคนิคการทดสอบแบบผนังสองชั้น (Double wall technics)Abstract: การทดสอบแบบไม่ทำลายเป็นเทคโนโลยีที่มีการใช้แพร่หลายมานานแล้ว ตั้งแต่คริสตศักราช 1800 โดยเทคนิคเทอร์โมกราฟฟี และมีการพัฒนาขึ้นมาโดยลำดับตามความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เพิ่มมากขึ้น จนถึงเทคโนโลยีใหม่เช่น X-rays (รังสีเอ็กซ์), Laser (เลเซอร์) ก็สามารถนำมาประยุกต์เป็นการทดสอบแบบไม่ทำลายได้ ในการศึกษาวิจัยนี้ ได้นำการทดสอบแบบไม่ทำลายในระบบของรังสี คือ Gamma rays (รังสีแกมม่า) และรังสีเอ็กซ์ ได้ศึกษาโดยละเอียดโดยการนำไปใช้ทดสอบรอยเชื่อมในท่อส่งน้ำมัน และได้ศึกษาการเปรียบเทียบไว้ โดยสรุปได้ว่ารังสีเอ็กซ์เป็นที่น่าสนใจมากกว่า นอกเหนือจากการนำรังสีเอ็กซ์ไปใช้ในทางการแพทย์ ในประเทศไทยควรมีการนำเอารังสีเอ็กซ์มาใช้ในการทดสอบแบบไม่ทำลายในอุตสาหกรรม เช่น การทดสอบความบกพร่องในท่อส่งน้ำมัน และอื่นๆ Curricular : BSMT/GE/MSMT Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26547 Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000591899 SIU RS-T: SOMT-MSMT-2014-03 c.1 SIU Research Study Main Library Library Counter Not for loan 32002000591923 SIU RS-T: SOMT-MSMT-2014-03 c.2 SIU Research Study Main Library Library Counter Not for loan SIU RS-T. การศึกษาการปนเปื้อนของกัมมันตธาตุซีเซียม-134 ,ซีเซียม-137 และไอโอดีน ในนมวัว เนื่องมาจากอุบัติเหตุของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุคุชิมะ ไดอิชิ / อัญชลี ฉั่วประดิษฐ์ภัณฑ์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2014
Collection Title: SIU RS-T Title : การศึกษาการปนเปื้อนของกัมมันตธาตุซีเซียม-134 ,ซีเซียม-137 และไอโอดีน ในนมวัว เนื่องมาจากอุบัติเหตุของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุคุชิมะ ไดอิชิ Original title : Contamination of Cs-134, Cs.-137 in Milk from Fukushima Diichi Material Type: printed text Authors: อัญชลี ฉั่วประดิษฐ์ภัณฑ์, Author ; วุฑฒิ พันธุมนาวิน, Associated Name ; ปิยพร ณ นคร, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2014 Pagination: vii, 51 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU RS-T: SOMT-MSMT-2014-04
RS-T. [MSMT.[Management Technology]] -- Shinawatra University, 2014.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]นมวัว -- การปนเปื้อน
[LCSH]โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ -- แง่สิ่งแวดล้อมKeywords: โรงไฟฟ้านิวเคลียร์
ไอโซโทปกัมมันตธาตุ ซีเซียม -134, 137 และไอโอดีน-131
การระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ฟุคุชิมะ ไดอิชิ
การลดการเปื้อนในดิน, นมวัวAbstract: ในการศึกษาวิจัยนี้ได้ทำการศึกษาการปนเปื้อนกัมมันตธาตุซีเซียม-134, ซีเซียม-137 และไอโอดีน ในนมวัว เนื่องมาจากอุบัติเหตุของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ฟุคุชิมะ ไดอิชิ ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 จากการศึกษาผลกระทบของกัมมันตภาพรังสีหลังโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกิดระเบิด ต่อการผลิตนมวัวและน้ำประปา โดยเฉพาะ ไอโอดีน-131 ละลายน้ำได้แต่อายุครึ่งซีวิตสั้น เพียง 8 วัน จึงมีส่งผลกระทบระยะยาว ส่วนกัมมันตธาตุซีเซียม-134 และ ซีเซียม-137 ยังมีผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร จึงทำการศึกษาเรื่องการลดการปนเปื้อนจากดิน และสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อนมวัว Curricular : BSMT/GE/MSMT Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26548 SIU RS-T. การศึกษาการปนเปื้อนของกัมมันตธาตุซีเซียม-134 ,ซีเซียม-137 และไอโอดีน ในนมวัว เนื่องมาจากอุบัติเหตุของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุคุชิมะ ไดอิชิ = Contamination of Cs-134, Cs.-137 in Milk from Fukushima Diichi [printed text] / อัญชลี ฉั่วประดิษฐ์ภัณฑ์, Author ; วุฑฒิ พันธุมนาวิน, Associated Name ; ปิยพร ณ นคร, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2014 . - vii, 51 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU RS-T: SOMT-MSMT-2014-04
RS-T. [MSMT.[Management Technology]] -- Shinawatra University, 2014.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]นมวัว -- การปนเปื้อน
[LCSH]โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ -- แง่สิ่งแวดล้อมKeywords: โรงไฟฟ้านิวเคลียร์
ไอโซโทปกัมมันตธาตุ ซีเซียม -134, 137 และไอโอดีน-131
การระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ฟุคุชิมะ ไดอิชิ
การลดการเปื้อนในดิน, นมวัวAbstract: ในการศึกษาวิจัยนี้ได้ทำการศึกษาการปนเปื้อนกัมมันตธาตุซีเซียม-134, ซีเซียม-137 และไอโอดีน ในนมวัว เนื่องมาจากอุบัติเหตุของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ฟุคุชิมะ ไดอิชิ ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 จากการศึกษาผลกระทบของกัมมันตภาพรังสีหลังโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกิดระเบิด ต่อการผลิตนมวัวและน้ำประปา โดยเฉพาะ ไอโอดีน-131 ละลายน้ำได้แต่อายุครึ่งซีวิตสั้น เพียง 8 วัน จึงมีส่งผลกระทบระยะยาว ส่วนกัมมันตธาตุซีเซียม-134 และ ซีเซียม-137 ยังมีผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร จึงทำการศึกษาเรื่องการลดการปนเปื้อนจากดิน และสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อนมวัว Curricular : BSMT/GE/MSMT Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26548 Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000591915 SIU RS-T: SOMT-MSMT-2014-04 c.1 SIU Research Study Main Library Library Counter Not for loan 32002000591949 SIU RS-T: SOMT-MSMT-2014-04 c.2 SIU Research Study Main Library Library Counter Not for loan SIU THE-T. บทบาทของสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ดในการพัฒนาจังหวัดบุรีรัมย์ / รัฐชาติ ทัศนัย / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2016
Collection Title: SIU THE-T Title : บทบาทของสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ดในการพัฒนาจังหวัดบุรีรัมย์ Original title : The Role of Buriram United Football Club in the Development of Buriram Province Material Type: printed text Authors: รัฐชาติ ทัศนัย, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; อุมาหฤทัย วรรณศรี, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2016 Pagination: ฐ, 243 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2016-05
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.รป.ด.]] มหาวิทยาลัยชินวัตร.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การพัฒนาเมือง -- ไทย -- บุรีรัมย์
[LCSH]ฟุตบอล -- แง่เศรษฐกิจ
[LCSH]สโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ด -- การบริหารKeywords: การบริหารจัดการสโมสรฟุตบอล
การพัฒนาจังหวัดAbstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษากระบวนการบริหารจัดการทีมฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ด 2) เพื่อศึกษาผลของการพัฒนาจังหวัดบุรีรัมย์ผ่านการบริหารจัดการทีมฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ด 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาจังหวัดบุรีรัมย์ผ่านการบริหารจัดการทีมฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ด 4) เพื่อสร้างองค์ความรู้ทางทฤษฏีว่ามีปัจจัยภายใต้ทฤษฏีใดที่อธิบายการพัฒนาจังหวัดผ่านการบริหารจัดการทีมฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ด โดยใช้การวิจัยแบบผสานวิธี คือ การวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 390 คน ด้วยการสุ่มอย่างง่ายจากประชาชนที่เข้าชมการแข่งขันฟุตบอลที่สนามนิวไอโมบายสเตเดียม จังหวัดบุรีรัมย์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงแบนมาตรฐาน และสถิติอนุมาน ใช้การวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุ สำหรับวิชัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการค้นคว้าผ่านเอกสาร สื่อออนไลน์ การสังเกตการณ์ และการสัมภาษณ์เชิงลึกโดยเก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 11 คน Curricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26550 SIU THE-T. บทบาทของสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ดในการพัฒนาจังหวัดบุรีรัมย์ = The Role of Buriram United Football Club in the Development of Buriram Province [printed text] / รัฐชาติ ทัศนัย, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; อุมาหฤทัย วรรณศรี, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016 . - ฐ, 243 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: IPAG-DPA-2016-05
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.รป.ด.]] มหาวิทยาลัยชินวัตร.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การพัฒนาเมือง -- ไทย -- บุรีรัมย์
[LCSH]ฟุตบอล -- แง่เศรษฐกิจ
[LCSH]สโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ด -- การบริหารKeywords: การบริหารจัดการสโมสรฟุตบอล
การพัฒนาจังหวัดAbstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษากระบวนการบริหารจัดการทีมฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ด 2) เพื่อศึกษาผลของการพัฒนาจังหวัดบุรีรัมย์ผ่านการบริหารจัดการทีมฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ด 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาจังหวัดบุรีรัมย์ผ่านการบริหารจัดการทีมฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ด 4) เพื่อสร้างองค์ความรู้ทางทฤษฏีว่ามีปัจจัยภายใต้ทฤษฏีใดที่อธิบายการพัฒนาจังหวัดผ่านการบริหารจัดการทีมฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ด โดยใช้การวิจัยแบบผสานวิธี คือ การวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 390 คน ด้วยการสุ่มอย่างง่ายจากประชาชนที่เข้าชมการแข่งขันฟุตบอลที่สนามนิวไอโมบายสเตเดียม จังหวัดบุรีรัมย์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา ได้แก่ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงแบนมาตรฐาน และสถิติอนุมาน ใช้การวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุ สำหรับวิชัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการค้นคว้าผ่านเอกสาร สื่อออนไลน์ การสังเกตการณ์ และการสัมภาษณ์เชิงลึกโดยเก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 11 คน Curricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26550 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000590461 SIU THE-T: IPAG-DPA-2016-05 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000591956 SIU THE-T: IPAG-DPA-2016-05 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. แนวทางการยอมรับการไกล่เกลี่ยของคู่พิพาทในศาลยุติธรรม / สมบัติ อรรถพิมล / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2016
Collection Title: SIU THE-T Title : แนวทางการยอมรับการไกล่เกลี่ยของคู่พิพาทในศาลยุติธรรม Original title : Approaches that Lead Disputing Parties to Consensual Acceptance of Mediation in the Court of Justice Material Type: printed text Authors: สมบัติ อรรถพิมล, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; สมชาย รัตนโกมุท, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2016 Pagination: x, 267 น. Layout: ภาพประกอบ, ตาราง Size: 30 ซม. Price: 500.00 General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2016-06
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.รป.ด.]] มหาวิทยาลัยชินวัตร.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]กระบวนการยุติธรรม -- ไทย
[LCSH]การระงับข้อพิพาท
[LCSH]การไกล่เกลี่ยKeywords: การไกล่เกลี่ย
การยอมรับ
ข้อพิพาท
ยุติธรรมทางเลือก
ศาลยุติธรรมAbstract: การระงับข้อพิพาทโดยศาลยุติธรรมดำเนินการโดย 2 ลักษณะวิธี คือ โดยการสืบพยานหลักฐานและมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสิน กับโดยการไกล่เกลี่ยประนอมข้อพิพาท
วัตถุประสงค์ของการศึกษา ศึกษาสภาพปัญหาที่คู่พิพาทยอมรับการไกล่เกลี่ย หลักแนวคิด หลักทฤษฎีที่อยู่เบื้องหลังการยอมรับการไกล่เกลี่ย เพื่อนำเสนอแนวทางที่เป็นตัวแบบที่ใช้ในการไกล่เกลี่ย และศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ วุฒิการศึกษา สถานภาพ และประสบการณ์ในการไกล่เกลี่ยที่แตกต่างกันมีผลต่อผู้เข้าเจรจาไกล่เกลี่ยแตกต่างกัน โดยผู้วิจัยเสนอแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการไกล่เกลี่ย 4 แนวคิดทฤษฎี คือ แนวคิดหลักการเจรจา แนวคิดทฤษฎีความขัดแย้ง แนวคิดทฤษฎีหลักความยุติธรรม และแนวคิดทฤษฎีหลักธรรมทางศาสนา ตัวแปรต้น ได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคล แนวทางการแก้ไขปัญหาและแนวคิดทฤษฎี ตัวแปรตาม คือ การยอมรับการไกล่เกลี่ย
ระเบียบวิธีวิจัย เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบผสมระหว่างวิจัยเชิงคุณภาพ กับการวิจัยเชิงปริมาณ อาศัยข้อมูลจากเอกสาร จากการสัมภาษณ์เชิงลึก จากการสังเกตการณ์ และจากคำตอบแบบสอบถามประชากรกลุ่มเป้าหมาย การวิจัยเชิงคุณภาพนอกจากข้อมูลทางเอกสารแล้วได้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหารศาล 3 ท่าน ได้แก่ ประธานศาลฎีกา อธิบดีผู้พิพากษาภาค 1 และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงดุสิต และสัมภาษณ์เชิงลึกบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดีที่ไกล่เกลี่ยสำเร็จของศาลแขวงดุสิต 10 คดี ได้แก่ โจทก์ ทนายโจทก์ ผู้เสียหาย จำเลย ทนายจำเลย และผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย รวม 48 คน รวมทั้งสิ้น 51 คน และจากการเข้าสังเกตการณ์การไกล่เกลี่ย ส่วนการวิจัยเชิงปริมาณได้ข้อมูลจากคำตอบแบบสอบถามประชากรกลุ่มเป้าหมายเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดีที่ไกล่เกลี่ยสำเร็จของศาลแขวงดุสิตในปี 2557 จำนวน 492 คดี ประชากร 2,000 คน สุ่มตัวอย่างได้ 370 คน เก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมดนำมาวิเคราะห์เนื้อหาความถี่ทางสถิติและความแปรปรวน สรุปเป็นข้อค้นพบ และข้อเสนอแนะ
ผลการวิจัยเชิงคุณภาพ พบว่า ผู้บริหารศาล มีความคิดเห็นที่สำคัญ 6 ประการ คือ 1) พึงพอใจในกระบวนการไกล่เกลี่ยของศาล 2) ผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยควรเป็นผู้มีความรู้ทางด้านกฎหมายและเทคนิคการเจรจาต่อรอง 3) การไกล่เกลี่ยจำเป็นต้องอาศัยแนวคิดทฤษฎีต่าง ๆ ซึ่งเป็นวิชาการที่ถูกคิดค้น และเป็นที่ยอมรับเป็นพื้นฐานในการเจรจาไกล่เกลี่ย ได้แก่ แนวคิดหลักการเจรจา แนวคิดทฤษฎีความขัดแย้ง แนวคิดทฤษฎีหลักความยุติธรรม และแนวคิดทฤษฎีหลักธรรมทางศาสนา ประกอบกัน 4) ไม่มีทฤษฎีใดดีที่สุด แต่ใช้หลายทฤษฎีประกอบกัน 5) ไม่เห็นด้วยที่ผู้ประนีประนอมคนหนึ่งทำหน้าที่หลายศาล และไม่เห็นด้วยที่ผู้พิพากษาสมทบไปเป็นผู้ประนีประนอมในศาลอื่น 6) ประสบการณ์ของผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยเป็นสิ่งสำคัญที่สร้างความเชื่อถือแก่คู่พิพาท ผู้พิพากษาอาวุโสเหมาะแก่การเป็นผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย
บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการไกล่เกลี่ยคดีตัวอย่าง 10 คดี มีความคิดเห็นที่สำคัญ 4 ประการ คือ 1) คู่พิพาทและบุคคลที่เกี่ยวข้องที่เข้าไกล่เกลี่ยทุกคนพอใจกระบวนการไกล่เกลี่ยของศาล
2) บทบาทสำคัญของผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยคือ เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งแก่คู่พิพาท 3) เหตุผลการยอมรับการไกล่เกลี่ยเพราะมีการผ่อนปรนลดหนี้ให้แก่กัน และเพราะเชื่อถือในความเป็นกลางของผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย 4) แนวคิดทฤษฎีที่ใช้ในการไกล่เกลี่ย ได้แก่ แนวคิดหลักการเจรจา แนวคิดทฤษฎีความขัดแย้ง แนวคิดทฤษฎีหลักความยุติธรรม และแนวคิดทฤษฎีหลักธรรมทางศาสนา ประกอบกันCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26551 SIU THE-T. แนวทางการยอมรับการไกล่เกลี่ยของคู่พิพาทในศาลยุติธรรม = Approaches that Lead Disputing Parties to Consensual Acceptance of Mediation in the Court of Justice [printed text] / สมบัติ อรรถพิมล, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; สมชาย รัตนโกมุท, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2016 . - x, 267 น. : ภาพประกอบ, ตาราง ; 30 ซม.
500.00
SIU THE-T: IPAG-DPA-2016-06
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.รป.ด.]] มหาวิทยาลัยชินวัตร.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]กระบวนการยุติธรรม -- ไทย
[LCSH]การระงับข้อพิพาท
[LCSH]การไกล่เกลี่ยKeywords: การไกล่เกลี่ย
การยอมรับ
ข้อพิพาท
ยุติธรรมทางเลือก
ศาลยุติธรรมAbstract: การระงับข้อพิพาทโดยศาลยุติธรรมดำเนินการโดย 2 ลักษณะวิธี คือ โดยการสืบพยานหลักฐานและมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสิน กับโดยการไกล่เกลี่ยประนอมข้อพิพาท
วัตถุประสงค์ของการศึกษา ศึกษาสภาพปัญหาที่คู่พิพาทยอมรับการไกล่เกลี่ย หลักแนวคิด หลักทฤษฎีที่อยู่เบื้องหลังการยอมรับการไกล่เกลี่ย เพื่อนำเสนอแนวทางที่เป็นตัวแบบที่ใช้ในการไกล่เกลี่ย และศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ วุฒิการศึกษา สถานภาพ และประสบการณ์ในการไกล่เกลี่ยที่แตกต่างกันมีผลต่อผู้เข้าเจรจาไกล่เกลี่ยแตกต่างกัน โดยผู้วิจัยเสนอแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการไกล่เกลี่ย 4 แนวคิดทฤษฎี คือ แนวคิดหลักการเจรจา แนวคิดทฤษฎีความขัดแย้ง แนวคิดทฤษฎีหลักความยุติธรรม และแนวคิดทฤษฎีหลักธรรมทางศาสนา ตัวแปรต้น ได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคล แนวทางการแก้ไขปัญหาและแนวคิดทฤษฎี ตัวแปรตาม คือ การยอมรับการไกล่เกลี่ย
ระเบียบวิธีวิจัย เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบผสมระหว่างวิจัยเชิงคุณภาพ กับการวิจัยเชิงปริมาณ อาศัยข้อมูลจากเอกสาร จากการสัมภาษณ์เชิงลึก จากการสังเกตการณ์ และจากคำตอบแบบสอบถามประชากรกลุ่มเป้าหมาย การวิจัยเชิงคุณภาพนอกจากข้อมูลทางเอกสารแล้วได้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหารศาล 3 ท่าน ได้แก่ ประธานศาลฎีกา อธิบดีผู้พิพากษาภาค 1 และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงดุสิต และสัมภาษณ์เชิงลึกบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดีที่ไกล่เกลี่ยสำเร็จของศาลแขวงดุสิต 10 คดี ได้แก่ โจทก์ ทนายโจทก์ ผู้เสียหาย จำเลย ทนายจำเลย และผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย รวม 48 คน รวมทั้งสิ้น 51 คน และจากการเข้าสังเกตการณ์การไกล่เกลี่ย ส่วนการวิจัยเชิงปริมาณได้ข้อมูลจากคำตอบแบบสอบถามประชากรกลุ่มเป้าหมายเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดีที่ไกล่เกลี่ยสำเร็จของศาลแขวงดุสิตในปี 2557 จำนวน 492 คดี ประชากร 2,000 คน สุ่มตัวอย่างได้ 370 คน เก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมดนำมาวิเคราะห์เนื้อหาความถี่ทางสถิติและความแปรปรวน สรุปเป็นข้อค้นพบ และข้อเสนอแนะ
ผลการวิจัยเชิงคุณภาพ พบว่า ผู้บริหารศาล มีความคิดเห็นที่สำคัญ 6 ประการ คือ 1) พึงพอใจในกระบวนการไกล่เกลี่ยของศาล 2) ผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยควรเป็นผู้มีความรู้ทางด้านกฎหมายและเทคนิคการเจรจาต่อรอง 3) การไกล่เกลี่ยจำเป็นต้องอาศัยแนวคิดทฤษฎีต่าง ๆ ซึ่งเป็นวิชาการที่ถูกคิดค้น และเป็นที่ยอมรับเป็นพื้นฐานในการเจรจาไกล่เกลี่ย ได้แก่ แนวคิดหลักการเจรจา แนวคิดทฤษฎีความขัดแย้ง แนวคิดทฤษฎีหลักความยุติธรรม และแนวคิดทฤษฎีหลักธรรมทางศาสนา ประกอบกัน 4) ไม่มีทฤษฎีใดดีที่สุด แต่ใช้หลายทฤษฎีประกอบกัน 5) ไม่เห็นด้วยที่ผู้ประนีประนอมคนหนึ่งทำหน้าที่หลายศาล และไม่เห็นด้วยที่ผู้พิพากษาสมทบไปเป็นผู้ประนีประนอมในศาลอื่น 6) ประสบการณ์ของผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยเป็นสิ่งสำคัญที่สร้างความเชื่อถือแก่คู่พิพาท ผู้พิพากษาอาวุโสเหมาะแก่การเป็นผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย
บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการไกล่เกลี่ยคดีตัวอย่าง 10 คดี มีความคิดเห็นที่สำคัญ 4 ประการ คือ 1) คู่พิพาทและบุคคลที่เกี่ยวข้องที่เข้าไกล่เกลี่ยทุกคนพอใจกระบวนการไกล่เกลี่ยของศาล
2) บทบาทสำคัญของผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยคือ เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งแก่คู่พิพาท 3) เหตุผลการยอมรับการไกล่เกลี่ยเพราะมีการผ่อนปรนลดหนี้ให้แก่กัน และเพราะเชื่อถือในความเป็นกลางของผู้ทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย 4) แนวคิดทฤษฎีที่ใช้ในการไกล่เกลี่ย ได้แก่ แนวคิดหลักการเจรจา แนวคิดทฤษฎีความขัดแย้ง แนวคิดทฤษฎีหลักความยุติธรรม และแนวคิดทฤษฎีหลักธรรมทางศาสนา ประกอบกันCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=26551 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000591972 SIU THE-T: IPAG-DPA-2016-06 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000592004 SIU THE-T: IPAG-DPA-2016-06 c.2 Thesis Graduate Library Thesis Corner Available