From this page you can:
Home |
Search results
3 result(s) search for keyword(s) 'พฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่.ผู้ป่วยหลังผ่าตัด.CAGB.การรับรู้ประโยชน์.การรับรู็อุปสรรคการรับรู้สมรรถนะแห่งตน'
Add the result to your basket Refine your search Apply to external sources Make a suggestion
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่ / ชนิดา รำขวัญ in วารสารพยาบาลโรคหัวใจและทรวงอก, Vol.27 No.2 (ก.ค-ธ.ค) 2559/2016 ([11/16/2017])
[article]
Title : ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่ : ในผู้ป่วยหลังผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ Original title : Factors related to smoking cessation behavior among patients after coronary artery bypass graft Material Type: printed text Authors: ชนิดา รำขวัญ, Author ; กุสุมา คุววัฒนสัมฤทธิ์, Author ; อรสา พันธ์ภักดี, Author Publication Date: 2017 Article on page: p.2-16 Languages : Thai (tha) Original Language : Thai (tha)
in วารสารพยาบาลโรคหัวใจและทรวงอก > Vol.27 No.2 (ก.ค-ธ.ค) 2559/2016 [11/16/2017] . - p.2-16Keywords: พฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่.ผู้ป่วยหลังผ่าตัด.CAGB.การรับรู้ประโยชน์.การรับรู็อุปสรรคการรับรู้สมรรถนะแห่งตน Abstract: การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงบรรยายมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ กับพฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่ในผู้ป่วยหลังผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Bypass Graft: CABG) ภายใต้กรอบแนวคิดทฤษฎีส่งเสริมสุขภาพของเพนเดอร์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เป็นผู้ป่วยหลังผ่าตัด CABG อย่างน้อย 6 เดือน มีประวัติการสูบบุหรี่ หรือเลิกสูบบุหรี่ จำนวน 146 คน เก็บข้อมูลผู้ป่วยที่มาตรวจตามนัดที่หน่วยตรวจผู้ป่วยนอกแผนกศัลยกรรมโรงพยาบาลรามาธิบดี โดยใช้แบบสอบถาม 2 ชุดคือ ชุดที่ 1 แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล ชุดที่ 2 แบบสอบถามความคิดและอารมณ์ที่มีต่อพฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการทดสอบสถิติไคสแควร์และสหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน
ผลการศึกษา พบว่า CABG (\dpi{200} ^{x}2 = 5.36, p <.05) แลยังพบว่า ระดับการติดนิโคติน การรับรู้ประโยชน์ของการเลิกสูบบุหรี่ การรับรู้อุปสรรคของการเลิกสูบบุหรี่ และการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการเลิกสูบบุหรี่มีความสัมพันธ์ กับพฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่หลังผ่าตัด CABG (r = -.921, r = .316, r = -.443 และ r = .563, p <.01) ตามลำดับ
ผลการวิจัยครั้งนี้เสนอแนะว่า พยาบาลควรคำนึงถึงปัจจัย เพศ ระดับการติดนิโคติน การรับรู้ประโยชน์ของการเลิกสูบบุหรี่ การรับรู้อุปสรรคของการเลิกสูบบุหรี่และการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการเลิกสูบบุหรี่ เพื่อใช้ในการประเมินและการพิจารณาการแก้ไขปัญหาการสูบบุหรี่ในผู้ป่วยหลังผ่าตัด และส่งเสริมให้ผู้ป่วยสามารถเลิกบุหรี่ได้มากขึ้น ส่งผลให้ลดปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับการเกิดโรคหัวใจ และลดการกลับเป็นซ้ำของโรคหลอดเลือดหัวใจได้เพิ่มขึ้นRecord link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27485 [article] ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่ = Factors related to smoking cessation behavior among patients after coronary artery bypass graft : ในผู้ป่วยหลังผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ [printed text] / ชนิดา รำขวัญ, Author ; กุสุมา คุววัฒนสัมฤทธิ์, Author ; อรสา พันธ์ภักดี, Author . - 2017 . - p.2-16.
Languages : Thai (tha) Original Language : Thai (tha)
in วารสารพยาบาลโรคหัวใจและทรวงอก > Vol.27 No.2 (ก.ค-ธ.ค) 2559/2016 [11/16/2017] . - p.2-16Keywords: พฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่.ผู้ป่วยหลังผ่าตัด.CAGB.การรับรู้ประโยชน์.การรับรู็อุปสรรคการรับรู้สมรรถนะแห่งตน Abstract: การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงบรรยายมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ กับพฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่ในผู้ป่วยหลังผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Bypass Graft: CABG) ภายใต้กรอบแนวคิดทฤษฎีส่งเสริมสุขภาพของเพนเดอร์ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เป็นผู้ป่วยหลังผ่าตัด CABG อย่างน้อย 6 เดือน มีประวัติการสูบบุหรี่ หรือเลิกสูบบุหรี่ จำนวน 146 คน เก็บข้อมูลผู้ป่วยที่มาตรวจตามนัดที่หน่วยตรวจผู้ป่วยนอกแผนกศัลยกรรมโรงพยาบาลรามาธิบดี โดยใช้แบบสอบถาม 2 ชุดคือ ชุดที่ 1 แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล ชุดที่ 2 แบบสอบถามความคิดและอารมณ์ที่มีต่อพฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการทดสอบสถิติไคสแควร์และสหสัมพันธ์แบบสเปียร์แมน
ผลการศึกษา พบว่า CABG (\dpi{200} ^{x}2 = 5.36, p <.05) แลยังพบว่า ระดับการติดนิโคติน การรับรู้ประโยชน์ของการเลิกสูบบุหรี่ การรับรู้อุปสรรคของการเลิกสูบบุหรี่ และการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการเลิกสูบบุหรี่มีความสัมพันธ์ กับพฤติกรรมการเลิกสูบบุหรี่หลังผ่าตัด CABG (r = -.921, r = .316, r = -.443 และ r = .563, p <.01) ตามลำดับ
ผลการวิจัยครั้งนี้เสนอแนะว่า พยาบาลควรคำนึงถึงปัจจัย เพศ ระดับการติดนิโคติน การรับรู้ประโยชน์ของการเลิกสูบบุหรี่ การรับรู้อุปสรรคของการเลิกสูบบุหรี่และการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการเลิกสูบบุหรี่ เพื่อใช้ในการประเมินและการพิจารณาการแก้ไขปัญหาการสูบบุหรี่ในผู้ป่วยหลังผ่าตัด และส่งเสริมให้ผู้ป่วยสามารถเลิกบุหรี่ได้มากขึ้น ส่งผลให้ลดปัจจัยเสี่ยงเกี่ยวกับการเกิดโรคหัวใจ และลดการกลับเป็นซ้ำของโรคหลอดเลือดหัวใจได้เพิ่มขึ้นRecord link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27485 ผลของโปรแกรมการสนับสนุนครอบครัวต่อการปรับตัวของญาติผู้ดูแลผู้ป่วย in วารสารสภาการพยาบาล, Vol.32 No.2 (Apr-Jun) 2017-2560 ([09/21/2017])
[article]
Title : ผลของโปรแกรมการสนับสนุนครอบครัวต่อการปรับตัวของญาติผู้ดูแลผู้ป่วย : หลังผ่าตัดสมองในหอผู้ป่วยวิกฤต Original title : The Effect of Family Support Program on Coping among Caregivers of Post-operative Neurosurgical Patients in ICU Material Type: printed text Publication Date: 2017 Article on page: p.49-64 Languages : Thai (tha) Original Language : Thai (tha)
in วารสารสภาการพยาบาล > Vol.32 No.2 (Apr-Jun) 2017-2560 [09/21/2017] . - p.49-64Keywords: การปรับตัว. โปรแกรมการสนับสนุนครอบครัว. ผู้ป่วยหลังผ่าตัดสมอง. ญาติผู้ดูแลหอผู้ป่วยวิกฤตประสาทศัลยศาสตร์. Abstract: วัตถุประสงค์ของการวิจัย: เพื่อเปรียบเทียบการปรับตัวของญาติผู้ดูแลกลุ่มที่ได้รับ
โปรแกรมการสนับสนุนครอบครัว กับ กลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ ตั้งแต่ผู้ป่วยเข้ารับ
การรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตจนครบ 3 วัน
การออกแบบการวิจัย: วิธีวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research)
การดำาเนินการวิจัย: กลุ่มตัวอย่างเป็นญาติผู้ดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัดสมอง จำนวน 60 ราย
แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่มๆ ละ 30 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยโปรแกรม
การสนับสนุนครอบครัวสำาหรับญาติผู้ดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัดสมอง และแบบสอบถามการปรับตัว
ฉบับย่อ (Brief COPE) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Wilcoxon signed-rank test และ MannWhitney U Test
ผลการวิจัย: ภายหลังญาติผู้ดูแลกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการสนับสนุนครอบครัว
มีการปรับตัวดีขึ้นกว่าก่อนได้รับโปรแกรม (p < 0.05) และดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติ (p < 0.05) กล่าวคือ ผลของโปรแกรม ส่งผลให้ญาติผู้ดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัดสมอง
สามารถใช้วิธีการปรับตัวเพื่อเผชิญกับสถานการณ์ความเจ็บป่วยของผู้ป่วยได้อย่างมีนัยสำคัญ
ข้อเสนอแนะ: พยาบาลควรนำาโปรแกรมการสนับสนุนครอบครัวไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ
การพยาบาลตั้งแต่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาเพื่อช่วยให้ญาติผู้ดูแลมีการปรับตัวเพื่อเผชิญกับ
สถานการณ์ที่พบขณะอยู่ในหอผู้ป่วยวิกฤตLink for e-copy: http://www.tci-thaijo.org/index.php/TJONC Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27356 [article] ผลของโปรแกรมการสนับสนุนครอบครัวต่อการปรับตัวของญาติผู้ดูแลผู้ป่วย = The Effect of Family Support Program on Coping among Caregivers of Post-operative Neurosurgical Patients in ICU : หลังผ่าตัดสมองในหอผู้ป่วยวิกฤต [printed text] . - 2017 . - p.49-64.
Languages : Thai (tha) Original Language : Thai (tha)
in วารสารสภาการพยาบาล > Vol.32 No.2 (Apr-Jun) 2017-2560 [09/21/2017] . - p.49-64Keywords: การปรับตัว. โปรแกรมการสนับสนุนครอบครัว. ผู้ป่วยหลังผ่าตัดสมอง. ญาติผู้ดูแลหอผู้ป่วยวิกฤตประสาทศัลยศาสตร์. Abstract: วัตถุประสงค์ของการวิจัย: เพื่อเปรียบเทียบการปรับตัวของญาติผู้ดูแลกลุ่มที่ได้รับ
โปรแกรมการสนับสนุนครอบครัว กับ กลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ ตั้งแต่ผู้ป่วยเข้ารับ
การรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตจนครบ 3 วัน
การออกแบบการวิจัย: วิธีวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research)
การดำาเนินการวิจัย: กลุ่มตัวอย่างเป็นญาติผู้ดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัดสมอง จำนวน 60 ราย
แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่มๆ ละ 30 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยโปรแกรม
การสนับสนุนครอบครัวสำาหรับญาติผู้ดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัดสมอง และแบบสอบถามการปรับตัว
ฉบับย่อ (Brief COPE) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Wilcoxon signed-rank test และ MannWhitney U Test
ผลการวิจัย: ภายหลังญาติผู้ดูแลกลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการสนับสนุนครอบครัว
มีการปรับตัวดีขึ้นกว่าก่อนได้รับโปรแกรม (p < 0.05) และดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติ (p < 0.05) กล่าวคือ ผลของโปรแกรม ส่งผลให้ญาติผู้ดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัดสมอง
สามารถใช้วิธีการปรับตัวเพื่อเผชิญกับสถานการณ์ความเจ็บป่วยของผู้ป่วยได้อย่างมีนัยสำคัญ
ข้อเสนอแนะ: พยาบาลควรนำาโปรแกรมการสนับสนุนครอบครัวไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ
การพยาบาลตั้งแต่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาเพื่อช่วยให้ญาติผู้ดูแลมีการปรับตัวเพื่อเผชิญกับ
สถานการณ์ที่พบขณะอยู่ในหอผู้ป่วยวิกฤตLink for e-copy: http://www.tci-thaijo.org/index.php/TJONC Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27356 ผลของโปรแกรมการออกก / กันตา ชื่นจิต in วารสารเกื้อการุณย์, Vol.24 No.1 (Jan-Jun) 2017/60 ([07/25/2017])
[article]
Title : ผลของโปรแกรมการออกก : ในผู้ป่วยหลังผ่าตัดช่องท้อง Original title : The Effect of Leg Exercise Combined with Reflexology on Femoral Venous Blood Flow Velocity in Post Abdominal Surgery Patients Material Type: printed text Authors: กันตา ชื่นจิต, Author ; นรลักขณ์ เอื้อกิจ, Author Publication Date: 2017 Article on page: p.163-178 Languages : Thai (tha) Original Language : Thai (tha)
in วารสารเกื้อการุณย์ > Vol.24 No.1 (Jan-Jun) 2017/60 [07/25/2017] . - p.163-178Keywords: ความเร็วในการไหลเวียนเลือดดำ.ภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน. ผู้ป่วยหลังผ่าตัดช่องท้อง. Abstract: การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการออกกำลังกาย
ขาร่วมกับการนวดกดจุดสะท้อนฝ่าเท้าต่อความเร็วในการไหลเวียนกลับของเลือดดำบริเวณขาหนีบ
ในผู้ป่วยหลังผ่าตัดช่องท้อง
กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่เพศชายและเพศหญิง อายุ 18-59 ปีที่ได้รับการผ่าตัดเปิดช่องท้องบริเวณหน้าท้องถึงเชิงกรานและใช้ระยะเวลาในการผ่าตัดมากกว่า45 นาที ที่หอผู้ป่วยศัลยกรรมหรือหอผู้ป่วยนรีเวช โรงพยาบาลตำรวจ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 22 คน โดยจับคู่ ระดับความเสี่ยงการเกิดภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน อายุ และเพศ กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ กลุ่มทดลองได้รับการพยาบาลตามปกติร่วมกับโปรแกรมการออกกำลังกายขาและการนวดกดจุดสะท้อนฝ่าเท้า เป็นเวลา 4 วัน วัดความความเร็วในการไหลเวียนกลับของเลือดดำบริเวณขาหนีบทั้งก่อนและหลังการทดลอง
เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1) โปรแกรมการออกกำลังกายขาร่วมกับการนวดกดจุดสะท้อนฝ่าเท้า ที่ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน 2)แบบสังเกตการออกกำลังกายขาร่วมกับการนวดกดจุดสะท้อนฝ่าเท้า หาค่าความเที่ยงด้วยค่าสหสัมพันธ์ระหว่าง ผู้สังเกตเท่ากับ 1 และ3) เครื่องฟังเสียงสะท้อนการไหลเวียนเลือด และ4) แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติทดสอบค่าที
ผลการวิจัย พบว่า
1. ความเร็วเฉลี่ยในการไหลเวียนกลับของเลือดดำบริเวณขาหนีบในผู้ป่วยหลังผ่าตัด
ช่องท้อง หลังได้รับโปรแกรมการออกกำลังกายขาร่วมกับการนวดกดจุดสะท้อนฝ่าเท้าสูงกว่า
ก่อนได้รับโปรแกรมการออกกำลังกายขาร่วมกับการนวดกดจุดสะท้อนฝ่าเท้า อย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติที่ระดับ .05
2. ความเร็วเฉลี่ยในการไหลเวียนกลับของเลือดำบริเวณขาหนีบในผู้ป่วยหลังผ่าตัด
ช่องท้อง กลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการออกกำลังกายขาร่วมกับการนวดกดจุดสะท้อนฝ่าเท้า สูงกว่า
กลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปประยุกต์เป็นแนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อเพิ่มความเร็วในการไหล
เวียนกลับของเลือดดำบริเวณขาหนีบเข้าสู่หัวใจ ลดความเสี่ยงการเกิดภาวะหลอดเลือดดLink for e-copy: http://www.kcn.ac.th/KCN-Journal/no1-2556.html Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27065 [article] ผลของโปรแกรมการออกก = The Effect of Leg Exercise Combined with Reflexology on Femoral Venous Blood Flow Velocity in Post Abdominal Surgery Patients : ในผู้ป่วยหลังผ่าตัดช่องท้อง [printed text] / กันตา ชื่นจิต, Author ; นรลักขณ์ เอื้อกิจ, Author . - 2017 . - p.163-178.
Languages : Thai (tha) Original Language : Thai (tha)
in วารสารเกื้อการุณย์ > Vol.24 No.1 (Jan-Jun) 2017/60 [07/25/2017] . - p.163-178Keywords: ความเร็วในการไหลเวียนเลือดดำ.ภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน. ผู้ป่วยหลังผ่าตัดช่องท้อง. Abstract: การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการออกกำลังกาย
ขาร่วมกับการนวดกดจุดสะท้อนฝ่าเท้าต่อความเร็วในการไหลเวียนกลับของเลือดดำบริเวณขาหนีบ
ในผู้ป่วยหลังผ่าตัดช่องท้อง
กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่เพศชายและเพศหญิง อายุ 18-59 ปีที่ได้รับการผ่าตัดเปิดช่องท้องบริเวณหน้าท้องถึงเชิงกรานและใช้ระยะเวลาในการผ่าตัดมากกว่า45 นาที ที่หอผู้ป่วยศัลยกรรมหรือหอผู้ป่วยนรีเวช โรงพยาบาลตำรวจ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง แบ่งเป็นกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง กลุ่มละ 22 คน โดยจับคู่ ระดับความเสี่ยงการเกิดภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน อายุ และเพศ กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ กลุ่มทดลองได้รับการพยาบาลตามปกติร่วมกับโปรแกรมการออกกำลังกายขาและการนวดกดจุดสะท้อนฝ่าเท้า เป็นเวลา 4 วัน วัดความความเร็วในการไหลเวียนกลับของเลือดดำบริเวณขาหนีบทั้งก่อนและหลังการทดลอง
เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1) โปรแกรมการออกกำลังกายขาร่วมกับการนวดกดจุดสะท้อนฝ่าเท้า ที่ผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน 2)แบบสังเกตการออกกำลังกายขาร่วมกับการนวดกดจุดสะท้อนฝ่าเท้า หาค่าความเที่ยงด้วยค่าสหสัมพันธ์ระหว่าง ผู้สังเกตเท่ากับ 1 และ3) เครื่องฟังเสียงสะท้อนการไหลเวียนเลือด และ4) แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติทดสอบค่าที
ผลการวิจัย พบว่า
1. ความเร็วเฉลี่ยในการไหลเวียนกลับของเลือดดำบริเวณขาหนีบในผู้ป่วยหลังผ่าตัด
ช่องท้อง หลังได้รับโปรแกรมการออกกำลังกายขาร่วมกับการนวดกดจุดสะท้อนฝ่าเท้าสูงกว่า
ก่อนได้รับโปรแกรมการออกกำลังกายขาร่วมกับการนวดกดจุดสะท้อนฝ่าเท้า อย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติที่ระดับ .05
2. ความเร็วเฉลี่ยในการไหลเวียนกลับของเลือดำบริเวณขาหนีบในผู้ป่วยหลังผ่าตัด
ช่องท้อง กลุ่มที่ได้รับโปรแกรมการออกกำลังกายขาร่วมกับการนวดกดจุดสะท้อนฝ่าเท้า สูงกว่า
กลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปประยุกต์เป็นแนวปฏิบัติการพยาบาลเพื่อเพิ่มความเร็วในการไหล
เวียนกลับของเลือดดำบริเวณขาหนีบเข้าสู่หัวใจ ลดความเสี่ยงการเกิดภาวะหลอดเลือดดLink for e-copy: http://www.kcn.ac.th/KCN-Journal/no1-2556.html Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27065