From this page you can:
Home |
Publisher details
Publisher
located at
Available items(s) from this publisher
Add the result to your basket Make a suggestion Refine your search Apply to external sourcesSIU IS-T. การพัฒนาสื่อเพื่อศึกษาด้วยการใช้ Holograms สำหรับนักศึกษาพยาบาล / สันติราชย์ เลิศมณี / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU IS-T Title : การพัฒนาสื่อเพื่อศึกษาด้วยการใช้ Holograms สำหรับนักศึกษาพยาบาล Original title : The Development of Holograms as Educational Media for Nursing Students Material Type: printed text Authors: สันติราชย์ เลิศมณี, Author ; เฟื่องฟ้า อัมพรสถิร, Associated Name ; วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: viii, 74 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU IS-T: SOLA-MAMIC-2018-01
Independent Study [MAMIC.[Arts in Media Information and Communication]]. Shinawatra University, 2018.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]สื่อการสอน
[LCSH]โฮโลแกรมKeywords: Holograms,
สื่อการสอน,
นักศึกษาพยาบาลAbstract: วัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อพัฒนาสื่อการสอนด้วยการใช้ Holograms มีกระบวนการสร้างดังนี้
1) ผู้วิจัยศึกษาวิธีการฉีดยาจากหนังสือเรียน และศึกษาโปรแกรม 3 มิติ เพื่อสร้างภาพ Holograms 2) ผู้วิจัยสร้างอุปกรณ์ Holograms จากวัสดุต่าง ๆ และนำมาทดลอง และบันทึกผล 3) ผู้วิจัยสร้างแบบสอบถามใช้เป็นการวิจัยเพื่อทดสอบความพึงพอใจจากการใช้ Holograms วิธีการฉีดยา โดยเก็บข้อมูลจากนักศึกษาพยาบาล 43 คน มาวิเคราะห์ผล
การใช้เครื่องมือทดสอบกับนักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาพยาบาลศาสตร์ หลักสูตรพยาบาลบัณฑิต มหาวิทยาลัยวิทยาชินวัตร โดยการสุ่มตัวอย่างอย่างง่ายกับนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 จำนวน 27 คน และชั้นปีที่ 3 จำนวน 16 คน รวมจำนวน 43 คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้ค่าสถิติเชิงพรรณนา
ผลการประเมินความพึงพอใจสื่อการสอนจากกลุ่มเป้าหมายจำนวน 43 คน พบว่า ระดับความพึงพอใจด้านเนื้อหาสาระ ด้านคุณค่า และโดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด แต่ระดับความพึงพอใจด้านอุปกรณ์ อยู่ในระดับมาก
จากความคิดเห็นของนักศึกษาพยาบาล พบว่า จุดเด่นมีความแปลกใหม่ ทันสมัย และน่าสนใจ การนำเสนอภาพสามารถมองเห็นภาพร่างกายได้ชัดเจนและเรียนรู้วิธีการฉีดยาที่กล้ามเนื้อมีมุมองศาแตกต่างกัน มีการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อเกิดประโยชน์กับการเรียนการสอนสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี ใช้งานง่าย และสามารถนำไปใช้งานได้จริง และพบว่ามีข้อบกพร่อง ได้แก่ ภาพมีขนาดเล็กและไม่ชัดเจน ประกอบกับเสียงบรรยายไม่ชัดเจนและขาดความนุ่มนวลของเสียง มีรายละเอียดและคำบรรยายในการสอนของเนื้อหาน้อยเกินไป การแสดงเนื้อหามีระยะเวลาสั้น ตลอดจนอุปกรณ์มีขนาดเล็กทำให้ขาดความน่าสนใจCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27854 SIU IS-T. การพัฒนาสื่อเพื่อศึกษาด้วยการใช้ Holograms สำหรับนักศึกษาพยาบาล = The Development of Holograms as Educational Media for Nursing Students [printed text] / สันติราชย์ เลิศมณี, Author ; เฟื่องฟ้า อัมพรสถิร, Associated Name ; วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - viii, 74 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU IS-T: SOLA-MAMIC-2018-01
Independent Study [MAMIC.[Arts in Media Information and Communication]]. Shinawatra University, 2018.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]สื่อการสอน
[LCSH]โฮโลแกรมKeywords: Holograms,
สื่อการสอน,
นักศึกษาพยาบาลAbstract: วัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อพัฒนาสื่อการสอนด้วยการใช้ Holograms มีกระบวนการสร้างดังนี้
1) ผู้วิจัยศึกษาวิธีการฉีดยาจากหนังสือเรียน และศึกษาโปรแกรม 3 มิติ เพื่อสร้างภาพ Holograms 2) ผู้วิจัยสร้างอุปกรณ์ Holograms จากวัสดุต่าง ๆ และนำมาทดลอง และบันทึกผล 3) ผู้วิจัยสร้างแบบสอบถามใช้เป็นการวิจัยเพื่อทดสอบความพึงพอใจจากการใช้ Holograms วิธีการฉีดยา โดยเก็บข้อมูลจากนักศึกษาพยาบาล 43 คน มาวิเคราะห์ผล
การใช้เครื่องมือทดสอบกับนักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาพยาบาลศาสตร์ หลักสูตรพยาบาลบัณฑิต มหาวิทยาลัยวิทยาชินวัตร โดยการสุ่มตัวอย่างอย่างง่ายกับนักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 2 จำนวน 27 คน และชั้นปีที่ 3 จำนวน 16 คน รวมจำนวน 43 คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์หาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้ค่าสถิติเชิงพรรณนา
ผลการประเมินความพึงพอใจสื่อการสอนจากกลุ่มเป้าหมายจำนวน 43 คน พบว่า ระดับความพึงพอใจด้านเนื้อหาสาระ ด้านคุณค่า และโดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด แต่ระดับความพึงพอใจด้านอุปกรณ์ อยู่ในระดับมาก
จากความคิดเห็นของนักศึกษาพยาบาล พบว่า จุดเด่นมีความแปลกใหม่ ทันสมัย และน่าสนใจ การนำเสนอภาพสามารถมองเห็นภาพร่างกายได้ชัดเจนและเรียนรู้วิธีการฉีดยาที่กล้ามเนื้อมีมุมองศาแตกต่างกัน มีการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อเกิดประโยชน์กับการเรียนการสอนสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี ใช้งานง่าย และสามารถนำไปใช้งานได้จริง และพบว่ามีข้อบกพร่อง ได้แก่ ภาพมีขนาดเล็กและไม่ชัดเจน ประกอบกับเสียงบรรยายไม่ชัดเจนและขาดความนุ่มนวลของเสียง มีรายละเอียดและคำบรรยายในการสอนของเนื้อหาน้อยเกินไป การแสดงเนื้อหามีระยะเวลาสั้น ตลอดจนอุปกรณ์มีขนาดเล็กทำให้ขาดความน่าสนใจCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27854 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000598316 SIU IS-T: SOLA-MAMIC-2018-01 c.1 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598431 SIU IS-T: SOLA-MAMIC-2018-01 c.2 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available SIU IS-T. การวิจัยและปรับปรุงกระบวนการรับนักศึกษาของสถาบันอุดมศึกษา / พาณี ชูบุญทรัพย์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU IS-T Title : การวิจัยและปรับปรุงกระบวนการรับนักศึกษาของสถาบันอุดมศึกษา Original title : Improvement of Business Process Management in Student Admission, Registration and Payment Processes Material Type: printed text Authors: พาณี ชูบุญทรัพย์, Author ; ปาลพล รอดลอยทุกข์, Associated Name ; วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: vi, 40 น. Layout: ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU IS-T: SOLA-MAMIC-2018-02
Independent Study [MAMIC.[Arts in Media Information and Communication]]. Shinawatra University, 2018.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]สถาบันอุดมศึกษา -- การรับนักศึกษา Keywords: การรับนักศึกษา,
การลงทะเบียน,
การชำระค่าลงทะเบียนAbstract: การวิจัยและปรับปรุงกระบวนการทำงานด้านการรับนักศึกษา ประกอบด้วย 3 เรื่องหลัก ได้แก่ การรับนักศึกษา การลงทะเบียน และการชำระค่าลงทะเบียน ซึ่งเป็นข้อมูลตั้งต้นที่สำคัญ และเป็นกิจกรรมหลักสำคัญที่จำเป็นต้องใช้ตลอดหลักสูตรจนกระทั่งสำเร็จการศึกษา งานดังกล่าวมีปัญหาด้านข้อมูล ขั้นตอนการทำงาน รวมถึงการติดตามงาน โดยการวิจัยนี้จะมุ่งเน้นไปที่การศึกษา ออกแบบ และปรับปรุงกระบวนงานด้านการรับนักศึกษา ซึ่งจำเป็นต้องวิเคราะห์ถึงกระบวนการทำงานในลักษณะ Workflow หรือ แผนผังการทำงานที่ชัดเจน เพื่อให้เห็นถึงขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อนำไปปรับปรุงกระบวนงานด้านการรับนักศึกษา ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดียิ่งขึ้น
Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27855 SIU IS-T. การวิจัยและปรับปรุงกระบวนการรับนักศึกษาของสถาบันอุดมศึกษา = Improvement of Business Process Management in Student Admission, Registration and Payment Processes [printed text] / พาณี ชูบุญทรัพย์, Author ; ปาลพล รอดลอยทุกข์, Associated Name ; วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - vi, 40 น. : ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU IS-T: SOLA-MAMIC-2018-02
Independent Study [MAMIC.[Arts in Media Information and Communication]]. Shinawatra University, 2018.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]สถาบันอุดมศึกษา -- การรับนักศึกษา Keywords: การรับนักศึกษา,
การลงทะเบียน,
การชำระค่าลงทะเบียนAbstract: การวิจัยและปรับปรุงกระบวนการทำงานด้านการรับนักศึกษา ประกอบด้วย 3 เรื่องหลัก ได้แก่ การรับนักศึกษา การลงทะเบียน และการชำระค่าลงทะเบียน ซึ่งเป็นข้อมูลตั้งต้นที่สำคัญ และเป็นกิจกรรมหลักสำคัญที่จำเป็นต้องใช้ตลอดหลักสูตรจนกระทั่งสำเร็จการศึกษา งานดังกล่าวมีปัญหาด้านข้อมูล ขั้นตอนการทำงาน รวมถึงการติดตามงาน โดยการวิจัยนี้จะมุ่งเน้นไปที่การศึกษา ออกแบบ และปรับปรุงกระบวนงานด้านการรับนักศึกษา ซึ่งจำเป็นต้องวิเคราะห์ถึงกระบวนการทำงานในลักษณะ Workflow หรือ แผนผังการทำงานที่ชัดเจน เพื่อให้เห็นถึงขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อนำไปปรับปรุงกระบวนงานด้านการรับนักศึกษา ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดียิ่งขึ้น
Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27855 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000598340 SIU IS-T: SOLA-MAMIC-2018-02 c.1 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598464 SIU IS-T: SOLA-MAMIC-2018-02 c.2 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available SIU IS-T. งานวิจัยการปรับปรุงกระบวนการในการจัดซื้อและการซ่อมบำรุงของสถาบันการศึกษา / รัตนาภา ติษยางกูร / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU IS-T Title : งานวิจัยการปรับปรุงกระบวนการในการจัดซื้อและการซ่อมบำรุงของสถาบันการศึกษา Original title : Improvement of Business Process Management in the Procurement and Maintenance of Educational Institutions Material Type: printed text Authors: รัตนาภา ติษยางกูร, Author ; ปาลพล รอดลอยทุกข์, Associated Name ; วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: vii, 43 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU IS-T: SOLA-MAMIC-2018-03
Independent Study [MAMIC.[Arts in Media Information and Communication]]. Shinawatra University, 2018.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การจัดซื้อ
[LCSH]การบำรุงรักษา
[LCSH]สถานศึกษาKeywords: สถาบันการศึกษา,
การจัดซื้อ,
การจองห้องประชุม,
การซ่อมบำรุงAbstract: งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการทำงานของสถาบันการศึกษาในกระบวนการจัดซื้อ กระบวนการจองห้องประชุม และกระบวนการซ่อมบำรุง เนื่องจากในปัจจุบันสถาบันการศึกษาส่วนใหญ่มีการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการงานด้านต่าง ๆ มากขึ้น ทำให้ประสบปัญหาการทำงานที่ไม่สอดรับกับเทคโนโลยีที่เข้ามา การศึกษาใช้รูปแบบการศึกษาเชิงคุณภาพ ศึกษาข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลบนเว็บไซต์ และการสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการทำงาน ดำเนินการวิจัยโดย (1) ศึกษาขั้นตอนกระบวนการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ฝ่ายจัดซื้อและพัสดุ และฝ่ายอาคาร (2) นำเสนอกระบวนการทำงานของแต่ละกระบวนการในรูปแบบของ Workflow เพื่อให้ทราบถึงปัญหาในแต่ละกระบวนการทำงาน (3) ศึกษาแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ด้วยหลักการ APQC เพื่อนำมาปรับปรุงกระบวนการทำงานของสถาบันการศึกษา
จากการศึกษาในงานวิจัยนี้พบว่า การปรับปรุงกระบวนการในการจัดซื้อและการซ่อมบำรุงของสถาบันการศึกษา โดยนำแนวคิดของ Workflow มาใช้ช่วยลดปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดจากการทำงานแบบ Manual ได้ เป็นการลดขั้นตอนการทำงาน ช่วยในการจัดเก็บข้อมูล และการประมวลผลออกรายงานที่จำเป็นภายในสถาบัน สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มีความถูกต้อง แม่นยำ สะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้นCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27856 SIU IS-T. งานวิจัยการปรับปรุงกระบวนการในการจัดซื้อและการซ่อมบำรุงของสถาบันการศึกษา = Improvement of Business Process Management in the Procurement and Maintenance of Educational Institutions [printed text] / รัตนาภา ติษยางกูร, Author ; ปาลพล รอดลอยทุกข์, Associated Name ; วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - vii, 43 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU IS-T: SOLA-MAMIC-2018-03
Independent Study [MAMIC.[Arts in Media Information and Communication]]. Shinawatra University, 2018.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การจัดซื้อ
[LCSH]การบำรุงรักษา
[LCSH]สถานศึกษาKeywords: สถาบันการศึกษา,
การจัดซื้อ,
การจองห้องประชุม,
การซ่อมบำรุงAbstract: งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการทำงานของสถาบันการศึกษาในกระบวนการจัดซื้อ กระบวนการจองห้องประชุม และกระบวนการซ่อมบำรุง เนื่องจากในปัจจุบันสถาบันการศึกษาส่วนใหญ่มีการนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการงานด้านต่าง ๆ มากขึ้น ทำให้ประสบปัญหาการทำงานที่ไม่สอดรับกับเทคโนโลยีที่เข้ามา การศึกษาใช้รูปแบบการศึกษาเชิงคุณภาพ ศึกษาข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลบนเว็บไซต์ และการสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการทำงาน ดำเนินการวิจัยโดย (1) ศึกษาขั้นตอนกระบวนการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ฝ่ายจัดซื้อและพัสดุ และฝ่ายอาคาร (2) นำเสนอกระบวนการทำงานของแต่ละกระบวนการในรูปแบบของ Workflow เพื่อให้ทราบถึงปัญหาในแต่ละกระบวนการทำงาน (3) ศึกษาแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ด้วยหลักการ APQC เพื่อนำมาปรับปรุงกระบวนการทำงานของสถาบันการศึกษา
จากการศึกษาในงานวิจัยนี้พบว่า การปรับปรุงกระบวนการในการจัดซื้อและการซ่อมบำรุงของสถาบันการศึกษา โดยนำแนวคิดของ Workflow มาใช้ช่วยลดปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดจากการทำงานแบบ Manual ได้ เป็นการลดขั้นตอนการทำงาน ช่วยในการจัดเก็บข้อมูล และการประมวลผลออกรายงานที่จำเป็นภายในสถาบัน สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มีความถูกต้อง แม่นยำ สะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้นCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27856 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000598332 SIU IS-T: SOLA-MAMIC-2018-03 c.1 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598472 SIU IS-T: SOLA-MAMIC-2018-03 c.2 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available SIU IS. การศึกษาพฤติกรรมการยอมรับสังคมไร้เงินสดในวัยผู้ใหญ่ตอนกลาง / ศิริวดี ไกรสโมสร / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU IS Title : การศึกษาพฤติกรรมการยอมรับสังคมไร้เงินสดในวัยผู้ใหญ่ตอนกลาง Original title : A Study of the Behavioral Acceptability in Cashless Society of Middle-aged Persons Material Type: printed text Authors: ศิริวดี ไกรสโมสร, Author ; ปาลพล รอดลอยทุกข์, Associated Name ; วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: vii, 44 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU IS-T: SOLA-MAMIC-2018-04
Independent Study [MAMIC.[Arts in Media Information and Communication]]. Shinawatra University, 2018.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]พฤติกรรมมนุษย์
[LCSH]พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์Keywords: สังคมไร้เงินสด,
วัยผู้ใหญ่ตอนกลางAbstract: งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการยอมรับสังคมไร้เงินสดในวัยผู้ใหญ่ตอนกลาง และพฤติกรรมในวัยผู้ใหญ่ตอนกลางที่ส่งผลต่อการไม่ยอมรับสังคมไร้เงินสด ทำให้ทราบถึงพฤติกรรมสำคัญของกลุ่มเป้าหมายที่ส่งผลต่อการยอมรับสังคมไร้เงินสดในวัยผู้ใหญ่ตอนกลาง
การศึกษาใช้วิธีการทำแบบสอบถามที่มีเนื้อหาเพื่อศึกษาลักษระทางประชากรศาสตร์ พฤติกรรมการทำธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ และเหตุผลที่ส่งต่อการยอมรับสังคมไร้เงินสด ของวัยผู้ใหญ่ตอนกลาง ผู้วิจัยเลือกกลุ่มเป้าหมายคือ วัยผู้ใหญ่ตอนกลาง ที่ประกอบอาชีพพนักงานบริษัท/รัฐวิสาหกิจ/เอกชน/ธุรกิจส่วนตัว หรือ อื่น ๆ และมีอายุระหว่าง 35 – 60 ปี ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยใช้เวลาในการเก็บข้อมูลเป็นระยะเวลา 3 เดือน ระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2561 ถึง เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2561
จากการศึกษาในงานวิจัยนี้พบว่า พฤติกรรมที่ส่งผลต่อการยอมรับสังคมไร้เงินสดในวัยผู้ใหญ่ตอนกลาง มี 3 ส่วน โดยแบ่งเป็นส่วนที่ 1 ข้อมูลลักษณะทางประชากรศาสตร์ ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษาสูงสุด อาชีพ และรายได้เฉลี่ยรวมต่อเดือน ส่วนที่ 2 พฤติกรรมการทำธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเข้าสู่สังคมไร้เงินสด ได้แก่ รูปแบบ และความถี่ของทำธุรกรรมทางการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ และส่วนที่ 3 ความคิดเห็นที่ส่งผลต่อการยอมรับสังคมไร้เงินสดของวัยผู้ใหญ่ตอนกลางได้แก่ ทัศนคติ ประโยชน์ ความเชื่อมั่นและความปลอดภัยในการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจากการศึกษาทั้ง 3 ส่วน พบว่าพฤติกรรมดังกล่าวมีผลต่อการยอมรับสังคมไร้เงินสดในวัยผู้ใหญ่ตอนกลางCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27857 SIU IS. การศึกษาพฤติกรรมการยอมรับสังคมไร้เงินสดในวัยผู้ใหญ่ตอนกลาง = A Study of the Behavioral Acceptability in Cashless Society of Middle-aged Persons [printed text] / ศิริวดี ไกรสโมสร, Author ; ปาลพล รอดลอยทุกข์, Associated Name ; วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - vii, 44 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU IS-T: SOLA-MAMIC-2018-04
Independent Study [MAMIC.[Arts in Media Information and Communication]]. Shinawatra University, 2018.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]พฤติกรรมมนุษย์
[LCSH]พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์Keywords: สังคมไร้เงินสด,
วัยผู้ใหญ่ตอนกลางAbstract: งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการยอมรับสังคมไร้เงินสดในวัยผู้ใหญ่ตอนกลาง และพฤติกรรมในวัยผู้ใหญ่ตอนกลางที่ส่งผลต่อการไม่ยอมรับสังคมไร้เงินสด ทำให้ทราบถึงพฤติกรรมสำคัญของกลุ่มเป้าหมายที่ส่งผลต่อการยอมรับสังคมไร้เงินสดในวัยผู้ใหญ่ตอนกลาง
การศึกษาใช้วิธีการทำแบบสอบถามที่มีเนื้อหาเพื่อศึกษาลักษระทางประชากรศาสตร์ พฤติกรรมการทำธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ และเหตุผลที่ส่งต่อการยอมรับสังคมไร้เงินสด ของวัยผู้ใหญ่ตอนกลาง ผู้วิจัยเลือกกลุ่มเป้าหมายคือ วัยผู้ใหญ่ตอนกลาง ที่ประกอบอาชีพพนักงานบริษัท/รัฐวิสาหกิจ/เอกชน/ธุรกิจส่วนตัว หรือ อื่น ๆ และมีอายุระหว่าง 35 – 60 ปี ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยใช้เวลาในการเก็บข้อมูลเป็นระยะเวลา 3 เดือน ระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2561 ถึง เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2561
จากการศึกษาในงานวิจัยนี้พบว่า พฤติกรรมที่ส่งผลต่อการยอมรับสังคมไร้เงินสดในวัยผู้ใหญ่ตอนกลาง มี 3 ส่วน โดยแบ่งเป็นส่วนที่ 1 ข้อมูลลักษณะทางประชากรศาสตร์ ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษาสูงสุด อาชีพ และรายได้เฉลี่ยรวมต่อเดือน ส่วนที่ 2 พฤติกรรมการทำธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเข้าสู่สังคมไร้เงินสด ได้แก่ รูปแบบ และความถี่ของทำธุรกรรมทางการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ และส่วนที่ 3 ความคิดเห็นที่ส่งผลต่อการยอมรับสังคมไร้เงินสดของวัยผู้ใหญ่ตอนกลางได้แก่ ทัศนคติ ประโยชน์ ความเชื่อมั่นและความปลอดภัยในการทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจากการศึกษาทั้ง 3 ส่วน พบว่าพฤติกรรมดังกล่าวมีผลต่อการยอมรับสังคมไร้เงินสดในวัยผู้ใหญ่ตอนกลางCurricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27857 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000598365 SIU IS-T: SOLA-MAMIC-2018-04 c.1 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598480 SIU IS-T: SOLA-MAMIC-2018-04 c.2 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available SIU IS-T. การศึกษาพฤติกรรมการทำธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเข้าสู่สังคมไร้เงินสดของวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร / วิไลรัตน์ อารยะสมสกุล / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU IS-T Title : การศึกษาพฤติกรรมการทำธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเข้าสู่สังคมไร้เงินสดของวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร Original title : A Study of the Behavioral Acceptability in Cashless Societies of Middle-aged Persons Material Type: printed text Authors: วิไลรัตน์ อารยะสมสกุล, Author ; ปาลพล รอดลอยทุกข์, Associated Name ; วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: vii, 34 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU IS-T: SOLA-MAMIC-2018-05
Independent Study [MAMIC.[Arts in Media Information and Communication]]. Shinawatra University, 2018.Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
[LCSH]ผู้สูงอายุKeywords: สังคมไร้เงินสด,
ธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์Abstract: งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการทำธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเข้าสู่สังคมไร้เงินสดของวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทำให้ทราบถึงพฤติกรรมสำคัญที่มีผลต่อการทำธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ของวัยผู้ใหญ่ตอนต้นที่ทำงานในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร การวิจัยนี้ ผู้วิจัยเลือกใช้วิธีดำเนินการโดยการจัดทำแบบสอบถามที่มีเนื้อหาเพื่อศึกษาพฤติกรรมการทำธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเข้าสู่สังคมไร้เงินสดของวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยคือ วัยผู้ใหญ่ตอนต้น ได้แก่ นักศึกษา และวัยทำงาน ที่มีอายุระหว่าง 18 - 30 ปี จำนวน 100 คน ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยใช้เวลาในการเก็บข้อมูลเป็นระยะเวลา 3 เดือน ระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2561 ถึง เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2561
จากการศึกษาในงานวิจัยนี้พบว่า พฤติกรรมการทำธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเข้าสู่สังคมไร้เงินสดของวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร มี 3 ตอน โดยแบ่งเป็นตอนที่ 1 ข้อมูลลักษณะทางประชากรศาสตร์ ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ตอนที่ 2 พฤติกรรมการทำธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเข้าสู่สังคมไร้เงินสดของวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ได้แก่ ช่องทาง ปริมาณการใช้งานช่องทางความถี่ ประเภท และเหตุผลในการทำธุรกรรมทางการเงิน และตอนที่ 3 เหตุผลการทำธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเข้าสู่สังคมไร้เงินสดของวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ซึ่งจากการศึกษาทั้ง 3 ตอน พบว่าพฤติกรรมดังกล่าวมีผลต่อการทำธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเข้าสู่สังคมไร้เงินสดของวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครCurricular : BALA/GE/MTEIL Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27858 SIU IS-T. การศึกษาพฤติกรรมการทำธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเข้าสู่สังคมไร้เงินสดของวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร = A Study of the Behavioral Acceptability in Cashless Societies of Middle-aged Persons [printed text] / วิไลรัตน์ อารยะสมสกุล, Author ; ปาลพล รอดลอยทุกข์, Associated Name ; วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - vii, 34 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU IS-T: SOLA-MAMIC-2018-05
Independent Study [MAMIC.[Arts in Media Information and Communication]]. Shinawatra University, 2018.
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
[LCSH]ผู้สูงอายุKeywords: สังคมไร้เงินสด,
ธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์Abstract: งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการทำธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเข้าสู่สังคมไร้เงินสดของวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทำให้ทราบถึงพฤติกรรมสำคัญที่มีผลต่อการทำธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ของวัยผู้ใหญ่ตอนต้นที่ทำงานในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร การวิจัยนี้ ผู้วิจัยเลือกใช้วิธีดำเนินการโดยการจัดทำแบบสอบถามที่มีเนื้อหาเพื่อศึกษาพฤติกรรมการทำธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเข้าสู่สังคมไร้เงินสดของวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยคือ วัยผู้ใหญ่ตอนต้น ได้แก่ นักศึกษา และวัยทำงาน ที่มีอายุระหว่าง 18 - 30 ปี จำนวน 100 คน ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยใช้เวลาในการเก็บข้อมูลเป็นระยะเวลา 3 เดือน ระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2561 ถึง เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2561
จากการศึกษาในงานวิจัยนี้พบว่า พฤติกรรมการทำธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเข้าสู่สังคมไร้เงินสดของวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร มี 3 ตอน โดยแบ่งเป็นตอนที่ 1 ข้อมูลลักษณะทางประชากรศาสตร์ ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ตอนที่ 2 พฤติกรรมการทำธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเข้าสู่สังคมไร้เงินสดของวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ได้แก่ ช่องทาง ปริมาณการใช้งานช่องทางความถี่ ประเภท และเหตุผลในการทำธุรกรรมทางการเงิน และตอนที่ 3 เหตุผลการทำธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเข้าสู่สังคมไร้เงินสดของวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ซึ่งจากการศึกษาทั้ง 3 ตอน พบว่าพฤติกรรมดังกล่าวมีผลต่อการทำธุรกรรมการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเข้าสู่สังคมไร้เงินสดของวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครCurricular : BALA/GE/MTEIL Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27858 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000598357 SIU IS-T: SOLA-MAMIC-2018-05 c.1 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598456 SIU IS-T: SOLA-MAMIC-2018-05 c.2 SIU Independent Study Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การจัดการเชิงกลยุทธ์การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ในการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียน / กิจเสริม เวศย์ไกรศรี / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : การจัดการเชิงกลยุทธ์การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ในการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียน Original title : Strategies Management for Building a Competitive Advantage in Thai Rice Export to International Asean Economic Communication (AEC) Material Type: printed text Authors: กิจเสริม เวศย์ไกรศรี, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: ix, 185 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-04
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การจัดการเชิงกลยุทธ์
[LCSH]ข้าว -- ไทย -- การส่งออกKeywords: การจัดการเชิงกลยุทธ์, การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน, การส่งออกข้าวไทย, ประชาคมอาเซียน Abstract: การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบถึงการจัดการเชิงกลยุทธ์ที่สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียน เพื่อทราบถึงปัจจัยที่สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในการส่งออกข้าวไทย เพื่อทราบถึงคุณลักษณะของผู้ประกอบการที่สร้างความได้เปรียบในการดำเนินการส่งออกข้าวไทย และเพื่อทราบแนวทางหรือข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติที่เป็นประโยชน์ต่อการจัดการเชิงกลยุทธ์การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในการส่งออกข้าวไทย โดยการศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ สัมภาษณ์เชิงลึกเก็บข้อมูลจากผู้ประกอบการส่งออกข้าวไทย เป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 12 คน ผลการวิจัยได้ข้อค้นพบองค์ความรู้ คือ การที่ผู้ส่งออกจะได้เปรียบทางการแข่งขันต้องนำทฤษฎีความร่วมมือมาใช้เป็นกลยุทธ์ในการส่งออก เนื่องจากต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างผู้ส่งออกและภาครัฐ โดยที่รัฐบาลให้การสนับสนุนการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียน และพัฒนาปรับปรุงนโยบายสาธารณะในการส่งออกข้าวไทย ตลอดจนนำแนวคิดเกี่ยวกับ SWOT (จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค) มาใช้ในการส่งออกข้าว และนำทฤษฎีระบบเปิดมาใช้ในการตลาดเพื่อนำทฤษฎีนี้มาใช้ในการจัดการองค์การให้มีความทันสมัย และต้องมีการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการพัฒนาระบบการส่งออกข้าวไทยให้มีประสิทธิภาพและความได้เปรียบทางการแข่งขันใน การส่งออกมากยิ่งๆ ขึ้น และจากการศึกษาพบประเด็นปัญหาที่ทำให้ความได้เปรียบทางการแข่งขันในการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียนลดลง ประกอบด้วยปัญหาต้นทุนการผลิตต่อไร่สูงแต่ผลผลิตต่อไร่ต่ำ ระบบชลประทานในพื้นที่เพาะปลูกมีจำกัด งบประมาณการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับการผลิตข้าวน้อยเกินไป ราคาส่งออกข้าวไทยสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ขาดการประชาสัมพันธ์ในการสร้าง ตราสินค้าข้าวไทยในตลาดอาเซียนและตลาดโลก ระบบและต้นทุนขนส่งข้าวของไทยอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะประเทศเวียดนาม และไม่มีนโยบายและ ยุทธศาสตร์ข้าวที่ชัดเจนภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ดังนั้นหากต้องการจะเพิ่มความได้เปรียบทางการแข่งขันในการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียน สามารถดำเนินการได้โดยผู้ประกอบการส่งออกข้าวไทยต้องร่วมมือกับรัฐบาลไทยให้มากขึ้น และรัฐบาลไทยจะต้องให้การสนับสนุนการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียน จะต้องมีการพัฒนาและปรับปรุงนโยบายสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียนให้มีความชัดเจน Curricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27863 SIU THE-T. การจัดการเชิงกลยุทธ์การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ในการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียน = Strategies Management for Building a Competitive Advantage in Thai Rice Export to International Asean Economic Communication (AEC) [printed text] / กิจเสริม เวศย์ไกรศรี, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - ix, 185 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-04
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การจัดการเชิงกลยุทธ์
[LCSH]ข้าว -- ไทย -- การส่งออกKeywords: การจัดการเชิงกลยุทธ์, การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน, การส่งออกข้าวไทย, ประชาคมอาเซียน Abstract: การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบถึงการจัดการเชิงกลยุทธ์ที่สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียน เพื่อทราบถึงปัจจัยที่สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในการส่งออกข้าวไทย เพื่อทราบถึงคุณลักษณะของผู้ประกอบการที่สร้างความได้เปรียบในการดำเนินการส่งออกข้าวไทย และเพื่อทราบแนวทางหรือข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติที่เป็นประโยชน์ต่อการจัดการเชิงกลยุทธ์การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในการส่งออกข้าวไทย โดยการศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ สัมภาษณ์เชิงลึกเก็บข้อมูลจากผู้ประกอบการส่งออกข้าวไทย เป็นผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 12 คน ผลการวิจัยได้ข้อค้นพบองค์ความรู้ คือ การที่ผู้ส่งออกจะได้เปรียบทางการแข่งขันต้องนำทฤษฎีความร่วมมือมาใช้เป็นกลยุทธ์ในการส่งออก เนื่องจากต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างผู้ส่งออกและภาครัฐ โดยที่รัฐบาลให้การสนับสนุนการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียน และพัฒนาปรับปรุงนโยบายสาธารณะในการส่งออกข้าวไทย ตลอดจนนำแนวคิดเกี่ยวกับ SWOT (จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค) มาใช้ในการส่งออกข้าว และนำทฤษฎีระบบเปิดมาใช้ในการตลาดเพื่อนำทฤษฎีนี้มาใช้ในการจัดการองค์การให้มีความทันสมัย และต้องมีการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการพัฒนาระบบการส่งออกข้าวไทยให้มีประสิทธิภาพและความได้เปรียบทางการแข่งขันใน การส่งออกมากยิ่งๆ ขึ้น และจากการศึกษาพบประเด็นปัญหาที่ทำให้ความได้เปรียบทางการแข่งขันในการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียนลดลง ประกอบด้วยปัญหาต้นทุนการผลิตต่อไร่สูงแต่ผลผลิตต่อไร่ต่ำ ระบบชลประทานในพื้นที่เพาะปลูกมีจำกัด งบประมาณการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับการผลิตข้าวน้อยเกินไป ราคาส่งออกข้าวไทยสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ขาดการประชาสัมพันธ์ในการสร้าง ตราสินค้าข้าวไทยในตลาดอาเซียนและตลาดโลก ระบบและต้นทุนขนส่งข้าวของไทยอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะประเทศเวียดนาม และไม่มีนโยบายและ ยุทธศาสตร์ข้าวที่ชัดเจนภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ดังนั้นหากต้องการจะเพิ่มความได้เปรียบทางการแข่งขันในการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียน สามารถดำเนินการได้โดยผู้ประกอบการส่งออกข้าวไทยต้องร่วมมือกับรัฐบาลไทยให้มากขึ้น และรัฐบาลไทยจะต้องให้การสนับสนุนการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียน จะต้องมีการพัฒนาและปรับปรุงนโยบายสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกข้าวไทยสู่ประชาคมอาเซียนให้มีความชัดเจน Curricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27863 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000597920 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-04 c.1 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Due for return by 04/05/2019 32002000597912 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-04 c.2 SIU Thesis and Dissertation Main Library Thesis Corner Available SIU THE-T. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทย / อลงกรณ์ สถาปัตยานนท์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทย Original title : Factors Influencing the Achievement of Administration Information and Communication Technology System for the Rajabhat University in Thailand Material Type: printed text Authors: อลงกรณ์ สถาปัตยานนท์, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: x, 197 p. Layout: Tables, ill. Size: 30 cm. Price: 500.00 Baht. General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-05
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การบริหารงานโดยมุ่งผลสัมฤทธิ์
[LCSH]ระบบสารสนเทศ
[LCSH]เทคโนโลยีสารสนเทศKeywords: ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ,
มหาวิทยาลัยราชภัฏ,
ผลสัมฤทธิ์การบริหารAbstract: การวิจัยเรื่องปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์การวิจัย1) เพื่อศึกษาระดับผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทย 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทยในประเทศไทย 3) เพื่อเป็นข้อเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทย เป็นการวิจัยเชิงผสม โดยการวิจัยเชิงปริมาณ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ อาจารย์ผู้สอนในการตอบแบบสอบถามจำนวน 400 คน จากมหาวิทยาลัยราชภัฏในกลุ่มรัตนโกสินทร์ และกำหนดกลุ่มตัวอย่างจากสูตรของยามาเน ได้จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่แบบสอบถาม และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหาร อาจารย์ผู้สอน และเจ้าหน้าที่จากมหาวิทยาลัยราชภัฏในกลุ่มรัตนโกสินทร์ จำนวน 4 คน ผลการวิจัย พบว่า ผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจะมีประสิทธิภาพมีคุณภาพในการให้บริการและการบริหารได้ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัย ดังนี้ 1) ความชัดเจนของวัตถุประสงค์และเป้าหมายของนโยบายการบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 2) ระดับการให้ความสำคัญของการใช้งบประมาณในหน่วยงาน 3) ความสนับสนุนของผู้นำในหน่วยงาน/องค์การ 4) ความสนับสนุนจากภาครัฐ 5) การให้สิ่งจูงใจให้บุคลากรในองค์การใช้เทคโนโลยีเรื่องวัสดุอุปกรณ์และตัวเงินในการจัดหา 6) ประสิทธิภาพของการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในองค์การ 7) ปัจจัยประสิทธิผลของการสื่อสาร 8) ความสนับสนุนจากภาคเอกชน และ 9) การให้สิ่งจูงใจให้บุคลากรในองค์การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยทำให้มีโอกาสก้าวหน้าตามลำดับ และผลจากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศมีความสัมพันธ์กับความชัดเจนของวัตถุประสงค์และเป้าหมาย มากที่สุด รองลงมาคือการให้ความสำคัญของการใช้งบประมาณในหน่วยงาน ความสนับสนุนของผู้นำในหน่วยงาน ความสนับสนุนจากภาครัฐ การให้สิ่งจูงใจให้บุคลากรในองค์การใช้เทคโนโลยี การจัดหาประสิทธิภาพของการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในองค์การ ความสนับสนุนจากภาคเอกชนและประสิทธิผลของการสื่อสาร ตามลำดับ ข้อเสนอแนะในการวิจัย คือ 1) ผู้นำ/ผู้บริหารมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 2) มหาวิทยาลัยจะต้องมีแผนปฏิบัติการประจำปีที่ชัดเจนในการทำแผนแม่บททั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยแต่ละปีต้องมีแผนงบประมาณรายปีที่ชัดเจน 3) จากผลการวิจัยเชิงปริมาณพบว่า งบประมาณมีผลต่อผลสัมฤทธิ์จึงต้องมีการจัดทำแผนงบประมาณให้พ้องกับนโยบายและต้องมีสัดส่วน 1:0.45 และ 4)จากผลการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้บริหารควรมีการสนับสนุนการให้นโยบายการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยกรบวนการสรรหาอธิการบดีมหาวิทยาลัยควรให้มีการแสดงวิสัยทัศน์ในการกำหนดนโยบายการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศด้วย Curricular : GE/MSIT/PhDT Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27864 SIU THE-T. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทย = Factors Influencing the Achievement of Administration Information and Communication Technology System for the Rajabhat University in Thailand [printed text] / อลงกรณ์ สถาปัตยานนท์, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - x, 197 p. : Tables, ill. ; 30 cm.
500.00 Baht.
SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-05
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การบริหารงานโดยมุ่งผลสัมฤทธิ์
[LCSH]ระบบสารสนเทศ
[LCSH]เทคโนโลยีสารสนเทศKeywords: ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ,
มหาวิทยาลัยราชภัฏ,
ผลสัมฤทธิ์การบริหารAbstract: การวิจัยเรื่องปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทย มีวัตถุประสงค์การวิจัย1) เพื่อศึกษาระดับผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทย 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทยในประเทศไทย 3) เพื่อเป็นข้อเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของมหาวิทยาลัยราชภัฏในประเทศไทย เป็นการวิจัยเชิงผสม โดยการวิจัยเชิงปริมาณ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ อาจารย์ผู้สอนในการตอบแบบสอบถามจำนวน 400 คน จากมหาวิทยาลัยราชภัฏในกลุ่มรัตนโกสินทร์ และกำหนดกลุ่มตัวอย่างจากสูตรของยามาเน ได้จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่แบบสอบถาม และการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหาร อาจารย์ผู้สอน และเจ้าหน้าที่จากมหาวิทยาลัยราชภัฏในกลุ่มรัตนโกสินทร์ จำนวน 4 คน ผลการวิจัย พบว่า ผลสัมฤทธิ์การบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจะมีประสิทธิภาพมีคุณภาพในการให้บริการและการบริหารได้ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัย ดังนี้ 1) ความชัดเจนของวัตถุประสงค์และเป้าหมายของนโยบายการบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 2) ระดับการให้ความสำคัญของการใช้งบประมาณในหน่วยงาน 3) ความสนับสนุนของผู้นำในหน่วยงาน/องค์การ 4) ความสนับสนุนจากภาครัฐ 5) การให้สิ่งจูงใจให้บุคลากรในองค์การใช้เทคโนโลยีเรื่องวัสดุอุปกรณ์และตัวเงินในการจัดหา 6) ประสิทธิภาพของการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในองค์การ 7) ปัจจัยประสิทธิผลของการสื่อสาร 8) ความสนับสนุนจากภาคเอกชน และ 9) การให้สิ่งจูงใจให้บุคลากรในองค์การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยทำให้มีโอกาสก้าวหน้าตามลำดับ และผลจากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศมีความสัมพันธ์กับความชัดเจนของวัตถุประสงค์และเป้าหมาย มากที่สุด รองลงมาคือการให้ความสำคัญของการใช้งบประมาณในหน่วยงาน ความสนับสนุนของผู้นำในหน่วยงาน ความสนับสนุนจากภาครัฐ การให้สิ่งจูงใจให้บุคลากรในองค์การใช้เทคโนโลยี การจัดหาประสิทธิภาพของการพัฒนาทรัพยากรบุคคลในองค์การ ความสนับสนุนจากภาคเอกชนและประสิทธิผลของการสื่อสาร ตามลำดับ ข้อเสนอแนะในการวิจัย คือ 1) ผู้นำ/ผู้บริหารมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ 2) มหาวิทยาลัยจะต้องมีแผนปฏิบัติการประจำปีที่ชัดเจนในการทำแผนแม่บททั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยแต่ละปีต้องมีแผนงบประมาณรายปีที่ชัดเจน 3) จากผลการวิจัยเชิงปริมาณพบว่า งบประมาณมีผลต่อผลสัมฤทธิ์จึงต้องมีการจัดทำแผนงบประมาณให้พ้องกับนโยบายและต้องมีสัดส่วน 1:0.45 และ 4)จากผลการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้บริหารควรมีการสนับสนุนการให้นโยบายการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยกรบวนการสรรหาอธิการบดีมหาวิทยาลัยควรให้มีการแสดงวิสัยทัศน์ในการกำหนดนโยบายการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศด้วย Curricular : GE/MSIT/PhDT Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27864 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000597888 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-05 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000597870 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-05 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. พฤติกรรมการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืน / ฉัตรกวินฐ์ กุลโท / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : พฤติกรรมการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืน Original title : Behavior of Crime Prevention Against Rape Cases Material Type: printed text Authors: ฉัตรกวินฐ์ กุลโท, Author ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: ix, 195 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500 Baht General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-09
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]อาชญากรรม -- การป้องกัน
[LCSH]อาชญากรรมทางเพศ -- วิจัยKeywords: การป้องกัน, คดีข่มขืน, พฤติกรรม, อาชญากรรม Abstract: การศึกษานี้เป็นวิจัยแบบผสมระหว่างเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืน (2) เปรียบเทียบปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคลกับพฤติกรรมการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืน และ (3) หาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืนกับพฤติกรรมการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามแบบเลือกตอบและแบบสัมภาษณ์ จากกลุ่มจากประชาชนที่อาศัยในเขตเทศบาลนคร นครราชสีมา จำนวน 400 คน วิจัยนี้ใช้สถิติการหาค่าความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regressions) ทดสอบตัวแปร และการทดสอบสมมุติฐานที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05
ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุระหว่าง 20 -30 ปี มีสถานภาพสมรส มีวุฒิการศึกษาปริญญาตรี นับถือศาสนาพุทธ ประกอบธุรกิจส่วนตัว มีรายได้ 15,001 – 20,000 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ผลการวิจัยพบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมในการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืน ประกอบด้วยนโยบายด้านการปราบปราม ด้านการสื่อสารเครือข่ายชุมชน ด้านมวลชนและการสร้างเครือข่าย ด้านเทคโนโลยีกล้องวงจรปิด ด้านระบบสายตรวจ และด้านอาชญวิทยา เรียงตามลำดับ นอกจากนี้ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านการสื่อสารเครือข่ายชุมชน ด้านนโยบายการปราบปราม ด้านมวลชนและการสร้างเครือข่าย ด้านเทคโนโลยีกล้องวงจรปิด เป็นตัวพยากรณ์พฤติกรรมการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27879 SIU THE-T. พฤติกรรมการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืน = Behavior of Crime Prevention Against Rape Cases [printed text] / ฉัตรกวินฐ์ กุลโท, Author ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - ix, 195 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500 Baht
SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-09
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]อาชญากรรม -- การป้องกัน
[LCSH]อาชญากรรมทางเพศ -- วิจัยKeywords: การป้องกัน, คดีข่มขืน, พฤติกรรม, อาชญากรรม Abstract: การศึกษานี้เป็นวิจัยแบบผสมระหว่างเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืน (2) เปรียบเทียบปัจจัยพื้นฐานส่วนบุคคลกับพฤติกรรมการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืน และ (3) หาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืนกับพฤติกรรมการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามแบบเลือกตอบและแบบสัมภาษณ์ จากกลุ่มจากประชาชนที่อาศัยในเขตเทศบาลนคร นครราชสีมา จำนวน 400 คน วิจัยนี้ใช้สถิติการหาค่าความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regressions) ทดสอบตัวแปร และการทดสอบสมมุติฐานที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05
ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุระหว่าง 20 -30 ปี มีสถานภาพสมรส มีวุฒิการศึกษาปริญญาตรี นับถือศาสนาพุทธ ประกอบธุรกิจส่วนตัว มีรายได้ 15,001 – 20,000 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ผลการวิจัยพบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมในการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืน ประกอบด้วยนโยบายด้านการปราบปราม ด้านการสื่อสารเครือข่ายชุมชน ด้านมวลชนและการสร้างเครือข่าย ด้านเทคโนโลยีกล้องวงจรปิด ด้านระบบสายตรวจ และด้านอาชญวิทยา เรียงตามลำดับ นอกจากนี้ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านการสื่อสารเครือข่ายชุมชน ด้านนโยบายการปราบปราม ด้านมวลชนและการสร้างเครือข่าย ด้านเทคโนโลยีกล้องวงจรปิด เป็นตัวพยากรณ์พฤติกรรมการป้องกันอาชญากรรมคดีข่มขืนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27879 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000598571 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-09 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598597 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-09 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การนำพระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) ไปสู่การปฏิบัติ / หทัยรัตน์ สนสกุล / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : การนำพระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) ไปสู่การปฏิบัติ Original title : Implementing Land Traffic Act (Drunk Driving) into Practice Material Type: printed text Authors: หทัยรัตน์ สนสกุล, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; อุมาหฤทัย วรรณศรี, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: ix, 95 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-08
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การนำนโยบายไปปฏิบัติ
[LCSH]พระราชบัญญัติจราจรทางบกKeywords: พระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ), การนำนโยบายไปปฏิบัติ Abstract: วัตถุประสงค์ของการศึกษาเรื่อง การนำพระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) ไปสู่การปฏิบัติ คือ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้ขับขี่รถยนต์ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมของผู้ขับขี่รถยนต์ และ 3) เพื่อหาแนวทางและวางแผนในการปฏิบัติตามนโยบายการใช้พระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) ใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลจากผู้ใช้รถในจังหวัดปทุมธานี จำนวน 920 คน สุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ และใช้ค่าความถี ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ การวิเคราะห์ถดถอยพหุแบบขั้นตอน (Stepwise multiple regression analysis) ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ผลการศึกษา พบว่า พฤติกรรมของผู้ใช้รถต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) มี 4 รูปแบบ ประกอบด้วย พฤติกรรมตั้งใจไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ และถูกดำเนินคดีพบมากที่สุด รองลงมา ตั้งใจไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ และไม่เคยถูกดำเนินคดี ตั้งใจปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ แต่ถูกดำเนินคดี และตั้งใจปฏิบัติตามพระราชบัญญัติอย่างเคร่งครัดผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้รถต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) พบว่า โดยรวม คือ ภูมิลำเนา และอาชีพสื่อที่ใช้ในการรณรงค์ตามพระราชบัญญัติ มาตรการของพระราชบัญญัติ และ การสนับสนุนของผู้นำท้องที่ แต่เมื่อพิจารณาแยกตามพฤติกรรมของผู้ใช้รถทั้ง 4 รูปแบบ โดยใช้การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ พบว่า 1) การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ และการสนับสนุนของผู้นำท้องที่ ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้รถที่ตั้งใจปฏิบัติตามพระราชบัญญัติอย่างเคร่งครัด 2) การใช้อำนาจตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ในการใช้พระราชบัญญัติส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้รถที่ตั้งใจปฏิบัติตามพระราชบัญญัติแต่ถูกดำเนินคดี 3) มาตรการของพระราชบัญญัติสื่อที่ใช้ในการรณรงค์ตามพระราชบัญญัติ และบทลงโทษของพระราชบัญญัติส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้รถต่อพระราชบัญญัติฯ ที่ตั้งใจไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ และไม่เคยถูกดำเนินคดี และ 4) การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่การสนับสนุนของผู้นำพื้นที่สื่อที่ใช้ในการรณรงค์ และการใช้อำนาจตัดสินของเจ้าหน้าที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้รถ ที่ตั้งใจไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติและถูกดำเนินคดี สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการนำนโยบายพระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) ไปปฏิบัติ พบว่า คือ การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ และการสนับสนุนของผู้นำท้องที่มีผลต่อการตั้งใจปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดของผู้ใช้รถCurricular : GE/MPA/DPA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27882 SIU THE-T. การนำพระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) ไปสู่การปฏิบัติ = Implementing Land Traffic Act (Drunk Driving) into Practice [printed text] / หทัยรัตน์ สนสกุล, Author ; วรเดช จันทรศร, Associated Name ; อุมาหฤทัย วรรณศรี, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - ix, 95 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-08
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การนำนโยบายไปปฏิบัติ
[LCSH]พระราชบัญญัติจราจรทางบกKeywords: พระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ), การนำนโยบายไปปฏิบัติ Abstract: วัตถุประสงค์ของการศึกษาเรื่อง การนำพระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) ไปสู่การปฏิบัติ คือ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมของผู้ขับขี่รถยนต์ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมของผู้ขับขี่รถยนต์ และ 3) เพื่อหาแนวทางและวางแผนในการปฏิบัติตามนโยบายการใช้พระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) ใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลจากผู้ใช้รถในจังหวัดปทุมธานี จำนวน 920 คน สุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ และใช้ค่าความถี ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ การวิเคราะห์ถดถอยพหุแบบขั้นตอน (Stepwise multiple regression analysis) ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ผลการศึกษา พบว่า พฤติกรรมของผู้ใช้รถต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) มี 4 รูปแบบ ประกอบด้วย พฤติกรรมตั้งใจไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ และถูกดำเนินคดีพบมากที่สุด รองลงมา ตั้งใจไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ และไม่เคยถูกดำเนินคดี ตั้งใจปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ แต่ถูกดำเนินคดี และตั้งใจปฏิบัติตามพระราชบัญญัติอย่างเคร่งครัดผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้รถต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) พบว่า โดยรวม คือ ภูมิลำเนา และอาชีพสื่อที่ใช้ในการรณรงค์ตามพระราชบัญญัติ มาตรการของพระราชบัญญัติ และ การสนับสนุนของผู้นำท้องที่ แต่เมื่อพิจารณาแยกตามพฤติกรรมของผู้ใช้รถทั้ง 4 รูปแบบ โดยใช้การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ พบว่า 1) การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ และการสนับสนุนของผู้นำท้องที่ ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้รถที่ตั้งใจปฏิบัติตามพระราชบัญญัติอย่างเคร่งครัด 2) การใช้อำนาจตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ในการใช้พระราชบัญญัติส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้รถที่ตั้งใจปฏิบัติตามพระราชบัญญัติแต่ถูกดำเนินคดี 3) มาตรการของพระราชบัญญัติสื่อที่ใช้ในการรณรงค์ตามพระราชบัญญัติ และบทลงโทษของพระราชบัญญัติส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้รถต่อพระราชบัญญัติฯ ที่ตั้งใจไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ และไม่เคยถูกดำเนินคดี และ 4) การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่การสนับสนุนของผู้นำพื้นที่สื่อที่ใช้ในการรณรงค์ และการใช้อำนาจตัดสินของเจ้าหน้าที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้รถ ที่ตั้งใจไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติและถูกดำเนินคดี สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการนำนโยบายพระราชบัญญัติจราจรทางบก (เมาแล้วขับ) ไปปฏิบัติ พบว่า คือ การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ และการสนับสนุนของผู้นำท้องที่มีผลต่อการตั้งใจปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดของผู้ใช้รถCurricular : GE/MPA/DPA Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27882 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000599041 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-08 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598985 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-08 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การตัดสินใจเชิงจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนในกิจการโทรทัศน์ระบบดิจิทัลภาคพื้นดิน / เฉิมชัย ก๊กเกียรติกุล / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : การตัดสินใจเชิงจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนในกิจการโทรทัศน์ระบบดิจิทัลภาคพื้นดิน Original title : Ethical Decision Making of Media Profession in Digital Terrestrial Television Sector Material Type: printed text Authors: เฉิมชัย ก๊กเกียรติกุล, Author ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: x, 301 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-10
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การตัดสินใจ
[LCSH]นักสื่อสารมวลชน -- แง่ศีลธรรมจรรยาKeywords: การตัดสินใจ,
จริยธรรม,
วิชาชีพสื่อมวลชนAbstract: การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์คือ เพื่อศึกษาการตัดสินใจเชิงจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการตัดสินใจเชิงจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน ตลอดทั้งแนวทางส่งเสริมจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนในกิจการโทรทัศน์ระบบดิจิทัลภาคพื้นดิน วิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ สำหรับงานวิจัยเชิงคุณภาพเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกสื่อมวลชนที่มีประสบการณ์ และผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้อง และใช้แบบสอบถามกับสื่อมวลชนในกิจการโทรทัศน์ระบบดิจิทัลภาคพื้นดินสำหรับการวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งเริ่มต้นด้วยการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 15 คน เพื่อนำผลไปวิเคราะห์เพื่อพัฒนาแบบสอบถามเชิงปริมาณ โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากสื่อมวลชนกลุ่มตัวอย่างจำนวน 360 คน แล้วดำเนินการวิเคราะห์ประมวลผลข้อมูลทางสถิติ ผลการวิจัยพบความสัมพันธ์ระหว่างการตัดสินใจเชิงจริยธรรมของวิชาชีพสื่อมวลชนกับปัญหาจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนในระดับค่อนข้างน้อย โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .393 โดยมีความคลาดเคลื่อนมาตรฐานในการพยากรณ์เท่ากับ ± 16.16 เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการตัดสินใจเชิงจริยธรรมของวิชาชีพสื่อมวลชนกับแนวทางส่งเสริมจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน พบว่าทุกด้านมีความสัมพันธ์กันในทางบวกอย่างมีนัยทางสถิติ โดยพบว่าองค์กรวิชาชีพมีความสัมพันธ์กับแนวทางส่งเสริมจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .531 ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01 โดยมีความคลาดเคลื่อนมาตรฐานในการพยากรณ์เท่ากับ ±.38 Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27883 SIU THE-T. การตัดสินใจเชิงจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนในกิจการโทรทัศน์ระบบดิจิทัลภาคพื้นดิน = Ethical Decision Making of Media Profession in Digital Terrestrial Television Sector [printed text] / เฉิมชัย ก๊กเกียรติกุล, Author ; พิภพ วชังเงิน, Associated Name ; อติพร เกิดเรือง, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - x, 301 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-10
Thesis. [DPA [รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต.ปร.ด]] มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การตัดสินใจ
[LCSH]นักสื่อสารมวลชน -- แง่ศีลธรรมจรรยาKeywords: การตัดสินใจ,
จริยธรรม,
วิชาชีพสื่อมวลชนAbstract: การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์คือ เพื่อศึกษาการตัดสินใจเชิงจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการตัดสินใจเชิงจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน ตลอดทั้งแนวทางส่งเสริมจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนในกิจการโทรทัศน์ระบบดิจิทัลภาคพื้นดิน วิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ สำหรับงานวิจัยเชิงคุณภาพเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกสื่อมวลชนที่มีประสบการณ์ และผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้อง และใช้แบบสอบถามกับสื่อมวลชนในกิจการโทรทัศน์ระบบดิจิทัลภาคพื้นดินสำหรับการวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งเริ่มต้นด้วยการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 15 คน เพื่อนำผลไปวิเคราะห์เพื่อพัฒนาแบบสอบถามเชิงปริมาณ โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากสื่อมวลชนกลุ่มตัวอย่างจำนวน 360 คน แล้วดำเนินการวิเคราะห์ประมวลผลข้อมูลทางสถิติ ผลการวิจัยพบความสัมพันธ์ระหว่างการตัดสินใจเชิงจริยธรรมของวิชาชีพสื่อมวลชนกับปัญหาจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนในระดับค่อนข้างน้อย โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .393 โดยมีความคลาดเคลื่อนมาตรฐานในการพยากรณ์เท่ากับ ± 16.16 เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการตัดสินใจเชิงจริยธรรมของวิชาชีพสื่อมวลชนกับแนวทางส่งเสริมจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน พบว่าทุกด้านมีความสัมพันธ์กันในทางบวกอย่างมีนัยทางสถิติ โดยพบว่าองค์กรวิชาชีพมีความสัมพันธ์กับแนวทางส่งเสริมจริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .531 ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01 โดยมีความคลาดเคลื่อนมาตรฐานในการพยากรณ์เท่ากับ ±.38 Curricular : GE Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27883 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000598845 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-10 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598811 SIU THE-T: IPAG-DPA-2018-10 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. นวัตวิถีการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อยุธยาโมเดล / เกษียร วรศิริ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : นวัตวิถีการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อยุธยาโมเดล Original title : Historical Tourism Innovative : Ayutthaya Model Material Type: printed text Authors: เกษียร วรศิริ, Associated Name ; อุษณีย์ เสวกวัชรี, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: vii, 181 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2018-07
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2561Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การท่องเที่ยว -- การจัดการ
[LCSH]การบริหารKeywords: การบริหารจัดการ,
อัตลักษณ์,
นวัตวิถี,
มรดกโลกที่มีชีวิตAbstract: การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยใดที่ก่อให้เกิดปัญหา
ในการบริหารจัดการท่องเที่ยวในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2) ปัจจัยใดที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผล
ของการบริหารจัดการท่องเที่ยว 3) มีการพัฒนาอะไรที่จะทำให้การท่องเที่ยวเขตเมืองมรดกโลก
ของอุทยานประวัติศาสตร์ มีเอกลักษณ์ มีความยั่งยืนสอดคล้องกับวิถีชุมชน และ 4) รายรับจากการท่องเที่ยวส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างไร ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1) หน่วยงานภาครัฐ จำนวน 30 คน 2) หน่วยงานเอกชน จำนวน 10 คน 3) หน่วยงานส่วนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว จำนวน 20 คน รวมกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 60 คน กลุ่มตัวอย่างแบบลูกโซ่และต่อเนื่องด้วยการอ้างอิงด้วยบุคคลและผู้เชี่ยวชาญ ผลการวิจัย พบว่า ปัญหาหลักในการบริหารงานของอยุธยา คือ ความขัดแย้งทางกฎหมายและข้อบังคับจากหน่วยงานต่างๆ ในจังหวัด ความรับผิดชอบที่ทับซ้อนเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการให้บริการ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายคนแนะนำให้จังหวัดอยุธยาปฏิบัติตามเส้นทางเดียวกันเพื่อให้เป็นเขตเทศบาลพิเศษ เหมือนเขตพัทยา และกรุงเทพฯ และระบุกฎหมายพิเศษในการจัดการพื้นที่ดังกล่าว ผู้บริหารระดับสูงของจังหวัดมีบทบาทสำคัญในการที่จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการบูรณาการและวางนโยบายและยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องตามประเพณี วัฒนธรรม และสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของชุมชน ในท้ายที่สุดเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมุ่งเป้าไปที่
การรักษาประเพณีท้องถิ่นและประวัติของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในจังหวัด และสุดท้ายนี้ปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือน
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คือ สามารถสัมผัสกับมรดกโลกที่แท้จริงซึ่งสามารถมองเห็นวิถีชีวิตของชุมชน
ในท้องถิ่นได้ รวมทั้งจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศมากขึ้น การลดความเสี่ยงและผลกระทบในทางลบต่อชีวิตของชุมชนท้องถิ่น
ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนของมรดกโลกที่มีลักษณะเป็น "นวัตกรรมทางประวัติศาสตร์อยุธยา" ดังที่ได้กล่าวมาแล้วCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27884 SIU THE-T. นวัตวิถีการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์อยุธยาโมเดล = Historical Tourism Innovative : Ayutthaya Model [printed text] / เกษียร วรศิริ, Associated Name ; อุษณีย์ เสวกวัชรี, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - vii, 181 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2018-07
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2561
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การท่องเที่ยว -- การจัดการ
[LCSH]การบริหารKeywords: การบริหารจัดการ,
อัตลักษณ์,
นวัตวิถี,
มรดกโลกที่มีชีวิตAbstract: การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยใดที่ก่อให้เกิดปัญหา
ในการบริหารจัดการท่องเที่ยวในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2) ปัจจัยใดที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผล
ของการบริหารจัดการท่องเที่ยว 3) มีการพัฒนาอะไรที่จะทำให้การท่องเที่ยวเขตเมืองมรดกโลก
ของอุทยานประวัติศาสตร์ มีเอกลักษณ์ มีความยั่งยืนสอดคล้องกับวิถีชุมชน และ 4) รายรับจากการท่องเที่ยวส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างไร ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1) หน่วยงานภาครัฐ จำนวน 30 คน 2) หน่วยงานเอกชน จำนวน 10 คน 3) หน่วยงานส่วนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว จำนวน 20 คน รวมกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 60 คน กลุ่มตัวอย่างแบบลูกโซ่และต่อเนื่องด้วยการอ้างอิงด้วยบุคคลและผู้เชี่ยวชาญ ผลการวิจัย พบว่า ปัญหาหลักในการบริหารงานของอยุธยา คือ ความขัดแย้งทางกฎหมายและข้อบังคับจากหน่วยงานต่างๆ ในจังหวัด ความรับผิดชอบที่ทับซ้อนเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการให้บริการ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายคนแนะนำให้จังหวัดอยุธยาปฏิบัติตามเส้นทางเดียวกันเพื่อให้เป็นเขตเทศบาลพิเศษ เหมือนเขตพัทยา และกรุงเทพฯ และระบุกฎหมายพิเศษในการจัดการพื้นที่ดังกล่าว ผู้บริหารระดับสูงของจังหวัดมีบทบาทสำคัญในการที่จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการบูรณาการและวางนโยบายและยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องตามประเพณี วัฒนธรรม และสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของชุมชน ในท้ายที่สุดเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมุ่งเป้าไปที่
การรักษาประเพณีท้องถิ่นและประวัติของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในจังหวัด และสุดท้ายนี้ปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือน
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คือ สามารถสัมผัสกับมรดกโลกที่แท้จริงซึ่งสามารถมองเห็นวิถีชีวิตของชุมชน
ในท้องถิ่นได้ รวมทั้งจังหวัดพระนครศรีอยุธยามีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศมากขึ้น การลดความเสี่ยงและผลกระทบในทางลบต่อชีวิตของชุมชนท้องถิ่น
ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนของมรดกโลกที่มีลักษณะเป็น "นวัตกรรมทางประวัติศาสตร์อยุธยา" ดังที่ได้กล่าวมาแล้วCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27884 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000599017 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-07 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598993 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-07 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหาร: กรณีศึกษา ซานตาเฟ่สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร / รุ่งโรจน์ เจือสนิท / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2018
Collection Title: SIU THE-T Title : การพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหาร: กรณีศึกษา ซานตาเฟ่สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร Original title : Service Development of Franchise Restaurant: A Case of Santa Fe’ Steak in Bangkok Material Type: printed text Authors: รุ่งโรจน์ เจือสนิท, Author ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2018 Pagination: xi, 144 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2018-08
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2561Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]พฤติกรรมผู้บริโภค -- การศึกษาเฉพาะกรณี
[LCSH]แฟรนไชส์Keywords: พฤติกรรมผู้บริโภค,
ส่วนประสมทางการตลาด,
ร้านอาหารแฟรนไชส์Abstract: การวิจัยนี้ศึกษาความสัมพันธ์ในเชิงปริมาณ ในการพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ ร้านอาหาร กรณีศึกษาซานตาเฟ่ สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาความสัมพันธ์การพัฒนางานบริการด้านปัจจัยส่วนบุคคลของลูกค้าต่อการพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ ร้านอาหาร ซานตาเฟ่ สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร 2) หาความสัมพันธ์การพัฒนางานบริการด้านพฤติกรรมการใช้บริการของผู้บริโภคที่มีผลต่อการพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารซานตาเฟ่ สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร 3) หาความสัมพันธ์ของส่วนประสมทางการตลาด ต่อการพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารซานตาเฟ่ สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร 4) หาแนวทางการพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารที่มีความสัมพันธ์ต่อความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารซานตาเฟ่ สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร
ผลการวิจัย พบว่า 1) ข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์อาหารซานตาเฟ่สเต็ก พบว่า ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษาผู้บริโภคอาหารร้านซานตาเฟ่ สเต๊ก มีการศึกษาในระดับปริญญาตรี หรือเทียบเท่า คิดเป็นร้อยละ 44.5 ด้านอาชีพ คิดเป็นร้อยละ 53.2 ตำแหน่งงาน คิดเป็นร้อยละ 64.5 ซึ้งแสดงให้เห็นว่าปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจอาหารแฟรนไชส์อยู่ที่การศึกษา อาชีพ และตำแหน่งงานเป็นประเด็นสำคัญ 2) ข้อมูลพฤติกรรมการใช้บริการร้านอาหารซานตาเฟ่สเต็กมารับประทานอาหารในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์มากที่สุด ผู้บริโภคอาหารร้านซานตาเฟ่ สเต๊ก ร้อยละ 58.7 มาใช้บริการในช่วงเวลา 13.00 -17.00 น. มากที่สุด ผู้บริโภคอาหารร้านซานตาเฟ่ สเต๊ก ร้อยละ 48.5 มาใช้บริการ 2-3 ครั้งต่อเดือน สาขาร้านซานตาเฟ่ สเต๊กที่กลุ่มศึกษานิยม ใช้บริการบ่อยที่สุด ได้แก่ อันดับหนึ่ง ร้อยละ 28.5 สาขาเดอะมอลล์บางกะปิ ส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษาร้อยละ 37.3 ชอบทานเมนูสเต็กหมูมากที่สุด กลุ่มศึกษามีค่าใช้จ่ายในการรับประทานอาหารต่อครั้ง ร้อยละ 40.7 ต่ำกว่า 500 บาท มากที่สุด ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษาไปรับประทานอาหาร ร้อยละ 49.7 ไปทาน 2 คน ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษามีบุคคลที่ไปรับประทานอาหารด้วย ร้อยละ 38.2 ไปกับเพื่อนส่วนใหญ่ กลุ่มศึกษา มีจุดประสงค์ในการไปรับประทานอาหาร ร้อยละ 47.5 รับประทานปกติ/ไม่มีโอกาสพิเศษ ส่วนใหญ่ กลุ่มศึกษามีแหล่งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับร้าน ร้อยละ 39.7 เพื่อน/บอกต่อ ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษา ร้อยละ 39.0 พอใจ ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษา ร้อยละ 51.0 ตัดสินใจกลับมาใช้บริการซ้ำอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษาร้อยละ 60.2 แนะนำอยู่ในระดับปานกลาง 3) ข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจบริโภคอาหารของธุรกิจแฟรนไชส์ ปรากฏว่ากลุ่มศึกษาใช้เหตุผลในการตัดสินใจที่เลือกร้านมากที่สุดร้อยละ 37.3 เพราะรสชาติดี ถูกใจ ระดับส่วนประสมทางการตลาดที่ทำให้ธุรกิจแฟรนไชส์ของร้านอาหาร ประสบความสำเร็จอยู่ในระดับค่อนข้างมาก ( = 3.07, SD = 0.72) ระดับความสำเร็จของธุรกิจธุรกิจแฟรนไชส์ ของร้านอาหาร อยู่ในระดับค่อนข้างมาก ( = 3.09, SD = 0.67) ในการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตามด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวน ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตาม ด้านข้อมูลส่วนบุคคล พบว่ามีตัวแปรอิสระ 3 ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับตัวแปรตาม ด้านข้อมูลพฤติกรรมการมาใช้บริการของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า มีตัวแปรอิสระ 6 ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับตัวแปรตาม และด้านส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์ ของร้านอาหารกลุ่ม ซานตาเฟ่ สเต็ก พบว่า แปรอิสระมีความสัมพันธ์กับตัวแปรตาม ส่วนการวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์ ของร้านอาหารกลุ่ม ซานตาเฟ่ สเต็ก ด้วยเทคนิคการวิเคราะห์ความสัมพันธ์แบบแปรปรวนในทางเดียว (One-way-Anova) พบว่า ชุดตัวแปรอิสระด้านข้อมูลส่วนบุคคลทั้งชุดสามารถอธิบายผลความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์ ของร้านอาหารกลุ่ม ซานตาเฟ่ สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร ตัวแปรที่ดีที่สุดที่อธิบายตัวแปรตาม ความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์ ของร้านอาหารกลุ่ม ซานตาเฟ่ สเต็ก คือ การศึกษา อาชีพ และตำแหน่งงานCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27885 SIU THE-T. การพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหาร: กรณีศึกษา ซานตาเฟ่สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร = Service Development of Franchise Restaurant: A Case of Santa Fe’ Steak in Bangkok [printed text] / รุ่งโรจน์ เจือสนิท, Author ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2018 . - xi, 144 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2018-08
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2561
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]พฤติกรรมผู้บริโภค -- การศึกษาเฉพาะกรณี
[LCSH]แฟรนไชส์Keywords: พฤติกรรมผู้บริโภค,
ส่วนประสมทางการตลาด,
ร้านอาหารแฟรนไชส์Abstract: การวิจัยนี้ศึกษาความสัมพันธ์ในเชิงปริมาณ ในการพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ ร้านอาหาร กรณีศึกษาซานตาเฟ่ สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาความสัมพันธ์การพัฒนางานบริการด้านปัจจัยส่วนบุคคลของลูกค้าต่อการพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ ร้านอาหาร ซานตาเฟ่ สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร 2) หาความสัมพันธ์การพัฒนางานบริการด้านพฤติกรรมการใช้บริการของผู้บริโภคที่มีผลต่อการพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารซานตาเฟ่ สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร 3) หาความสัมพันธ์ของส่วนประสมทางการตลาด ต่อการพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารซานตาเฟ่ สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร 4) หาแนวทางการพัฒนางานบริการในธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารที่มีความสัมพันธ์ต่อความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารซานตาเฟ่ สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร
ผลการวิจัย พบว่า 1) ข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์อาหารซานตาเฟ่สเต็ก พบว่า ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษาผู้บริโภคอาหารร้านซานตาเฟ่ สเต๊ก มีการศึกษาในระดับปริญญาตรี หรือเทียบเท่า คิดเป็นร้อยละ 44.5 ด้านอาชีพ คิดเป็นร้อยละ 53.2 ตำแหน่งงาน คิดเป็นร้อยละ 64.5 ซึ้งแสดงให้เห็นว่าปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจอาหารแฟรนไชส์อยู่ที่การศึกษา อาชีพ และตำแหน่งงานเป็นประเด็นสำคัญ 2) ข้อมูลพฤติกรรมการใช้บริการร้านอาหารซานตาเฟ่สเต็กมารับประทานอาหารในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์มากที่สุด ผู้บริโภคอาหารร้านซานตาเฟ่ สเต๊ก ร้อยละ 58.7 มาใช้บริการในช่วงเวลา 13.00 -17.00 น. มากที่สุด ผู้บริโภคอาหารร้านซานตาเฟ่ สเต๊ก ร้อยละ 48.5 มาใช้บริการ 2-3 ครั้งต่อเดือน สาขาร้านซานตาเฟ่ สเต๊กที่กลุ่มศึกษานิยม ใช้บริการบ่อยที่สุด ได้แก่ อันดับหนึ่ง ร้อยละ 28.5 สาขาเดอะมอลล์บางกะปิ ส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษาร้อยละ 37.3 ชอบทานเมนูสเต็กหมูมากที่สุด กลุ่มศึกษามีค่าใช้จ่ายในการรับประทานอาหารต่อครั้ง ร้อยละ 40.7 ต่ำกว่า 500 บาท มากที่สุด ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษาไปรับประทานอาหาร ร้อยละ 49.7 ไปทาน 2 คน ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษามีบุคคลที่ไปรับประทานอาหารด้วย ร้อยละ 38.2 ไปกับเพื่อนส่วนใหญ่ กลุ่มศึกษา มีจุดประสงค์ในการไปรับประทานอาหาร ร้อยละ 47.5 รับประทานปกติ/ไม่มีโอกาสพิเศษ ส่วนใหญ่ กลุ่มศึกษามีแหล่งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับร้าน ร้อยละ 39.7 เพื่อน/บอกต่อ ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษา ร้อยละ 39.0 พอใจ ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษา ร้อยละ 51.0 ตัดสินใจกลับมาใช้บริการซ้ำอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนใหญ่กลุ่มศึกษาร้อยละ 60.2 แนะนำอยู่ในระดับปานกลาง 3) ข้อมูลปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจบริโภคอาหารของธุรกิจแฟรนไชส์ ปรากฏว่ากลุ่มศึกษาใช้เหตุผลในการตัดสินใจที่เลือกร้านมากที่สุดร้อยละ 37.3 เพราะรสชาติดี ถูกใจ ระดับส่วนประสมทางการตลาดที่ทำให้ธุรกิจแฟรนไชส์ของร้านอาหาร ประสบความสำเร็จอยู่ในระดับค่อนข้างมาก ( = 3.07, SD = 0.72) ระดับความสำเร็จของธุรกิจธุรกิจแฟรนไชส์ ของร้านอาหาร อยู่ในระดับค่อนข้างมาก ( = 3.09, SD = 0.67) ในการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตามด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวน ระหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตาม ด้านข้อมูลส่วนบุคคล พบว่ามีตัวแปรอิสระ 3 ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับตัวแปรตาม ด้านข้อมูลพฤติกรรมการมาใช้บริการของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า มีตัวแปรอิสระ 6 ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับตัวแปรตาม และด้านส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์ ของร้านอาหารกลุ่ม ซานตาเฟ่ สเต็ก พบว่า แปรอิสระมีความสัมพันธ์กับตัวแปรตาม ส่วนการวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์ ของร้านอาหารกลุ่ม ซานตาเฟ่ สเต็ก ด้วยเทคนิคการวิเคราะห์ความสัมพันธ์แบบแปรปรวนในทางเดียว (One-way-Anova) พบว่า ชุดตัวแปรอิสระด้านข้อมูลส่วนบุคคลทั้งชุดสามารถอธิบายผลความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์ ของร้านอาหารกลุ่ม ซานตาเฟ่ สเต็ก ในเขตกรุงเทพมหานคร ตัวแปรที่ดีที่สุดที่อธิบายตัวแปรตาม ความสำเร็จของธุรกิจแฟรนไชส์ ของร้านอาหารกลุ่ม ซานตาเฟ่ สเต็ก คือ การศึกษา อาชีพ และตำแหน่งงานCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27885 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000598837 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-08 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598860 SIU THE-T: SOM-DBA-2018-08 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. องค์ประกอบของคุณภาพการให้บริการที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของบริษัทรักษาความปลอดภัยในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคกลาง / ศิร์รัฐ ภิรมย์บวรภักดิ์ / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : องค์ประกอบของคุณภาพการให้บริการที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของบริษัทรักษาความปลอดภัยในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคกลาง Original title : Elements of Service Quality Influencing on the Success of Security Service Companies in the Industrial Estates in the Central Region Material Type: printed text Authors: ศิร์รัฐ ภิรมย์บวรภักดิ์, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: xii, 120 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2019-01
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การบริการ
[LCSH]ธุรกิจรักษาความปลอดภัย -- การให้บริการKeywords: การบริการ,
ความสำเร็จ,
ธุรกิจรักษาความปลอดภัยAbstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบของการให้บริการที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของธุรกิจรักษาความปลอดภัย ในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคกลาง ทำการเก็บข้อมูลจากผู้จัดการบริษัทผู้ใช้บริการรักษาความปลอดภัยในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคกลาง จำนวน 400 คน ด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา และใช้สถิติเชิงอนุมานในการทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปร โดยยอมรับสมมุติฐานที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05
ผลการวิจัยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการ โดยอยู่ในตำแหน่งปัจจุบันมากกว่า 1 ถึง 5 ปี ทำงานอยู่ในธุรกิจประเภทอุตสาหกรรมการผลิต โดยบริษัทจดทะเบียนมาแล้วมากกว่า 10 ปี มีจำนวนพนักงานทำงานในกิจการจำนวน 101 - 500 คน ผลจากการวิจัยในครั้งนี้พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับขนาดของบริษัทรักษาความปลอดภัยในระดับมากที่สุด รองลงมาพบว่ามีการให้ความความสำคัญกับจำนวนพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทผู้ให้บริการ และการรับผิดชอบต่อความเสียหายว่ามีผลต่อความสำเร็จของการบริการ ส่วนความสำคัญด้านคุณลักษณะของบริษัทผู้ให้บริการรักษาความปลอดภัย พบว่า ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของบริษัทผู้ให้บริการรักษาความปลอดภัยในภาพรวมมีความสำคัญอยู่ในระดับมากที่สุดเช่นกัน โดยพบว่า ชื่อเสียงของเจ้าของธุรกิจมีความสำคัญเป็นอันดับแรก รองลงมาคือหน่วยงานที่เคยใช้บริการสำหรับนำมาใช้ในการอ้างอิง การได้รับการรับรองโดยสถาบันต่างๆ เรียงตามลำดับ การฝึกอบรมและการพัฒนาบุคลากร การได้รับการรับรองมาตรฐาน และประสบการณ์ของบริษัทผู้ให้บริการในธุรกิจรักษาความปลอดภัย เรียงตามลำดับ ส่วนด้านประสิทธิภาพในการให้บริการที่นำไปสู่ความสำเร็จผลการวิจัยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากเป็นอันดับแรก ตามด้วยความไว้วางใจ ประสิทธิภาพของการตอบสนองต่อเหตุการณ์ และความน่าเชื่อถือของการให้บริการจากบริษัทรักษาความปลอดภัย ส่วนด้านส่วนประสมการตลาดที่มีผลต่อความสำเร็จในการให้บริการพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับกระบวนการจัดการด้านการให้บริการมากเป็นอันดับแรก รองลงมาเป็นภาพลักษณ์ที่ปรากฏต่อสายตาผู้รับบริการ ผลิตภัณฑ์หรือบริการ อัตราค่าบริการ ช่องทางการจัดจำหน่าย การสื่อสารการตลาด และความน่าเชื่อถือของบุคลากรCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27930 SIU THE-T. องค์ประกอบของคุณภาพการให้บริการที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของบริษัทรักษาความปลอดภัยในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคกลาง = Elements of Service Quality Influencing on the Success of Security Service Companies in the Industrial Estates in the Central Region [printed text] / ศิร์รัฐ ภิรมย์บวรภักดิ์, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - xii, 120 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2019-01
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การบริการ
[LCSH]ธุรกิจรักษาความปลอดภัย -- การให้บริการKeywords: การบริการ,
ความสำเร็จ,
ธุรกิจรักษาความปลอดภัยAbstract: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบของการให้บริการที่มีผลต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจของธุรกิจรักษาความปลอดภัย ในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคกลาง ทำการเก็บข้อมูลจากผู้จัดการบริษัทผู้ใช้บริการรักษาความปลอดภัยในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคกลาง จำนวน 400 คน ด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา และใช้สถิติเชิงอนุมานในการทดสอบความสัมพันธ์ของตัวแปร โดยยอมรับสมมุติฐานที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05
ผลการวิจัยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการ โดยอยู่ในตำแหน่งปัจจุบันมากกว่า 1 ถึง 5 ปี ทำงานอยู่ในธุรกิจประเภทอุตสาหกรรมการผลิต โดยบริษัทจดทะเบียนมาแล้วมากกว่า 10 ปี มีจำนวนพนักงานทำงานในกิจการจำนวน 101 - 500 คน ผลจากการวิจัยในครั้งนี้พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับขนาดของบริษัทรักษาความปลอดภัยในระดับมากที่สุด รองลงมาพบว่ามีการให้ความความสำคัญกับจำนวนพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทผู้ให้บริการ และการรับผิดชอบต่อความเสียหายว่ามีผลต่อความสำเร็จของการบริการ ส่วนความสำคัญด้านคุณลักษณะของบริษัทผู้ให้บริการรักษาความปลอดภัย พบว่า ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของบริษัทผู้ให้บริการรักษาความปลอดภัยในภาพรวมมีความสำคัญอยู่ในระดับมากที่สุดเช่นกัน โดยพบว่า ชื่อเสียงของเจ้าของธุรกิจมีความสำคัญเป็นอันดับแรก รองลงมาคือหน่วยงานที่เคยใช้บริการสำหรับนำมาใช้ในการอ้างอิง การได้รับการรับรองโดยสถาบันต่างๆ เรียงตามลำดับ การฝึกอบรมและการพัฒนาบุคลากร การได้รับการรับรองมาตรฐาน และประสบการณ์ของบริษัทผู้ให้บริการในธุรกิจรักษาความปลอดภัย เรียงตามลำดับ ส่วนด้านประสิทธิภาพในการให้บริการที่นำไปสู่ความสำเร็จผลการวิจัยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากเป็นอันดับแรก ตามด้วยความไว้วางใจ ประสิทธิภาพของการตอบสนองต่อเหตุการณ์ และความน่าเชื่อถือของการให้บริการจากบริษัทรักษาความปลอดภัย ส่วนด้านส่วนประสมการตลาดที่มีผลต่อความสำเร็จในการให้บริการพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับกระบวนการจัดการด้านการให้บริการมากเป็นอันดับแรก รองลงมาเป็นภาพลักษณ์ที่ปรากฏต่อสายตาผู้รับบริการ ผลิตภัณฑ์หรือบริการ อัตราค่าบริการ ช่องทางการจัดจำหน่าย การสื่อสารการตลาด และความน่าเชื่อถือของบุคลากรCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27930 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000598761 SIU THE-T: SOM-DBA-2019-01 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000598738 SIU THE-T: SOM-DBA-2019-01 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. โอกาสและอุปสรรคในความก้าวหน้าในอาชีพของผู้บริหารสตรีในสถาบันการเงินภาครัฐ / กนกวรรณ ก่อเกิด / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : โอกาสและอุปสรรคในความก้าวหน้าในอาชีพของผู้บริหารสตรีในสถาบันการเงินภาครัฐ Original title : Opportunities and Obstacles in Women’s Advancement in Specialized Financial institutions Material Type: printed text Authors: กนกวรรณ ก่อเกิด, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: x, 113 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2019-02
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]นักบริหารสตรี
[LCSH]สถาบันการเงินของรัฐKeywords: ความสำเร็จ,
สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ,
ผู้บริหารสตรี,
โอกาสและอุปสรรคAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาโอกาสและอุปสรรคในความก้าวหน้าในอาชีพของผู้บริหารสตรี ที่ทำงานในสถาบันการเงินเฉพาะกิจของภาครัฐ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 400 คน ที่ทำงานในสถาบันการเงินเฉพาะกิจของภาครัฐ 4 แห่ง โดยใช้แบบสอบถาม แบบกึ่งโครงสร้าง และใช้สถิติเชิงอนุมานในการวิเคราะห์ตัวแปร และทดสอบสมมติฐาน
ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีสถานะภาพสมรสและอยู่ด้วยกัน งานที่ทำไม่ได้เป็นงานแรก มีประสบการทำงานทั้งหมด 15 ปีผู้ ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างงานกับครอบครัวเป็นอันดับแรก และรองลงมาคือ การรับรู้เกี่ยวกับการสนับสนุนจากองค์การ ผลจากการวิจัยพบว่าสถานภาพ ระดับการศึกษา และแผนกงานที่ทำในปัจจุบันมีผลต่อความพึงพอใจในอาชีพ นอกจากนี้พบว่ารายได้ไม่มีผลต่อความผูกพันต่อองค์การ พนักงานสามารถรับรู้ได้ถึงความมั่นคงในการทำงาน และรู้สึกถึงความผูกพันในองค์โดยไม่คิดเปลี่ยนงานแม้จะมีโอกาสก็ตาม ผลการวิจัยยังพบว่าจำนวนครั้งของการอบรมมีผลต่อความรู้สึกองค์กรสนับสนุนให้มีความก้าวหน้า ส่วนผลการทดสอบความสัมพันธ์ด้านทัศนคติที่มีต่อสตรีพบว่าเป็นอุปสรรคต่อการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27931 SIU THE-T. โอกาสและอุปสรรคในความก้าวหน้าในอาชีพของผู้บริหารสตรีในสถาบันการเงินภาครัฐ = Opportunities and Obstacles in Women’s Advancement in Specialized Financial institutions [printed text] / กนกวรรณ ก่อเกิด, Author ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - x, 113 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2019-02
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]นักบริหารสตรี
[LCSH]สถาบันการเงินของรัฐKeywords: ความสำเร็จ,
สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ,
ผู้บริหารสตรี,
โอกาสและอุปสรรคAbstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาโอกาสและอุปสรรคในความก้าวหน้าในอาชีพของผู้บริหารสตรี ที่ทำงานในสถาบันการเงินเฉพาะกิจของภาครัฐ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 400 คน ที่ทำงานในสถาบันการเงินเฉพาะกิจของภาครัฐ 4 แห่ง โดยใช้แบบสอบถาม แบบกึ่งโครงสร้าง และใช้สถิติเชิงอนุมานในการวิเคราะห์ตัวแปร และทดสอบสมมติฐาน
ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีสถานะภาพสมรสและอยู่ด้วยกัน งานที่ทำไม่ได้เป็นงานแรก มีประสบการทำงานทั้งหมด 15 ปีผู้ ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างงานกับครอบครัวเป็นอันดับแรก และรองลงมาคือ การรับรู้เกี่ยวกับการสนับสนุนจากองค์การ ผลจากการวิจัยพบว่าสถานภาพ ระดับการศึกษา และแผนกงานที่ทำในปัจจุบันมีผลต่อความพึงพอใจในอาชีพ นอกจากนี้พบว่ารายได้ไม่มีผลต่อความผูกพันต่อองค์การ พนักงานสามารถรับรู้ได้ถึงความมั่นคงในการทำงาน และรู้สึกถึงความผูกพันในองค์โดยไม่คิดเปลี่ยนงานแม้จะมีโอกาสก็ตาม ผลการวิจัยยังพบว่าจำนวนครั้งของการอบรมมีผลต่อความรู้สึกองค์กรสนับสนุนให้มีความก้าวหน้า ส่วนผลการทดสอบความสัมพันธ์ด้านทัศนคติที่มีต่อสตรีพบว่าเป็นอุปสรรคต่อการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27931 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607982 SIU THE-T: SOM-DBA-2019-02 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000607981 SIU THE-T: SOM-DBA-2019-02 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available SIU THE-T. การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของภาคธุรกิจบริการ: กรณีศึกษา สถานบันเทิงในเขตกรุงเทพมหานคร / สมหมาย โง้วสกุล / กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร - 2019
Collection Title: SIU THE-T Title : การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของภาคธุรกิจบริการ: กรณีศึกษา สถานบันเทิงในเขตกรุงเทพมหานคร Original title : Creating Competitive Advantage of Service Business: A Case Study of Entertainment Complex in Bangkok Metropolis Material Type: printed text Authors: สมหมาย โง้วสกุล, Author ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name Publisher: กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร Publication Date: 2019 Pagination: vii, 181 น. Layout: ตาราง, ภาพประกอบ Size: 30 ซม. Price: 500.00 บาท General note: SIU THE-T: SOM-DBA-2019-03
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562Languages : Thai (tha) Descriptors: [LCSH]การแข่งขันทางการค้า
[LCSH]ธุรกิจบริการ
[LCSH]ธุรกิจบันเทิง -- ไทย -- กรุงเทพฯKeywords: การแข่งขัน, ความได้เปรียบ, ความสัมพันธ์, เจ้าหน้าที่, ธุรกิจบริการ, สถานบันเทิง Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวทางในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันด้านบริการของสถานบันเทิง 2) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารธุรกิจสถานบันเทิง ให้ประสบผลสำเร็จดำรงอยู่ได้และมีผลกำไร และ 3) เพื่อศึกษาเหตุผลในการเข้ามาใช้บริการของลูกค้าในสถานบันเทิงเขตกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพในการใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกในการเก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (key informants) ประกอบด้วย ผู้จัดการ เจ้าของ พนักงาน และลูกค้าที่มาใช้บริการสถานบันเทิง จำนวน 90 คน และใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ
ผลการวิจัยพบว่า ความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคลากรและเจ้าหน้าที่ของรัฐในเขตพื้นที่ ความหลากหลายของแนวเพลง ความสามารถในการควบคุมต้นทุนในการดำเนินงาน การจูงใจพนักงาน การสร้างกลุ่มลูกค้าประจำแบบเป็นสมาชิก การตกแต่งสถานที่ให้มีรูปแบบของตนเอง บริการอาหารที่หลากหลายประเภท เป็นปัจจัยองค์ประกอบสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จในการบริหารจัดการของธุรกิจบริการประเภทสถานบันเทิง ดังนั้นสรุปได้ว่าปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นเป็นปัจจัยที่สร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน ส่วนสาเหตุของความล้มเหลว ผลจากการวิจัยพบว่ามาจากสาเหตุหลักคือเวลาปิดเปิดของสถานบริการไม่เหมาะสม เวลาบริการสั้นเกินไปเพราะลูกค้าจะใช้บริการหลายร้านในคืนเดียวCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27932 SIU THE-T. การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของภาคธุรกิจบริการ: กรณีศึกษา สถานบันเทิงในเขตกรุงเทพมหานคร = Creating Competitive Advantage of Service Business: A Case Study of Entertainment Complex in Bangkok Metropolis [printed text] / สมหมาย โง้วสกุล, Author ; อุษณีษ์ เสวกวัชรี, Associated Name ; ชาญชัย บัญชาพัฒนศักดา, Associated Name . - [S.l.] : กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2019 . - vii, 181 น. : ตาราง, ภาพประกอบ ; 30 ซม.
500.00 บาท
SIU THE-T: SOM-DBA-2019-03
Thesis. [DฺBA [บริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต บธ.ด.]] -- มหาวิทยาลัยชินวัตร, 2562
Languages : Thai (tha)
Descriptors: [LCSH]การแข่งขันทางการค้า
[LCSH]ธุรกิจบริการ
[LCSH]ธุรกิจบันเทิง -- ไทย -- กรุงเทพฯKeywords: การแข่งขัน, ความได้เปรียบ, ความสัมพันธ์, เจ้าหน้าที่, ธุรกิจบริการ, สถานบันเทิง Abstract: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวทางในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันด้านบริการของสถานบันเทิง 2) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารธุรกิจสถานบันเทิง ให้ประสบผลสำเร็จดำรงอยู่ได้และมีผลกำไร และ 3) เพื่อศึกษาเหตุผลในการเข้ามาใช้บริการของลูกค้าในสถานบันเทิงเขตกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพในการใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกในการเก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (key informants) ประกอบด้วย ผู้จัดการ เจ้าของ พนักงาน และลูกค้าที่มาใช้บริการสถานบันเทิง จำนวน 90 คน และใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ
ผลการวิจัยพบว่า ความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคลากรและเจ้าหน้าที่ของรัฐในเขตพื้นที่ ความหลากหลายของแนวเพลง ความสามารถในการควบคุมต้นทุนในการดำเนินงาน การจูงใจพนักงาน การสร้างกลุ่มลูกค้าประจำแบบเป็นสมาชิก การตกแต่งสถานที่ให้มีรูปแบบของตนเอง บริการอาหารที่หลากหลายประเภท เป็นปัจจัยองค์ประกอบสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จในการบริหารจัดการของธุรกิจบริการประเภทสถานบันเทิง ดังนั้นสรุปได้ว่าปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นเป็นปัจจัยที่สร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน ส่วนสาเหตุของความล้มเหลว ผลจากการวิจัยพบว่ามาจากสาเหตุหลักคือเวลาปิดเปิดของสถานบริการไม่เหมาะสม เวลาบริการสั้นเกินไปเพราะลูกค้าจะใช้บริการหลายร้านในคืนเดียวCurricular : BBA/MBA/PhDM Record link: http://libsearch.siu.ac.th/siu/opac_css/index.php?lvl=notice_display&id=27932 Hold
Place a hold on this item
Copies
Barcode Call number Media type Location Section Status 32002000607979 SIU THE-T: SOM-DBA-2019-03 c.1 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available 32002000607980 SIU THE-T: SOM-DBA-2019-03 c.2 SIU Thesis and Dissertation Graduate Library Thesis Corner Available